ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 8 เปลี่ยนแปลง (8)
เรื่องแอบลอบโจมตีผู้อื่นเช่นนี้ เมื่อก่อนจงหมิ่นเหยียนไม่เคยทำ วันหน้าก็ไม่แน่ว่าจะทำ แต่วันนี้เขาทำลงไปครั้งหนึ่ง
เขากับรั่วอวี้สองคนวนเวียนอยู่รอบบริเวณคุกใต้ดินอยู่นาน ในที่สุดก็รอถึงฟ้ามืด ศิษย์เกาะฝูอวี้สองคนยกกล่องข้าวมาส่ง รั่วอวี้ส่งสายตาให้เขา ทั้งสองลอบเข้าทางด้านหลัง ถือดาบไว้ในมือ ศิษย์เกาะฝูอวี้สองคนนั้นไม่ทันได้ส่งเสียงสักแอะก็หมดสติไปทันที
จงหมิ่นเหยียนถอดเสื้อผ้าพวกเขาออกพลางเร่งร้อนควักยาจรุงออกจากอกเสื้อ พ่นใส่หน้าพวกเขา รั่วอวี้เปลี่ยนชุดศิษย์ส่งอาหารอย่างรวดเร็ว พลางเร่งเขาว่า “เร็วหน่อย! ทางนั้นเหมือนมีคนมา!”
จงหมิ่นเหยียนทำเรื่องไม่ดีครั้งแรก ในความหวาดกลัวยังมีความตื่นเต้นเจือปน กว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จถือกล่องข้าวไว้ได้ก็นานไม่น้อย เดินไปยังคุกใต้ดินพร้อมกับรั่วอวี้ เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถูกศิษย์เฝ้าประตูรั้งไว้
“ป้ายคำสั่ง”
ป้ายคำสั่งคืออะไร จงหมิ่นเหยียนอึ้งไป รั่วอวี้ข้างๆ กลับนิ่งสุขุมกว่า ควักเอาป้ายเล็กๆ สีแดงชาดออกมาจากอกเสื้อส่งไป จงหมิ่นเหยียนก็ทำตาม ควักป้ายคำสั่งส่งไป ได้ยินเสียงสองคนนั้นถาม “ตอนกลางวันให้พวกเจ้าไปรายงานอาจารย์ ต้องการยาและผ้าพันแผล นำมาด้วยไหม”
รั่วอวี้พยักหน้ากล่าวว่า “นำมา ยังเป็นที่ดีที่สุดด้วยนะ”
คนผู้นั้นถอนใจกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ยิ่งดี…น่าสงสารจริง ถูกสอบสวนจนเป็นเช่นนั้น…ตามความเห็นข้านะ เห็นชัดๆ ว่าเป็นคน แต่เจ้าหุบเขาหรงเขา…”
อีกคนรีบรั้งแขนเสื้อเขา “อย่าพูดมาก ให้พวกเขาเข้าไปส่งอาหารเถอะ”
จงหมิ่นเหยียนเดินเข้าไปในคุกใต้ดินพร้อมกับรั่วอวี้ด้วยใจเต้นแรง เงยหน้ามองเขาด้วยท่าทางสงบนิ่งแต่มือสั่นเทาเล็กน้อย ในใจอดเลื่อมใสไม่ได้
คุกใต้ดินเกาะฝูอวี้ชื้นและมืด น่าจะเพราะติดทะเล ยิ่งเดินลึกเข้าไป พื้นก็ยิ่งมีแต่น้ำเจิ่งนอง มาถึงสุดท้ายมีประตูเหล็กบานหนึ่ง น้ำขังดำเหม็นเน่าท่วมเท้าเขาสองคน เห็นศิษย์เฝ้าประตูเปิดประตูเหล็กออก ปล่อยพวกเขาเข้าไปส่งอาหาร จงหมิ่นเหยียนรู้สึกถึงกลิ่นเหม็นเน่าลอยมากระทบจมูก ขมคอแทบจะอาเจียนออกมา
พอจ้องมองดู ด้านในมีทางเดินแคบๆ น้ำขังดำมองแล้วต้องท่วมเท้าแน่ ข้างๆ มีห้องขังที่ราวกับกรงนกพิราบ ส่วนใหญ่ว่างเปล่า
จงหมิ่นเหยียนรู้สึกว่าใจเต้นแรงมาก น้ำเจิ่งนองใต้ฝ้าเท้าเย็นเยียบและเหม็นเน่า ใจเขาราวกับจะหลุดออกจากลำคอออกมาด้านนอก ไม่รู้เป็นเพราะตกใจหรือโมโห คุกหนึ่งข้างๆ พลันมีเสียงโซ่เหล็กดังกระทบกันเบาๆ ในคุกที่เงียบนั้นพลันมีเสียงดังขึ้น จงหมิ่นเหยียนราวกับถูกเข็มแทง สะดุ้งหันกลับไป มองเห็นภาพที่ทำให้ลำคอเขาต้องครางเสียงประหลาดออกมาเสียงหนึ่ง จากนั้นก็ไม่อาจทรงตัวได้อีก ค่อยๆ ทรุดคุกเข่าลงตรงที่น้ำเจิ่งนอง
“พี่…พี่ใหญ่?” เขาพึมพำเรียกคนที่ถูกโซ่ตรวนหนักจำไว้ที่ข้างกำแพงผู้นั้น บางทียามนี้เขาก็ไม่อาจนับว่าเป็นคนแล้ว ทั้งร่างไม่มีก้อนเนื้อที่ยังเป็นก้อนสักชิ้น กระดูกเข่าทั้งสองขาวโพลนโผล่ออกมา เลือดสดๆ ที่อาบใบหน้ายังคงไหลหยดจับตัวแข็งเป็นก้อนใหม่อย่างรวดเร็ว
เขาขยับเล็กน้อย เงยหน้ามองมา บางทีไม่อาจเรียกว่ามอง เพราะเปลือกตาทั้งสองของเขาปิดสนิท กล่องอาหารในมือจงหมิ่นเหยียนร่วงหล่นตกลงไปในน้ำนองนั่น เขาคว้าซี่กรงเหล็กไว้แน่น สองตามีประกายไฟลุกโชน ในอกราวกับมีอะไรแผดเผาอยู่ ผิวหนังทุกตารางนิ้วรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดรวดร้าว
“ข้า…ข้าจะรีบช่วยท่าน!” เขาคว้าเอากุญแจออกมาจากแขนเสื้อด้วยมือสั่นเทา ลองทีจะดอก แต่มือสั่นรุนแรง กุญแจนั่นอย่างไรก็คว้าไม่อยู่ ร่วงตกลงไปในน้ำ จงหมิ่นเหยียนสบถด่าขึ้นเสียงหนึ่ง หน้าผากเกร็งจนเส้นปูดนูนออกมา ใช้มือคลำหาเปะปะ แต่อย่างไรก็หาไม่เจอ
รั่วอวี้ถอนหายใจ ก้มลงไปควานหากุญแจพวกนั้นขึ้นมา กล่าวเบาๆ ว่า “อย่าทำอย่างนี้ ใจเขาเองก็ทุกข์ทรมาน”
จงหมิ่นเหยียนหันหลังให้ ปาดน้ำตาบนใบหน้าอย่างแรง รั่วอวี้เปิดประตูคุกออก เขารีบพุ่งเข้าไป ชักกระบี่ออกมาฟันโซ่เต็มแรง ยามฟันลงไป มีเพียงประกายไฟแปลบปลาบ โซ่นั่นมีเพียงรอยบากสีขาวเปะปะไปมา ไม่สะเทือนสักนิด
“นี่มันโซ่ผีอะไรกัน!” เขาด่าไปฟันไป สุดท้ายเหมือนหมดแรง ตัดออกไม่ได้สักเส้น
“พี่โอวหยาง! ข้าเอง ข้ามาแล้ว! ท่าน…ท่านได้ยินไหม ข้าคือหมิ่นเหยียน! ท่านทนอีกนิด พรุ่งนี้ข้าจะยืมกระบี่เปิงอวี้มาช่วยท่าน!”
จงหมิ่นเหยียนน้ำตานองหน้า คว้าไหล่เขาไว้ หวังเพียงเขาจะตอบสนองสักนิด ที่ที่มือแตะโดนล้วนเปื้อนไปด้วยเลือด จริงๆ แล้วจงหมิ่นเหยียนเองก็รู้ เขาทนไม่ไหวแล้ว จะตายในอีกไม่ช้าแล้ว เขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดา ยังป่วยหนัก เหตุใดอยู่ดีๆ ต้องมาถูกทรมานที่คุกใต้ดินนี่ด้วย?
พี่โอวหยางขยับลำคอ เลือดสดไหลรดจากริมฝีปากพึมพำอะไรสักอย่าง จงหมิ่นเหยียนรีบแนบหูเข้าไปใกล้ สะอื้นกล่าวว่า “ท่านว่าอะไรนะ พี่โอวหยาง…ข้าหมิ่นเหยียน…ท่านเสียงดังหน่อย…”
เขากลับเพียงแค่เปล่งเสียงเหมือนทอดถอนใจออกมา เลือดบนเปลือกตาหยดใส่หน้าจงหมิ่นเหยียน อุ่นร้อนจนทำเขาขนลุกชันไปทั้งตัว เขาอดไม่ได้อีกต่อไป ส่งเสียงร้องไห้ดังลั่น
“เจ้าหุบเขาหรงทำไมทำกับท่านเช่นนี้! ข้า…ข้าจะไปขอร้องเขาเดี๋ยวนี้! ขอให้เขาปล่อยท่านไป!”
จงหมิ่นเหยียนหันหลังจะออกไป รั่วอวี้ดึงเข้าไปสุดแรง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าบ้าไปแล้ว! พวกเราแอบเข้ามานะ! หากมีคนรู้เข้า พี่โอวหยางก็ตายแน่!”
จงหมิ่นเหยียนสองตาแดงก่ำ เสียงแหบพร่า “ข้า…ข้าไม่เข้าใจ…เห็นชัดๆ ว่าเขาเป็นคน…ไม่ใช่ปีศาจ…เห็นชัดๆ ว่าเป็นคน…ผู้ใดก็มองออก…เหตุใด จึงเป็นเช่นนี้ได้…พวกเราผู้บำเพ็ญเซียนไม่ใช่ต้องดูแลชาวบ้านหรือ ไม่ให้พวกเขาต้องทนทุกข์หรือ…”
รั่วอวี้ตบบ่าเขา ทอดถอนใจเบาๆ “เรื่องนี้ซับซ้อนไป พูดยาก…นักโทษถูกชิงตัวออกไป ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร ไม่ว่ากับคนในหรือคนนอก เจ้าหุบเขาหรงกับเจ้าเกาะตงฟาง…ก็มีความยากลำบากใจของพวกเขากระมัง…”
จงหมิ่นเหยียนจ้องเขาเขม็ง พึมพำกล่าวว่า “เจ้า ความหมายเจ้าก็คือ…พวกเขาคิดจะให้พี่โอวหยางเป็นแพะรับบาป ระบายความแค้นกับเขาหรือ”
รั่วอวี้หัวเราะขื่นสองเสียง ไม่กล่าวอันใด
สีหน้าจงหมิ่นเหยียนค่อยๆ ซีดเผือด เขาพลันรู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้งยิ่งขึ้น หนักมาก หนักจนเขาไม่อาจทรงตัวต่อไปได้ ได้แต่ค่อยๆ ย่อตัวลง ทึ้งผมตนเองแน่น สมองอึ้งอลสับสนไปหมด
รั่วอวี้มองนอกประตูเหล็กแวบหนึ่ง เร่งว่า “พวกเราอยู่นี่นานไปแล้ว ต้องรีบออกไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยหาโอกาสเข้ามาอีกละกัน!”
“ไม่ได้…” จงหมิ่นเหยียนกล่าวเบาๆ “ข้า…ข้าไม่อาจทิ้งเขา…”
รั่วอวี้ร้อนใจยิ่ง กำลังจะเกลี้ยกล่อม ก็พลันได้ยินคนผู้นั้นกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “หมิ่นเหยียน…”
จงหมิ่นเหยียนผุดลุกขึ้นทันที คว้าไหล่พี่โอวหยางไว้แน่น เสียงสั่นพร่ากล่าวว่า “ข้าเอง…พี่โอวหยาง พี่ต้องทนอีกหน่อย…ข้า ข้าไร้สามารถจริง วันนี้ไม่มีหนทางช่วยท่านออกไป!”
พี่โอวหยางขยับปาก กล่าวเบาๆ ว่า “ไม่ต้องแล้ว…โอวหยาง…น้องข้า เขาไปแล้วหรือ”
จงหมิ่นเหยียนกัดฟันแน่น “เขา เขาหนีไปคนเดียว! ทิ้งท่านไว้ไม่สนใจ! ราวสุนัขสุกรโดยแท้!”
พี่โอวหยางพึมพำกล่าวว่า “เขาไปแล้ว…ก็ดี ตอนท่านแม่ยังมีชีวิตคิดถึงที่สุดก็คือเขา ไม่รู้เป็นตายร้ายดี…แม้ว่า ข้า…แต่ไรมารู้สึกเขาเปลี่ยนไปไม่น้อย ไม่เหมือน…น้องชายที่ร่าเริงเหมือนเมื่อก่อน แต่…เขาอย่างไรก็เป็นน้องชายแท้ๆ ข้า…”
จงหมิ่นเหยียนอดไม่ได้กล่าวว่า “พี่ใหญ่! เขาเป็นปีศาจ! เขายอมรับเอง! เขาจะเป็น…น้องชายท่านได้อย่างไร”
พี่โอวหยางอึ้งไปนาน ก่อนจะกล่าวเบาๆ ว่า “เขา…จะเป็นปีศาจได้อย่างไร…อา สิบสองปีก่อน ครั้งนั้น…หรือว่า ครั้งนั้นเขาตายไปแล้ว ถูกปีศาจสิงร่างหรือ ดังนั้น…เขาจึงได้เปลี่ยนไปมากมายเช่นนั้น…จึงได้ออกจากบ้านมา…”
จงหมิ่นเหยียนเห็นร่างกายเขาอ่อนแอแทบไม่ไหวแล้ว ไม่ควรพูดต่อ จึงกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “พี่ใหญ่ พี่อย่าได้คิดมากเช่นนั้น พี่ทนอีกหน่อย คืนพรุ่งนี้ข้าต้องมาช่วยพี่ออกไป ตอนนี้ข้าต้องไปก่อน…พี่…พี่ดูแลตัวเองให้ดี!”
กล่าวจบเขาน้ำตาทะลักออกมาราวกับบ่อน้ำพุ กอดเขาไม่ยอมปล่อยมือ รู้สึกเพียงว่าหากตนเองจากไป สิ่งที่ผูกพันหนึ่งเดียวในโลกนี้ก็จะขาดสะบั้นตามไปด้วย กว่าเขาจะหาความรู้สึกดังญาติเจอนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พริบตาก็กำลังจะสูญเสียไป
พี่โอวหยางพึมพำขึ้นว่า “อย่าช่วยข้า หากหวังดีกับข้าจริง ก็ฆ่าข้า…ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอีก…”
“พี่โอวหยาง!” จงหมิ่นเหยียนร้อนใจจนแทบลุกเป็นไฟ “อย่ากล่าวคำว่าตายง่ายๆ เช่นนี้! ข้าต้องช่วยท่านออกไปแน่!”
เขาเพียงส่ายหน้า “เจ้าไม่รู้…วิธีการของอาวุโสนั่น…หมิ่นเหยียน ช่วยปลดปล่อยข้าให้พ้นความทรมาน ฆ่าข้าเถอะ…พี่…ขอร้องเจ้าสักครั้ง…”
จงหมิ่นเหยียนยังคงเกลี้ยกล่อมต่อ พลันได้ยินประตูเหล็กถูกคนเปิดออกอย่างแรง ศิษย์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกกรูกันเข้ามา พอเห็นเขาสองคนคุยกับนักโทษ ก็รีบชักกระบี่กล่าวดุดันว่า “ที่แท้ก็มีไส้ศึก! รีบไปรายงานเจ้าสำนัก!”
ด้านหลังมีคนรับคำสั่งหันหลังจะออกกไปทันที รั่วอวี้รู้ว่าเกิดเรื่องนี้แล้ว ที่ไหนก็ไม่ได้การแล้ว ยามนั้นดึงไม้หนังสติ๊กออกมาเล็งไปยังเข่าของบรรดาศิษย์เหล่านั้น ลูกเหล็กยิงออกไปเป็นสายดัง ปึก ปึก ปึก เสียงร้องดังเจ็บปวดในเวลานั้นดังระงมไปทั่ว นับว่าทำให้พวกเขาอ่อนกำลังลงแล้ว
“รีบไปเร็ว! อย่ามากความ!” รั่วอวี้รีบเข้ามาคว้าจงหมิ่นเหยียน ไม่ทันระวังศิษย์พวกนั้นที่จู่โจมเข้ามา เขาได้แต่ฝืนรับมือ พลางก็ต้องระวังว่าจะมีคนออกไปแจ้งเหตุ ต่อสู้กันจากประตูคุกไปจนถึงประตูหน้า เฝ้าประตูไว้แน่นหนาไม่ให้เล็ดออกออกไปได้แม้แต่คนเดียว
จงหมิ่นเหยียนเหงื่อท่วมใบหน้า ร้อนใจกล่าวว่า “พี่โอวหยาง! ข้า…ท่าน…”
เขาไม่อาจกล่าวปลอบใจอันใดได้อีก ครั้งนี้มาช่วยเขากลับถูกคนพบเห็น เวรยามต้องเข้มงวดกว่าเดิมสิบเท่า เจ้าหุบเขาหรงเองก็ย่อมมั่นใจว่าเขามีพรรคพวก สอบสวนก็คงยิ่งต้องโหดเ**้ยมมากขึ้น
เขากุมมือพี่โอวหยางไว้อย่างตัดไม่อาจตัดใจ รู้สึกเพียงโลกทั้งใบแตกออกเป็นสองส่วนในพริบตา รั่วอวี้ข้างๆ ก็รับมือศิษย์เฝ้าคุกอยู่ หันมาเร่งให้เขารีบไป พี่โอวหยางได้แต่มองเขาเงียบๆ กล่าวเบาๆ ว่า “สังหารข้าเสีย หมิ่นเหยียน…อย่าให้พี่ต้องทรมานทั้งเป็นเช่นนี้ต่อไป…”
เขาคำรามร้องเสียงดังเจ็บปวด ยกกระบี่ในมือ อย่างไรก็แทงไม่ลง ราวกับทุกสิ่งอย่างล้วนกลับตาลปัตรพลิกผันไปหมด เขาไม่อาจปรับตัวทนรับได้
“หมิ่นเหยียน…” คนผู้นั้นน้ำเสียงอ่อนโยน “วันหน้าเจ้าก็ต้องตัวคนเดียวอีกแล้ว พี่…เป็นห่วงมาก”
จงหมิ่นเหยียนหลับตาลง แทงกระบี่ใส่หน้าอกเขาเต็มแรง เลือดสดพุ่งใส่เขาเปื้อนไปทั้งตัว พริบตานั้นเอง รูขุมขนทั่วร่างก็หดตัว รู้สึกได้ว่าขนลุกชันไปทั้งตัว เขารู้สึกเพียงว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงฝันร้าย บางทีตื่นมาก็อาจไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาไม่ได้พาพี่โอวหยางมาเกาะฝูอวี้ และไม่เคยส่งเขาเข้าสู่เส้นทางแห่งความตาย
เป็นนานกว่าเขาจะลืมตาขึ้นด้วยอาการงุนงงสับสน คนที่ตัวท่วมไปด้วยเลือดและเนื้อตรงหน้า สิ้นลมไปนานแล้ว ริมฝีปากยังคงมียิ้มสงบนิ่ง เขามอบความตายอย่างไม่ทรมานให้เขา ไม่มีความเจ็บปวดทรมาน พริบตาก็ไปถึงสะพานแห่งความตายนั่น
เขาราวกับตายตามไปด้วย ร่างกายแข็งทื่อ กระบี่ในมือกุมไม่อยู่ เสียงดัง จ๋อม ตกลงไปในน้ำ
หนาว หนาวมาก เขาคิดจะห่อตัว คิดจะอุ้มร่างพี่ใหญ่แผดเสียงร้องไห้ให้ดัง เขาพูดไม่ผิด จากนี้มีเขาตัวคนเดียวแล้ว
รั่วอวี้เริ่มรับมือศิษย์พวกนั้นไม่ไหวแล้ว ได้แต่หันกลับไปร้อนใจเรียก “เจ้า…เจ้าอย่าเอาแต่เหม่อ! รีบไปเร็วเข้า!”
แต่เขากลับเหมือนหุ่นไม้ ไม่ขยับแม้แต่น้อย รั่วอวี้ไม่รู้ทำเช่นไร กำลังจะหันไปลากเขาหนีไปด้วยกัน ไม่ทันระวังนอกประตูมีคนหนึ่งเข้ามา แวบราวสายฟ้า ศิษย์เฝ้าประตูพวกนั้นยังไม่รู้ว่าพวกเขายังมีกองหนุน ไม่ทันระวัง ถูกเขาจี้สกัดล้มไปหนึ่ง พริบตาก็รับมือไปเกินครึ่ง
รั่วอวี้รีบตั้งสติมองไป เห็นอวี่ซือเฟิ่งยืนหอบอยู่ด้านหน้า กล่าวเสียงเบาว่า “ไยช้าเช่นนี้! รีบออกไปเร็ว!”
“เจ้า…” รั่วอวี้อยากกล่าวอันใด กลับกลืนกลับไป หันกลับไปมองจงหมิ่นเหยียน เขายังคงคุกเข่าไม่ขยับอยู่ข้างศพพี่โอวหยาง
“คนผู้นั้น…ทนความทรมานไม่ไหว ขอหมิ่นเหยียนปลดปล่อยเขาให้สบายโดยเร็ว” รั่วอวี้ถอนหายใจ “เขาเป็นเพียงคนธรรมดา ไยต้อง…”
อวี่ซือเฟิ่งเดินเข้าไป มือหนึ่งคว้าจงหมิ่นเหยียนขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้ามัวเหม่อลอยจะมีประโยชน์อันใด รีบไปกันเร็ว! อย่าให้คนอื่นมาพบพวกเจ้าที่นี่!”
เขาเห็นจงหมิ่นเหยียนยังคงนิ่งอึ้งน้ำตานอง จึงถอนใจกล่าวว่า “ในใจเจ้าเป็นทุกข์ ก็กลับไปค่อยๆ ร้องไห้ได้! ตอนนี้รีบไป! หลิงหลงกลับมาแล้ว!”
หลิงหลงกลับมาแล้ว! ห้าพยางค์นี้ช่างรากวับฟ้าผ่ากลางวัน ทำเอาจงหมิ่นเหยียนได้สติกลับมาทันที เขายกมือปาดน้ำตา ร้อนใจกล่าวว่า “กลับมาแล้วจริงหรือ?!”
อวี่ซือเฟิ่งล้วงหากระบี่เขาขึ้นจากน้ำ ส่งให้เขาพลางกล่าวอีกว่า “เพียงแต่มีบางอย่างผิดปกติ เจ้ารีบไปดูเถอะ!”
จงหมิ่นเหยียนฝืนทนความเจ็บปวดใจ หันกลับไปมองร่างโอวหยาง ขอบตาอดน้ำตานองไม่ได้ ตัวสั่นคำนับเขาสามที พึมพำกล่าวว่า “พี่ใหญ่…เดินสู่เส้นทางปรภพโดยสวัสดิภาพ! น้องชายไม่อาจส่งท่านแล้ว!”
กล่าวจบก็กัดฟัน เก็บกระบี่คืนฝัก หันกายจากไป ไม่หันกลับมาอีก