ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 10 จิตญาณ (2)
ยามนี้ดึกมากแล้ว รอบกายมืดสนิท ทั้งสามไล่ตามออกไป เห็นเพียงแสงสีแดงบนตัววิหคเทพหงหล่วนกะพริบไปทางเหนือ ที่นั่นเป็นทะเลสาบใหญ่ เพราะคนในพื้นที่รู้ว่าในทะเลสาบมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นปกติจึงมีคนไปน้อยมาก พวกเขามาจากต่างถิ่นก็ย่อมไม่ไปตามอำเภอใจ ตอนนี้มองวิหคเทพหงหล่วนบินไปทางนั้น ทุกคนลังเลครู่หนึ่งก็พากันเหินกระบี่ตามไป
ตามไปถึงริมทะเลสาบ ก็เห็นวิหคเทพหงหล่วนขนพองทั้งตัวแลดูน่ากลัวมาก มันบินวนอยู่เหนือทะเลสาบไม่หยุด ส่งเสียงแผดร้องดังจากลำคอ ที่ยิ่งน่าแปลกก็คือ ผิวน้ำเงียบสงบถึงกับมีคลื่นประหลาดม้วนตัวราวกับใต้นั้นมีอะไรอยู่ จึงรีบชะโงกลงดู
พอมกรถึงพื้นก็ส่งเสียง “ชิ” ขึ้นเสียงหนึ่ง ดมซ้ายทีขวาทีกล่าวว่า “ที่นี่แปลกมาก”
เสี่ยวอิ๋นฮวาขดตัวสั่นอยู่ในแขนเสื้ออวี่ซือเฟิ่ง ไม่ว่าเขาปลอบอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ เขากล่าวอย่างแปลกใจว่า “หรือว่าในทะเลสาบมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์”
มกรแค่นฮึขึ้นเสียงหนึ่ง “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนจะไปหมกตัวอยู่ในที่ผีๆ แบบนั้น! เจ้านี่เหมือนว่าเพิ่งมา…อืม ข้าว่านะ…ใช้พลังคาถาคลื่นน้ำส่งมา ตัวใหญ่มาก รู้สึกว่าเป็นตัวโง่เง่า…”
วาจาไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงร้องดังของวิหคเทพหงหล่วนแสบแก้วหู มันทะยานขึ้นสูงทันที ถึงกับเหมือนหวาดกลัว ไม่กล้าบินไปกลางทะเลสาบอีก ได้แต่ส่งเสียงร้องอย่างร้อนใจริมฝั่ง บินวนรอบไม่หยุด คลื่นน้ำในทะเลสายยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายกลายเป็นฟองน้ำสีขาวเดือดปุดๆ ตามมาด้วยเสียง ซ่า สิ่งหนึ่งขนาดใหญ่ยักษ์ทะยานขึ้นจากน้ำ น้ำในทะเลสาบกระเซ็นสี่ทิศราวสายฝน มาพร้อมกับกลิ่นเหม็นคาว เจ้านั่นพอพ้นจากน้ำก็เห็นว่ามีขนาดราวร้อยกว่าจั้ง ส่ายไปซ้ายทีขวาที พบวิหคเทพหงหล่วนส่องแสงริมฝั่งอย่างรวดเร็ว มันสะบัดหน้าพุ่งไปทันที
ดีที่มันตัวใหญ่ การเคลื่อนไหวแม้ว่าเร็วแต่ก็ไม่ได้ว่องไว วิหคเทพหงหล่วนหลบการโจมตีของมันได้ทัน ก้มลงจิกกัดมันอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด แต่เพราะร่างมันใหญ่เกินไป การโจมตีของวิหคทำให้มันแค่คันๆ เท่านั้น ไม่อาจทำร้ายมันได้แม้แต่น้อย เจ้านั่นหันกลับมาอ้าปากงับ วิหคเทพหงหล่วนกระพือปีกส่งเสียงร้องตกใจ รีบทะยานขึ้น ไม่กล้าสู้กับมันอีก
เสวียนจีมองเห็นเจ้านั่นรูปร่างเหมือนงูขนาดใหญ่มากตัวหนึ่ง ที่ท้องยังมีขามากมายนับไม่ถ้วน เคลื่อนไหวยุ่บยั่บเหมือนตะขาบทำเอาขนลุก แต่ตะขาบไม่มีผิวสีดำมะเมื่อมเช่นนี้นี่ นางเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ไปกับอวี่ซือเฟิ่งมาปีหนึ่ง ได้พบเห็นมารปีศาจประหลาดมาไม่น้อย แต่ไม่เคยเห็นตัวน่าเกลียดเช่นนี้ ได้แต่มองราวกับตกในห้วงฝันร้าย แม้ว่านางเป็นคนใจกล้าก็ยังอดใจสั่นไม่ได้ ผงะถอยหลังไปหลายก้าว ไม่กล้ามองจ้อง
“ปีศาจงู ?” อวี่ซือเฟิ่งชักกระบี่ออกมา รอให้มันจู่โจมก็จะออกกระบวนท่า
มกรกอดอกมองดูละครสนุก ยิ้มเยาะกล่าวว่า “นับว่าใช่แล้วกัน ปีศาจชั้นต่ำที่โง่เง่าที่สุดเท่านั้น พวกเจ้าคงเคยได้ยินตำนานงูปาเสอกลืนช้างใช่ไหม พื้นที่รกร้างให้กำเนิดงูตัวใหญ่ชนิดหนึ่งที่กลืนกินช้างได้ เจ้านี่ก็น่าจะเป็นงูปาเสอกระมัง แต่นี่มีขางอกมาด้วย อายุน่าจะไม่น้อย อีกสองสามร้อยปีก็น่าจะกลายเป็นมารปีศาจที่กลายร่างเป็นคนได้”
“กลายร่างเป็นคน?!” เสวียนจีหลุดร้องออกมา ก้มหน้าลงมองอย่างใจกล้า ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียน นึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้านี่จะกลายเป็นคนหน้าตาเช่นไร
มกรยักไหล่ สีหน้าผ่อนคลาย ถึงกับแอบหาวหวอด เดินไปยังใต้ต้นไม้ริมฝั่ง คิดลงนั่งสัปหงก หันมากล่าวว่า “เจ้านี่ไม่ต้องถึงมือข้าหรอก ข้าไม่ลดตัวไปสู้กับมันหรอก พวกเจ้าจัดการเองนะ”
“นี่!” เสวียนจีตะโกนอย่างโมโห ไม่เคยเห็นสัตว์ภูตที่ไม่ร่วมมือกับเจ้านายเช่นนี้มาก่อนเลยจริงๆ!
งูปาเสอนั่นเหมือนรู้สึกได้ว่าริมฝั่งมีคนอื่น ไม่พูดไม่จาก็ก้มหน้าพุ่งลงไป เสวียนจีชักกระบี่เปิงอวี้ออกฟันลงไปยังผิวหนังที่หนาเงาวับของมัน ผู้ใดจะรู้ว่าถึงกับอ่อนนุ่มเกินคาด ความคมเช่นกระบี่เปิงอวี้ พอแทงลงไปก็กระเด้งกลับมา งูปาเสอไม่รู้สึกสักนิด ว่ายนวยนาดขึ้นฝั่ง ขาหนาแน่นมากมายของมันคลานไหว ยุ่บยั่บ จากใต้ท้องถึงขามีขนาดราวสิบกว่าคนซ้อนกัน ภาพนี้ทำเอาแทบอาเจียน
อวี่ซือเฟิ่งชักกระบี่สั้นออกจากแขนเสื้อ ส่งพลังปักเข้าลำตัวงูปาเสอ ใช้แรงกระแทกลงไป ก่อนจะกระโดดขึ้นคร่อมหลังมัน กระบี่ใหม่นำออกมาใช้วันนี้ครั้งแรก ถูกเขาส่งพลังเต็มแรงแทงลงกลางหลังมันเต็มที่ เลือดสีดำเน่าเหม็นทะลักออกมาราวน้ำพุราดรดตัวเขาเป็นวงด่าง
ผู้ใดจะรู้ว่างูปาเสอตัวใหญ่ปฏิกิริยาเชื่องช้า ไม่รู้สึกสักนิด เอาแต่ส่ายหน้าไปมาไล่ตามเสวียนจี ดีที่ร่างมันงุ่มง่าม ไม่เช่นนั้นสิบเสวียนจีก็คงถูกมันกลืนไปแล้ว
อวี่ซือเฟิ่งพลันคันข้อมือ ก้มหน้าลงมอง บริเวณที่ถูกเลือดดำงูปาเสอกระเซ็นโดนกลายเป็นตุ่มพองหลายตุ่มในทันที พอตุ่มพองแตกก็กลายเป็นน้ำเหลือง ผิวเหนังเน่าเฟะ ในใจเขาพลันสะดุ้ง รีบกระชากเสื้อให้ขาดพันข้อมือไว้ ได้ยินเสียงมกรด้านหลังดังขึ้นข้างหูหัวเราะว่า “เลือดมันมีพิษร้ายมาก ต้องระวัง”
เสวียนจีสบถด่า “เจ้าพูดให้มันน้อยหน่อย! คนชั่วที่มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ!” นางพลันหันหลังมา ก้มไปด้านข้างงูปาเสอ คว้ามีดสั้นที่เมื่อครู่อวี่ซือเฟิ่งแทงลงไป กระโดดขึ้นคร่อมหลังมัน ใช้กระบี่เปิงอวี้แทงลงไปบนร่างมันมั่วซั่วไปหมด แทงลงไปจนร่างมันเป็นรูหลายรู
งูปาเสอยามนี้รู้สึกเจ็บปวดอยู่สักหน่อยแล้ว กลิ้งตัวสะบัดไปกับพื้น สองคนบนหลังหลังพลันถูกสะบัดไปทางนั้นที กระแทกทางนี้ที เวียนหัวไปหมด หากไม่คว้าด้ามกระบี่ที่แทงฝังลึกในร่างมันไว้แน่น เกรงแต่ว่าคงถูกสลัดร่วงนานแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่ามันแรงเยอะมาก สะบัดไปมาเป็นนานถึงกับยิ่งเพิ่มแรงสะบัด ในที่สุดทั้งสองทนไม่ไหวพากันปล่อยมือ โดดลงจากหลังมัน เห็นว่ามันเป็นสัตว์ตัวใหญ่เช่นนี้ เลื้อยไปมาริมฝั่ง ทำให้ผืนป่าใหญ่ด้านหลังราบเป็นหน้ากลอง ทั้งสองพากันตกใจ
“ตา ตา! แทงตามัน!” อยู่ๆ มกรที่ด้านหลังก็ทำตัวเหมือนอาจารย์สูงส่ง แนะพวกเขาสองคนจัดการงูปาเสอ
เสวียนจีเดิมคิดจะหันไปทะเลาะกับเขา พลันมีแสงวูบมา หันไปมองทางงูปาเสอ เห็นเพียงหัวกลมๆ ของมันมีสองตาราวกับแก้วผลึกสีเขียวกะพริบส่องประกาย เป็นส่วนที่ไม่ได้มีการป้องกันจริงดังว่า อวี่ซือเฟิ่งที่ด้านหลังกระชากปลายเสื้อนาง นางพลันได้สติ กัดฟันเหินกระบี่ขึ้นกระแทกหัวใหญ่โตของมัน
งูปาเสอกำลังดิ้นรนกับความเจ็บบนหลัง พลันได้กลิ่นมนุษย์เป็นๆ กำลังอยู่ตรงปาก กอดดีใจแทบคลั่งไม่ได้ อ้าปากงับทันที อวี่ซือเฟิ่งคว้าเขี้ยวแหลมคมของมันคนละข้างกับเสวียนจี เล็งสองตาของมันแทงลงไปเต็มแรง
เสียง ฟุ่บ ดังขึ้น ทั้งสองรู้สึกเหมือนแทงลูกหนังที่พ่นลมออกมา บาดแผลมีน้ำสีดำทะลักออกมาจำนวนมาก พวกเขารู้ความร้ายกาจดี ไม่กล้าเข้าใกล้ รีบถอยฉากชักกระบี่แทงอีก ก็ไม่รู้แทงเข้าที่ดวงตาน่าสงสารนั่นไปกี่กระบี่ งูปาเสอเจ็บจนร่างสั่นกระตุกไม่หยุด ขายุ่บยั่บมากมายตะกุยตะกายไปทั่ว มุมปากได้กลิ่นมนุษย์ แต่เขาสองคนเร็วยิ่งกว่ากระต่าย งับอย่างไรก็ไม่เข้าปาก สุดท้ายได้แต่ละความตั้งใจ กลิ้งตัวไปบนพื้น ไม่รู้จะทำเช่นไรจึงจะพ้นความเจ็บปวดนี้ได้
เสวียนจีกระชักกระบี่เปิงอวี้ไว้ในมือ นิ้วมือค่อยๆ ลูบผ่านลำกระบี่ ในยามนั้นปล่อยพลังเพลิงแสบตาออกมา ตอนนี้คล้ายว่านางจะเรียกอัคคีสมาธิจิตเล็กๆ ออกมาได้แล้ว แม้ว่าไม่มาก แต่ก็ว่องไวกว่าเมื่อก่อนมาก
งูปาเสอรู้สึกว่าข้างกายมีเปลวไฟร้อนแรง รู้ตัวคิดหลบก็สายไปเสียแล้ว เสวียนจีใช้อัคคีสมาธิจิตเผากระบี่เปิงอวี้แทงลงบนหลังมันอย่างแรง ราวกับหั่นแตงหั่นผัก จากหัวลากไปถึงหาง อัคคีสมาธิจิตเป็นเพลิงสวรรค์ร้ายกาจเพียงใด กอปรกับกระบี่เปิงอวี้ยังเป็นเทพศาสตราร้ายกาจ ในยามนั้นจัดการฟันงูปาเสอขาดสองท่อน มันทันแค่สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะร่วงพับลงพื้นเสียงดังสนั่นสิ้นใจตายในทันที
เสวียนจีค่อยๆ ลงสู่พื้น รู้สึกเพียงแค่ฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ หายใจหอบ ยังไม่อยากเชื่อว่าพวกเขาสองคนฆ่าสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ขนาดนี้ได้ กำลังอึ้งอยู่นั้น พลันได้ยินมกรปรบมือดังมาจากทางด้านหลัง “ไม่เลวนี่ แม้ว่าใช้เวลานานกว่าที่ข้าคิด แต่ก็ฆ่ามันลงได้ ไม่เลวจริงๆ”
“ข้า…ข้าว่าเจ้านะ!” เสวียนจีได้สติ หันกลับไปด่าเขาทันที “ทำไมเป็นสัตว์ภูตไร้ประโยชน์เช่นนี้นะ! เจ้านายต่อสู้กับปีศาจตรงหน้า เจ้าเอาแต่นั่งมองดูเรื่องสนุก”
มกรแค่นเสียงฮึกล่าวว่า “หากแค่งูปาเสอเจ้าก็รับมือไม่ได้ เจ้าควรเป็นนายข้าหรือ”
เสวียนจีโมโหแทบบ้า แทบอยากจะใช้กระบี่เปิงอวี้แทงใบหน้าเขาเป็นรูหลายรู อวี่ซือเฟิ่งเข้ามาตบไหล่ปลอบนาง กล่าวเบาๆ ว่า “ช่างเถอะ จริงๆ แล้วที่เขาพูดก็มีเหตุผล สัตว์ภูตแค่ช่วยเหลือนาย ยามต่อสู้กันจริงๆ ต้องอาศัยกำลังพวกเราเอง ยามนี้ฆ่างูปาเสอได้แล้ว ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเราก้าวหน้าแล้ว”
เสวียนจีจ้องมองมกรอย่างดุดัน กำลังจะกล่าว พลันได้ยินวิหคเทพหงหล่วนริมฝั่งเริ่มส่งเสียงร้องแหลม ทุกคนตกใจคิดว่าสัตว์ประหลาดอะไรในน้ำผุดออกมาอีก เมื่อครู่ฆ่างูปาเสอก็ใช้แรงไปมากแล้ว หากมีอะไรร้ายกาจมาอีกตัว ก็คงได้แต่รอความตายจริงๆ แล้ว
วิหคเทพหงหล่วนกระพือปีกขึ้นบินวนเหนือผิวน้ำในทะเลสาบไม่หยุด ราวกับลังเลว่าจะพุ่งลงน้ำดีไหม ได้ยินเพียงเสียงคลื่นลมดังแว่วมา สิ่งของเล็กๆ สิ่งหนึ่งดีดขึ้นจากในน้ำตรงเข้าที่ท้องวิหคเทพหงหล่วน ทำมันร้องโหยหวนดังขึ้นเสียงหนึ่ง ก่อนจะร่วงลงริมฝั่งไม่ขยับอีก
เสวียนจีรีบเข้าไปช่วย ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะเบาๆ ของคนในทะเลสาบ เสียงคุ้นเคยมาก ตามมาด้วยเสียงน้ำดังซ่า มีคนกระโจนขึ้นจากน้ำ เหินกระบี่สูงขึ้นไปยังกลางท้องฟ้า มองลงมายังพวกเขา ทั้งสองคนสวมชุดดำแขนสั้น ที่เอวแขวนห่วงเหล็กขาว
พอเสวียนจีเห็นใบหน้าทั้งสองคนชัด ในยามนั้นราวกับฟ้าผ่าลงมา แม้แต่นิ้วมือก็ขยับไม่ได้
รั่วอวี้! จงหมิ่นเหยียน!
เขาทั้งสองคนก้มลงมองอยู่ครู่หนึ่ง รั่วอวี้พลันยิ้มกล่าวว่า “ไม่เจอกันครึ่งปี เสวียนจีร้ายกาจขึ้นมาก งูปาเสอเป็นสัตว์ภูตรองเจ้าสำนัก แค่เอามาทำพวกเจ้าตกใจเล่น ปรากฏไม่ได้ดูแลให้ดี ถูกพวกเจ้าฆ่าทิ้งเสียแล้ว”
เสวียนจีกล่าวไม่ออกสักคำ ได้แต่อึ้งมองจงหมิ่นเหยียน เขาก้มหน้านิ่ง ไม่มองผู้ใดทั้งนั้น แสงจันทร์วับแวมสาดส่องใบหน้าเขา ใบหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ความรู้สึกราวกับมีน้ำแข็งปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง
อวี่ซือเฟิ่งตกใจกล่าวว่า “ทำไมพวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้?! หมิ่นเหยียน! รั่วอวี้!”
จงหมิ่นเหยียนหันหน้ามาไม่พูดสักคำ รั่วอวี้หัวเราะเบาๆ กล่าวอีกว่า “ขอโทษ ทำร้ายวิหคเทพหงหล่วนของพวกเจ้าแล้ว มันเสียมารยาท ข้าก็ได้แต่จัดการมันก่อน ซือเฟิ่ง อาการบาดเจ็บเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าดวงแข็งจริงนะ กระบี่นั่นถึงกับสังหารเจ้าไม่ได้”
อวี่ซือเฟิ่งขมวดคิ้วแน่น ไม่กล่าวอันใด
เสวียนจีขยับริมฝีปาก ในที่สุดก็กล่าวว่า “ศะ…ศิษย์พี่หก เจ้ากลับมาเถอะ!”
จงหมิ่นเหยียนเหมือนไม่ได้ยิน รั่วอวี้กล่าวอ่อนโยนว่า “วาจาโง่เง่ากล่าวครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว พวกเรามาเพื่อมาทักทายและนำวาจารองเจ้าสำนักมาบอก เขาถามเจ้า หลิงหลงฟื้นหรือยัง ครั้งก่อนเขาเหมือนไม่ทันระวังหยิบผิดขวด ให้จิตญาณผิดไป หากหลิงหลงยังไม่กลับมา เขายินดีต้อนรับเจ้ากับซือเฟิ่งไปเยือนเขาปู้โจวซานอีกสักครั้ง”
นี่คือวาจาท้ารบแท้ๆ เสวียนจีถูกำปั้น เล็บจิกลงในฝ่ามือ ราวกับไม่รู้สึกเจ็บปวดแล้ว ยามนี้ต้องทำอย่างไร เอาเรื่องหรือขอร้องก็ไร้ผล สองฝ่ายลงมือก็ยิ่งเจ็บกว่าทำร้ายตัวเอง
เงียบงัน นอกจากเงียบงัน นางทำอะไรไม่ได้อีก