ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 13 จิตญาณ (5)
วิหคเทพหงหล่วนบินไปส่งสาร ผ่านไปสามวันก็นำคนกลับมา ทั้งสี่ไม่ได้เจอกันนาน ก็กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง ที่แท้หลิ่วอี้ฮวนกับถิงหนูมาอยู่แถวเขาแรกอรุณกันนานแล้ว ว่ามารอพวกเสวียนจีกลับมา ปรากฏคลาดกันเรื่อยไป ไม่ได้พบกันเสียที หากไม่ใช่วิหคเทพหงหล่วนส่งสาร หลิ่วอี้ฮวนก็คงออกเดินทางไปเกาะฝูอวี้แล้ว
เรื่องแรกที่เสวียนจีทำก็คือขอให้ฉู่เหล่ยมาช่วยขจัดคาถาน้ำแข็งในร่างหลิ่วอี้ฮวน ฉู่เหล่ยได้ยินบุตรสาวพูดถึงเรื่องราวดวงตาสวรรค์ของหลิ่วอี้ฮวนมาก่อน แม้ว่าอายุพอควรแล้ว แต่ยังทำตัวโวยวายเหมือนเด็ก หากก็นับว่าเป็นชายชาตรี ดังนั้นจึงคิดสานไมตรีรับปากช่วยขจัดคาถาน้ำแข็งให้เขา
ยามนี้เพิ่งผ่านพ้นกำหนดครึ่งปีมาพอดี พอถอดเสื้อหลิ่วอี้ฮวนออก ทุกคนก็พากันตกใจ เดิมที่ไหล่ขวาเขาเคยมีก้อนม่วงดำอยู่ ตอนนี้ลามลงไปใต้บ่าแล้ว ฉู่เหล่ยสีหน้าหนักใจ ใช้มือเคาะก้อนดำบนผิวหนัง รู้สึกเพียงแค่เย็นเยียบยามสัมผัส แต่เขายังคงฝืนยิ้มแย้มได้ คิดว่าครึ่งท่อนล่างน่าจะไร้ความรู้สึกไปแล้วกระมัง
“เสวียนจี ซือเฟิ่ง พวกเจ้าสองคนออกไปก่อน ข้าจะขจัดคาถาน้ำแข็งให้ท่านหลิ่ว ขณะขจัดห้ามรบกวน”
อวี่ซือเฟิ่งมองพวกเขา หลายคนอยู่ต่อในห้องก็ช่วยอะไรไม่ได้ ได้แต่พากันออกไปรอด้านนอก เสวียนจีนั่งยองอยู่ข้างถิงหนู ไม่เจอกันครึ่งปี คิดถึงเขามาก พูดจาสัพเพเหระกับเขาไม่หยุด ถิงหนูได้แต่อมยิ้มฟัง ตอบกลับบ้างเป็นบางครั้ง ตั้งแต่รู้จักเขามา เสวียนจีก็รู้สึกคุ้นเคยสนิทสนมกับเขามาก ราวกับเมื่อก่อนนานมาแล้วเคยรู้จักเขา รู้สึกว่าเคยกล่าววาจาเหลวไหลในใจกับเขาหมดสิ้น เขาเป็นคนไว้ใจได้ เป็นคนปลอดภัย
น่าแปลกมาก เห็นๆ ว่าเป็นคนแปลกหน้า ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย แต่นางรู้สึกว่าเขาไว้ใจได้ ถิงหนูเองก็เหมือนคิดว่าการที่นางไว้ใจเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย
เสวียนจีพูดวาจาสัพเพเหระเหลวไหลไปสักครู่ก็กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ถิงหนู ครึ่งปีนี้พวกเจ้าไปทำอะไรมา พวกเราเคยไปเมืองชิ่งหยางหาพวกเจ้า หาไม่เจอ”
ถิงหนูยิ้ม “เป็นธุระท่านหลิ่ว ข้าไปเป็นเพื่อนเท่านั้น เขาไปเขาแห่งหนึ่ง ที่นั่นเหมือนมีหลุมศพคนที่เขารู้จัก พวกเราไปอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง”
หลุมศพ? เสวียนจีสบตาอวี่ซือเฟิ่ง เขาเองก็มีสีหน้างุนงง เห็นชัดว่าไม่รู้ว่าผู้นั้นคือผู้ใด
ถิงหนูเห็นนางคิดเอ่ยถาม รีบส่ายหน้า “เรื่องส่วนตัวผู้อื่นไม่ควรถาม หากเขาอยากพูด ก็ย่อมมีสักวันที่จะพูดเอง เขาไม่คิดพูด ก็อย่าได้บีบคั้นให้ลำบากใจ”
เสวียนจีพยักหน้า เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “ถิงหนู เจ้ารู้ใช่ไหม เมื่อก่อนข้า…อืม ชาติก่อนข้า…”
เขาเหมือนกับอึ้งไป แต่ก็ยังคงพยักหน้า กล่าวเบาๆ ว่า “ทำไม คิดอะไรขึ้นมาได้บ้างแล้วหรือ”
“ราวกับมีภาพ ทุกครั้งที่ใช้พลังไฟหรือตอนคับขันตื่นเต้น ก็จะมีภาพบางส่วนปรากฏ ขึ้นมา แต่พอผ่านไปก็ลืม ตอนนี้ข้ารู้ว่าตนเองคือแม่ทัพเทพสงคราม กระบี่เปิงอวี้ไม่ได้ชื่อกระบี่เปิงอวี้ แต่ชื่อติ้งคุน ราวกับชาติก่อนทำความผิดมหันต์ ดังนั้นจึงถูกลงโทษลงมา”
เรื่องนี้ออกจากปากนางราวกับเป็นเรื่องผู้อื่น ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตนเองทั้งสิ้น
นางยิ้มฝืดเฝื่อนกล่าวว่า “แม้ว่ารู้ แต่ก็ยังรู้สึกไม่ใช่ข้า เหมือนไม่เกี่ยวอันใดกับชาตินี้ของข้า…”
ถิงหนูไม่กล่าวอันใด นางกล่าวอีกว่า “ข้าเคยคิด แม้ว่านึกเรื่องชาติก่อนทั้งหมดขึ้นมาได้จริง ข้าก็ไม่ใช่แม่ทัพเทพสงครามนั่น ข้ายังเป็นฉู่เสวียนจี ชาตินี้กับชาติก่อนต่างกันอย่างสิ้นเชิง เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ควรให้ผ่านไป เป็นคนก็ควรมองไปข้างหน้า เจ้าว่าไหม”
ถิงหนูยิ้มเล็กน้อย กล่าวอ่อนโยนว่า “ไม่ผิด จมปลักอยู่กับอดีตไม่ใช่วิถีแห่งปัญญา เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง”
เสวียนจีได้รับเสียงชื่นชมจากเขาก็เบิกบาน ยิ้มกล่าวว่า “ถิงหนู ชาติก่อนข้าก็รู้จักเจ้าใช่ไหม เมื่อก่อนพวกเราเป็นสหายสนิทใช่ไหม”
ถิงหนูคิดไปคิดมา ตอบน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ใช่…แต่ เจ้าเป็นแม่ทัพเทพสงครามสูงส่ง ข้าเป็นเพียงเงือกตัวหนึ่งที่ถูกเลี้ยงอยู่ในสระสวรรค์ เพิ่งได้ขึ้นมา สหายสนิท…ไม่อาจกล่าวเช่นนั้นจริงๆ”
“เช่นนั้นเจ้าเล่าเรื่องเมื่อก่อนมา ข้าอยากฟัง”
ถิงหนูตะลึงไปครู่หนึ่งราวกับจมอยู่ในภวังค์ความคิดอยู่นาน จึงได้เล่าอย่างไม่จริงจังนักว่า “ตอนนั้น…เบื้องบนมีสงครามต่อเนื่อง ปกติเจ้าก็มักสวมเกราะออกรบ นานวันเข้าก็รู้สึกเบื่อหน่าย มาที่สระสวรรค์ทอดถอนใจบ้าง เจ้าคิดว่าข้าพูดไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง ดังนั้นจึงมักเอาอาหารมาให้ข้า เล่าเรื่องราวการรบ ต่อมา…”
ต่อมาก็เป็นนางพูด เขาฟัง นางคิดว่าเขาฟังไม่เข้าใจ เขาคิดว่านางไม่อยากให้คนพูดแทรก จนวันหนึ่ง เขาฟังคนอื่นมาคุยเรื่องนางละเมิดกฎสวรรค์กันที่ริมสระสวรรค์ว่าราชันสวรรค์จะลงโทษนาง เผาหลอมจิตญาณนางให้แหลกสลาย เขาร้อนใจจึงไปกล่าววาจาต่อหน้านาง ให้นางหนีไปจากแดนสวรรค์ พูดตามจริง ด้วยความสามารถนาง หากอยากหนีไปจากแดนสวรรค์ก็ไม่มีคนกล้ารั้งไว้ ราชันสวรรค์แต่ไรมาก็เอ็นดูนาง ไม่อยากทำให้นางต้องลำบากใจ
แต่นางพอได้ยินเขาพูดได้ ปฏิกิริยาแรกไม่ใช่ตกใจหรือโมโห หากเป็น…
“ต่อมาล่ะ” เสวียนจีถามอย่างอยากรู้ต่อ
ถิงหนูยิ้มกล่าวว่า “ต่อมาข้าเปิดปากพูดครั้งแรก เจ้าแตกตื่นมากราวกับเด็กน้อยทำผิด หน้าแดงก่ำ ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะอายกระมัง คิดว่าข้าไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงพูดออกมาหมด ปรากฏข้าฟังเข้าใจหมด”
น่าขายหน้าจริงด้วย ครั้งนั้นพอนางรู้ว่าเขาพูดภาษามนุษย์ได้ ก็ลนลานมือไม้เปะปะทำของร่วงลงพื้นไปหมด ยามนั้นนางไม่เหมือนแม่ทัพเทพสงครามเกรียงไกรแม้แต่น้อย นางเป็นแค่ดรุณีน้อยแสนธรรมดาอย่างที่สุด เรื่องราวในใจถูกคนแปลกหน้ารู้เข้าจึงรู้สึกเขินอาย
เขาเองก็รู้ในตอนนั้นว่า แม้ว่ารูปร่างภายนอกเปลี่ยนไป คนยิ่งใหญ่เพียงใด ภายในใจใช่ว่าเข้มแข็งกันทุกคน พวกเขารู้จักกันก็เริ่มจากตอนนั้น และก็หยุดอยู่แค่ตอนนั้น
นางสงบนิ่งลงอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ ปัดผมออก สายตาราวเกล็ดหิมะ ก่อนจะกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าย่อมไม่หนี มีโทษอันใด แค่ยอมรับก็พอ”
เขายังคิดตักเตือนนาง นางกลับหันกายจากไป พลันหันกลับมายิ้มให้เขาเล็กน้อย กล่าวว่า “อย่าพูดเพื่อข้าอีก เจ้าเองจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
เรื่องราวถัดมา นางถูกจับเข้าคุกสวรรค์ เขาเองก็ถูกเปิดโปงว่า ‘สมรู้ร่วมคิด’ กับนาง เพราะหลายคนเห็นว่าคืนนั้นนางไปคุยกับเขาที่สระสวรรค์
หลายปีผ่านไป วันเวลาผ่านไปราวสายน้ำไหล นางลงมารับเคราะห์กรรมยังโลกมนุษย์ เขาถูกขับออกจากสวรรค์ ได้แต่เริ่มมาเป็นเงือกธรรมดาใหม่ ในใจเขาแต่ไรมามีวาจาที่ยังไม่ได้เคยได้บอกนาง รอจนนานเพียงนี้ ผ่านความทุกข์ยากมานาน ในที่สุดก็ได้มาพบกับนางอีกครั้ง แม้ว่านางจำไม่ได้แล้ว ราวกับเปลี่ยนเป็นอีกคน แต่วาจานี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องบอกนาง
“ถิงหนู ทำไมเจ้าไม่เล่าต่อ” เสวียนจีฟังไปครึ่งหนี่งก็รอจนทนไม่ไหว ได้แต่เอ่ยถาม
เขาหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปลูบผมนาง กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้ารู้ไหม ไม่ว่าเจ้าว่าอะไร ข้าก็อยากฟัง วันหน้า…ก็อยากฟังอีก”
ความดึงดันนี้ราวกับความรักร้อนแรงฉุดไม่อยู่ ได้แต่คิดชดเชยที่คืนนั้นเขาไม่ได้กล่าวออกไป ได้แต่คิดจะฟังนางต่อ ใต้แสงจันทร์ เกราะทองคำสะท้อนผิวน้ำ ใบหน้าดรุณีน้อยไร้เดียงสา กลิ่นอายสังหารทั้งหมด กลิ่นอายเย็นเยียบทั้งหมดล้วนหายไปสิ้น ที่เรียกกันว่าเทพสงครามก็เป็นแค่เด็กน้อยไร้เดียงสาคนหนึ่ง
ไม่ใช่หลงใหลชื่นชม ไม่ใช่หลงรัก เขาเพียงแต่รู้สึกเห็นใจอาการแตกตื่นของนางในตอนนั้น ไม่อยากให้ความทรงจำนี้เลือนหายไปดังเม็ดทรายร่วงลอดหล่นไป
****
คาถาน้ำแข็งในตัวหลิ่วอี้ฮวนถูกขจัดทิ้งอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงพักผ่อนอีกสองวันก็จะหายเป็นปกติ
เสวียนจีมองฉู่เหล่ยเดินออกมาเหงื่อเต็มหน้า เห็นชัดว่าใช้พลังวัตรไปมาก ในใจรู้สึกซาบซึ้งและรู้สึกผิด เข้าไปคว้ามือบิดาไว้ เรียกเบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง “ท่านพ่อ…”
ฉู่เหล่ยลูบศีรษะนาง กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ไม่เป็นไรแล้ว ให้สหายเจ้าไปพักได้แล้ว ดึกแล้ว”
เสวียนจีส่ายหน้า “ไม่ อาการพี่หลิ่วดีขึ้น ข้าก็วางใจ ตอนนี้ต้องไปช่วยหลิงหลง”
ฉู่เหล่ยได้ยินมานานแล้วว่านางรู้จักผู้สูงส่งผู้หนึ่งที่เรียกจิตญาณหลิงหลงกลับคืนร่างได้แต่ไม่รู้ว่าคือผู้ใด ยามนั้นจึงตกใจกล่าวว่า “ตอนนี้ก็ได้? แต่ท่านหลิ่วเพิ่งหลับไปเมื่อครู่…”
เสวียนจียิ้ม เข็นถิงหนูเข้ามาอวด กล่าวว่า “ไม่ใช่พี่หลิ่ว เป็นท่านนี้! เขาชื่อถิงหนู ตลอดทางช่วยเหลือพวกเราไว้มากมายทีเดียว!”
ฉู่เหล่ยเห็นเขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาก็สงสัย กล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เรียนถาม…”
ถิงหนูเลิกผ้าคลุมที่ขาออกเผยให้เห็นหางปลา กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าน้อยเงือกถิงหนู คารวะเจ้าสำนักฉู่”
ปีศาจ! ฉู่เหล่ยสีหน้าแปรเปลี่ยน เสวียนจีดึงมือเขาไว้อย่างแรง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ท่านพ่อ! เขาเป็นสหายข้า!”
เป็นสหายกับพวกปีศาจได้อย่างไร?! ฉู่เหล่ยริมฝีปากกระตุก คิดจะกล่าวอันใด สุดท้ายได้แต่ถอนใจส่ายหน้ากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เขา…เอาเถอะ เช่นนั้นรบกวนท่านแล้ว ช่วยบุตรสาวข้ากลับมาได้ ทุกคนในสำนักเส้าหยางย่อมซาบซึ้งในบุญคุณยิ่ง”
“เจ้าสำนักฉู่เกรงใจไปแล้ว” ถิงหนูไม่ใส่ใจท่าทางสูญเสียกิริยาของเขา หันกลับไปกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เสวียนจี พาข้าไปหาหลิงหลงสิ”
ฉู่เหล่ยยืนนิ่งอยู่กับที่ มองพวกเขาเดินออกไปไกล ในใจก็ไม่รู้ว่ารู้สึกรสชาติเช่นไร ชั่วชีวิตที่เขาเรียนรู้มาก็มีแต่เรื่องปีศาจก่อกรรม ต้องกำจัด ยิ่งมีเรื่องโซ่หมุดทะเลจะถูกมารปีศาจทำลาย ก็ยิ่งรังเกียจปีศาจ ตอนนี้หาไปทั่วหล้า คนที่จะช่วยหลิงหลงได้ไม่มีสักคน กลับมีแต่ปีศาจยอมยื่นมือช่วย รสชาตินี้ใช่ว่าจะกล่าวออกมาได้ด้วยไม่กี่วาจา
บางที เขาแก่แล้วจริงๆ
ฉู่เหล่ยถอนหายใจ ในที่สุดก็หันกายเดินตามไป