ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 14 จิตญาณ (6)
ทุกคนในสำนักเส้าหยางได้ยินว่ามีคนสามารถช่วยหลิงหลงได้ก็พากันมาออดู ลานหน้าเรือนพักหลิงหลงก็เต็มไปด้วยผู้คนมาออกัน เสวียนจีเข็นถิงหนูมาถึงก็ตกใจสะดุ้งโหยง กว่าจะฝ่าฝูงชนเข้าไปได้
ฉู่เหล่ยกำลังจะสั่งให้ทุกคนกลับไป พลันได้ยินในห้องมีคนร้องดังขึ้นว่า “โอย พวกเจ้ามากันหมดทำไมเนี่ย!” ดังนั้นจึงรีบสาวเท้าเข้าไป เห็นเพียงสองมือมกรเต็มไปด้วยขนม ในปากอัดแน่นเต็มไปหมด กำลังถลึงตาใส่อย่างไม่รู้สึกผิด
มิน่าเมื่อครู่หาอย่างไรก็หาเขาไม่เจอ ที่แท้แอบหนีมากินที่นี่ เสวียนจีขายหน้ามาก ถอนใจกล่าวว่า “เจ้าแล่นมานี่ทำไม ขนมพวกนี้นี่อย่างไรกัน”
มกรกลืนขนมลงไป กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเห็นขนมมากมายบนโต๊ะไม่มีคนกิน เสียดาย ดังนั้น…อย่างไรคนในห้องนี่ก็ไม่กิน ไม่สู้ให้ข้ากินแทน”
ที่แท้หลิงหลงสูญเสียจิตญาณไปก็ราวกับคนตาย ดังนั้นวางในห้องนางก็เหมือนวางบนโต๊ะบูชา มีคนเข้ามาเปลี่ยนขนมและผลไม้ใหม่ให้ตลอดเพื่อวางบูชาอยู่บนนั้น ไม่รู้ทำไมมกรคลำมาเจอที่นี่ได้ พลันท้องร้องก็เลยไม่เกรงใจหยิบกินหมด
“วันหน้าอย่าบอกใครว่ารู้จักข้า” เสวียนจีค้อนใส่เขา เข็นถิงหนูไปข้างเตียง อวี่ซือเฟิ่งเลิกม่านเตียงขึ้น เห็นหลิงหลงนอนหลับตาอยู่บนเตียง ลมหายใจสม่ำเสมอราวกับกำลังนอนหลับ ขนตากระเพื่อมไหวเล็กน้อย ราวกับสะกิดนางก็จะตื่นขึ้นมา
“หลิงหลง พวกเรามาเยี่ยมเจ้าแล้ว” เสวียนจีนั่งลง ค่อยลูบหน้าผากนาง มกรเห็นมีเรื่องสนุกให้ชม ก็รีบชะโงกหน้าเข้ามา มองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า กล่าวว่า “อ้อ ที่แท้นางก็คือหลิงหลง ไม่เลว ถูกกระชากจิตญาณไปจริง เพียงแค่ใส่กลับคืนก็ไม่เป็นไรแล้ว เชอะ นางสวยกว่าเจ้าเยอะ นิสัยย่อมต้องอ่อนโยนกว่าเจ้าแน่”
หน้าตาสวยก็ย่อมใช่ แต่นิสัยอ่อนโยนกว่านาง? อวี่ซือเฟิ่งสบตากับเสวียนจี พากันยิ้มไม่กล่าวอันใด มกรต้องเสียใจภายหลังกับวาจาที่เขากล่าวออกมาแน่
“ท่านต้องการคนคอยช่วยข้างๆ ไหม” พวกฉู่เหล่ยเดินเข้ามาสอบถาม อย่างไรจิตญาณไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น หากทำพลาด นางได้แต่นอนเช่นนี้ไปตลอดชีวิตแล้ว
ถิงหนูส่ายหน้า “ไม่ต้อง ทุกท่านอย่าได้ส่งเสียงรบกวนก็พอ”
“เขาคือคนที่ร่ายคาถาได้?” มกรกระซิบถามอวี่ซือเฟิ่ง จริงๆ แล้วพอถิงหนูเข้ามา เขาก็สังเกตว่าร่างกายเขามีกลิ่นอายไม่เหมือนคนอื่น เห็นชัดว่าไม่ใช่มนุษย์ เป็นปีศาจ และยังเป็นปีศาจอาวุโส แม้มกรเป็นสัตว์เทพ แต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกใดกับปีศาจ รู้สึกเพียงแค่ทุกคนล้วนเป็นสรรพชีวิต ไม่เหมือนฉู่เหล่ยที่สับสน แต่เขาเป็นเทพเซียน ย่อมไม่เป็นคาถาเรียกจิตญาณ วันนี้ให้ปีศาจแสดงความสามารถได้หน้าไปแล้วกัน หากในใจก็ยังรู้สึกเสียหน้าอยู่มาก
แต่…ทำไม ยิ่งมองยิ่งคุ้น ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เขาเป็นเงือก ชื่อถิงหนู บอกก่อนนะ เรื่องนี้สำคัญมาก ตอนนี้เจ้าอย่าก่อเรื่อง เกิดเหตุผิดพลาดขึ้นมา อารมณ์เสวียนจีเจ้าก็รู้นะ”
มกรสีหน้าซีดเผือดดังคาด สงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆ ไม่กล้าขยับ
ถิงหนูควักเอาจิตญาณหลิงหลงออกจากแขนเสื้อ เอียงขวดเข้าไปใกล้พลางใช้นิ้วมือแตะเปิดปากขวดออก ลูกไฟโลดเต้นมีชีวิตตกลงบนหน้าอกหลิงหลงเต้นไปมา ทุกคนพากันลืมหายใจ เอาแต่มองว่าเขาทำเช่นไร ถิงหนูยื่นนิ้วออกไปเขี่ยลูกไฟไปวางบนหน้าผากหลิงหลงเบาๆ ก่อนจะท่องเบาๆ ว่า “จิตวิญญาณคืนกลับ! ไยต้องห่างไกลกายท่าน ไยเวียนวนไปทั่วทิศ ไยละทิ้งความสุขท่าน ละจากไปได้อย่างไร”
ท่องเช่นนี้ไปได้ไม่นาน เห็นลูกไฟที่เหลือค่อยๆ เต้นอยากขยับ ก่อนจะกระจายไปตามร่างกายแต่ละส่วนของหลิงหลง บ้างก็ลงหน้าผาก บ้างก็ลงกลางใจ บ้างก็ลงที่ท้องน้อย ถิงหนูท่องไม่หยุด พลิกข้อมือคีบลูกไฟหนึ่งวางลงบนร่างนางแผ่วเบา เคลื่อนไหวเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนไปยังหน้าผากนางเข้าไปทางจุดเทียนหลิงไก้เหนือกระหม่อม
หลิงหลงบนเตียงพลันขมวดคิ้ว ราวกับฟื้นขึ้นมา คราง “อืม” ขึ้นเสียงหนึ่ง เสวียนจีดีใจมาก กำลังจะปรี่เข้าไปถาม กลับถูกอวี่ซือเฟิ่งรั้งไว้ ส่งสัญญาณให้นางอย่าขัดการว่าคาถา ถิงหนูยังคงไปที่ลูกไฟตรงไหล่ซ้ายนาง ท่องคาถาซ้ำอีก สุดท้ายลูกไฟนั่นก็มุดเข้าไปทางไหล่ซ้ายนาง หลิงหลงกะพริบตา พลันน้ำตาไหลร่วง
ลูกไฟที่เหลืออีกหก ล้วนถูกเขาใช้วิธีการท่องคาถาแบบเดียวกัน สุดท้ายส่งเข้าร่างนาง สีหน้าอารมณ์ความรู้สึกนางเริ่มหลากหลาย บัดเดี๋ยวสุข บัดเดี๋ยวเศร้า บัดเดี๋ยวกังวล บัดเดี๋ยวโมโห ทุกคนรู้ว่านั่นเพราะจิตญาณกลับเข้าสู่ร่างแล้ว ดังนั้นความรู้สึกแห่งกิเลสทั้งหมดจึงกลับคืนมาหมด ถึงลูกไฟสุดท้าย ถิงหนูเหงื่อแตกพลั่ก ท่าทางเหนื่อยล้า ในที่สุดก็ฝืนตบลูกไฟดวงสำคัญเข้าลงกลางใจนาง ได้ยินเสียงหลิงหลง “อา” ขึ้นเสียงหนึ่ง ก่อนจะลืมตาโพลง แผดเสียงร้องไห้ออกมา ตะโกนดังว่า “…ฆ่าข้าก่อนสิ!”
วาจากล่าวไม่ทันจบ พลันรู้สึกว่าตนอยู่ในห้องตนที่เส้าหยาง อดตะลึงไปไม่ได้ ไม่รู้วันเดือนปีอะไรแล้ว
ถิงหนูเกร็งตบมือหน้าศีรษะนางเบาๆ สุดท้ายยิ้มกล่าวว่า “สำเร็จแล้ว”
ทุกคนดีใจแทบคลั่ง กรูกันเข้ามา แย่งกันถามไถ่หลิงหลง ถามทุกเรื่องครบ นางกลับอึ้งงัน ราวกับยังไม่รู้ว่าตนเองอยู่ๆ จากเขาเกาซื่อซานกลับถึงเส้าหยางได้อย่างไร
ยามนั้นฉู่เหล่ยสองสามีภรรยาอธิบายสาเหตุให้นางเข้าใจ ในใจเสวียนจีแม้ว่าดีใจสุดขีด แต่ก็ไม่กล้าผลีผลาม เพียงเห็นหลิงหลงฟื้นมาก็ดีใจมากกว่าอะไรทั้งสิ้นแล้ว วาจามากมายไว้ค่อยคุยกับนางวันหลัง นางเข็นถิงหนูไปข้างๆ ยิ้มกล่าวว่า “ถิงหนู…ขอบคุณเจ้า” กล่าวจบ น้ำตาเป็นสายก็ไหลออกมาจากสองตา
ถิงหนูยิ้มบาง ตบมือนางเบาๆ ปลอบใจ มกรข้างๆ ถลึงตาใส่เขาเป็นนาน มองเขาเผยยิ้มเล็กน้อย ในหัวยามนั้นมีกระแสไฟวาบขึ้น กระโดดร้องดังขึ้นว่า “เจ้าเอง เจ้า! เงือกในสระสวรรค์นั่น! ข้าเคยเจอเจ้า!”
เขาตะโกนดังทำเอาทุกคนในห้องตกใจ พากันหันกลับไปมองเขา มกรท่าทางเก้อเขิน ลูบหูตนเองยิ้มกล่าวว่า “เอ่อ…ไม่มีอะไร…พวกเจ้าต่อสิ ข้าพูดเล่นเท่านั้น”
กล่าวจบเขาก็ไปนั่งยองลงตรงหน้าถิงหนู เอาแต่จ้องมองเขา กล่าวว่า “เจ้าเองใช่ไหม ต้องโทษถูกปลดไปด้วย เงือกนั่น”
ถิงหนูกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ข้าเอง…แล้วอย่างไร? ไม่เจอกันนาน ใต้เท้ามกร ท่านยังจำเงือกตัวเล็กๆ เช่นข้าได้”
มกรโมโหกล่าวว่า “พูดเหลวไหลให้น้อยหน่อย! เจ้าจำเขาได้สินะ? เขายังค้างประลองกับข้ายกหนึ่ง!”
ถิงหนูไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ใต้เท้ามกร วันๆ เอาแต่หาคนมาประลอง ข้าไม่รู้ท่านพูดถึง ‘เขา’ ไหน”
“เขา! เป็นเขา! ที่จองจำในแดนปรภพ! อู๋จือฉี!”
ถิงหนูหลุบตาลงกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่รู้ ตอนแรกไม่ใช่พวกเจ้าขังเขาไว้หรือ ไยมาถามข้า”
“นี่ เจ้า…” มกรใกล้ระเบิดอารมณ์แล้ว แต่ผมโดนคนดึงไว้ เจ็บจนเขาต้องร้องออกมา เสวียนจีขยุ้มผมเขาไว้ด้วยความโมโห “เสียงเจ้าดังเกินไปแล้ว! เจ้าจะทำอะไรถิงหนู?!”
มกรโมโหสุดขีด เจ็บจนสบถด่าว่า “นังหญิงหน้าเหม็น! เจ้ามายุ่งอะไรด้วย! ใช่แล้ว! ตอนนั้นเป็นเจ้าแย่งเอาหน้าข้าไป! ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”
ยังกล่าวไม่ทันจบก็ถูกนางเตะไปทีหนึ่ง “ไม่รู้เจ้าโวยวายอะไร! หุบปาก!” นางยิ้มให้ถิงหนู ถอนใจกล่าวว่า “ขอโทษด้วย นี่เป็นสัตว์ภูตข้าเอง มกร นิสัยแย่มาก หากรังแกเจ้าต้องบอกข้านะ ข้ากลับไปจะจัดการลงโทษให้หนัก”
“นังหญิงหน้าเหม็น…” มกรถูกนางเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้า กำลังคิดต่อต้าน แต่มีพันธะสัญญาผูกมัด ไม่อาจต่อต้านได้แม้แต่น้อย ได้แต่ด่าทอยกใหญ่
ถิงหนูกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เขา…กลายเป็นสัตว์ภูตเจ้า?”
เสวียนจีพยักหน้า “ใช่ แต่เขาน่ารังเกียจมากจริงๆ ทำข้ารำคาญจะตายอยู่แล้ว”
ถิงหนูนิ่งอึ้งเป็นนาน พลันหลุดหัวเราะออกมา ทำเอาเสวียนจีงุนงงไม่เข้าใจ ถามว่า “ทำไมหรือ เจ้าหัวเราะทำไม”
“ไม่มีอะไร…” ถิงหนูยกแขนเสื้อปิดไว้ แต่ยังมีเสียงหัวเราะเล็ดรอดออกมา เขานึกถึงเรื่องเมื่อก่อนนี้ มกรเป็นคนที่ชอบหาเรื่องต่อยตีเก่งอันดับหนึ่ง มักคิดว่าเป็นหนึ่งใต้หล้า ต่อมาได้ยินว่าเทพสงครามไม่เพียงเป็นหญิง ยังร้ายกาจมาก คนเดียวต่อสู้กับกองทัพนับพันอย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย เขาจึงขึ้นแดนสวรรค์ไปเสาะหานาง วันทั้งวันเอาแต่ตะโกนท้ารบกับเทพสงคราม
สุดท้ายเทพสงครามทำผิดถูกลงโทษลงมารับเคราะห์กรรมในโลกมนุษย์ เขาไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ละทิ้งความตั้งใจเดิม ครั้งนี้ไม่รู้วาสนาบังเอิญอย่างไร ถึงกับมาพบกับเสวียนจีได้ คิดว่าต้องเป็นเพราะเขาที่เคยตามตอแยก่อนหน้าเป็นแน่ ทั้งสองสู้กันยกหนึ่ง ปรากฏย่อมต้องเป็นเขาพ่ายแพ้ กลายมาเป็นสัตว์ภูตนาง ในใจเขาไม่ยินยอมก็ไม่แปลก
มกรถูกเสวียนจีเหยียบใต้ฝ่าเท้า ในที่สุดก็ไม่ดิ้นรนอีก กล่าวเพียงว่า “อู๋จือฉีถูกจับขังไว้ เรื่องนี้ข้ารู้ภายหลัง ข้าไปหาราชันสวรรค์เพื่อถกเหตุผล ถูกไล่ออกมา ยังถูกกักขังมาร้อยปีอีก”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยมาก ถิงหนูซาบซึ้งใจ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ลำบากใต้เท้ามกร…ถึงกับไปขอร้องแทนเขา…”
“ขอร้องแทนบ้าอะไร! เขาติดค้างประมือกับข้ายกหนึ่ง! หากจะตาย อย่างน้อยก็ต้องรอให้ประมือกับข้าเสร็จก่อนสิ!”
เขาคำรามดังท่าทางมั่นอกมั่นใจ ไม่รู้สึกว่ามีอะไรแอบซ่อนในใจแต่อย่างใด ถิงหนูยิ้มกล่าวว่า “แม้เช่นนี้…อย่างไรก็ขอขอบคุณใต้เท้ามกรแทนอู๋จือฉีแล้ว”
เสวียนจีได้ยินพวกเขาพูดถึงอู๋จือฉี ประมือ อะไรพวกนี้ รู้สึกเพียงแค่คุ้นอยู่บ้าง พลันคิดไม่ออก ขณะกำลังพยายามคิดนั้นก็ได้ยินด้านหลังมีคนเรียกนาง “เสวียนจี!”
เสียงหลิงหลง นางหันกลับไปทั้งตกใจและดีใจ เหยียบหน้ามกรก้าวข้ามไปอย่างไม่เกรงใจ วิ่งเข้าไปข้างเตียง เห็นหลิงหลงจ้องมองตน นางเรียกขึ้นเสียงหนึ่ง “หลิงหลง” พลันสะอื้นตรงเข้ากอดนางไว้พูดไม่ออก
นางกลับมาแล้ว ในที่สุดก็ช่วยนางกลับมาได้แล้ว เสวียนจีกอดนางแน่น ราวกับชั่วชีวิตนี้ไม่เคยเห็นนาง กอดกันอยู่เช่นนี้ ผู้ใดก็อย่าได้ปล่อยมือก่อน