ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 24 ใกล้ปะทุ (6)
ทุกคนรีบกลับไปยังโถงกลาง อยากรายงานเรื่องราวด้วยความร้อนใจไม่อาจรอช้า พากันบุกเข้ามาถึงก็เห็นเพียงมองฉู่เหล่ยกำลังจิบชาคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไปกับตงฟางชิงฉี ตรงข้ามยังมีถิงหนู หลิ่วอี้ฮวนสองคน และมกรกำลังกวาดกินรอบๆ อย่างตะกละ พอเห็นพวกเด็กๆ อยู่ๆ บุกเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทุกคนพากันตะลึงไป ก่อนฉู่เหล่ยจะทำหน้าดุกล่าวว่า “ไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่! ยังไม่รีบขออภัยเจ้าเกาะอีก?”
ก่อนจงหมิ่นเหยียนเข้ามาก็แอบหวังว่าตนเองไม่ได้ทำความผิดมหันต์อันใด แต่ตอนนี้พอเห็นสีหน้าฉู่เหล่ย ในใจเขาก็แอบปวดปลาบ เหมือนคนถูกแทงลงตรงหน้าหนึ่งมีด แทบหายใจไม่ออก สมองราวกับถูกฉีกเป็นชิ้น เขาไม่อาจทนต่อไปได้ สองขาอ่อนยวบลงคุกเข่ากับพื้น น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “อาจารย์…ศิษย์…ศิษย์…” เขาไม่รู้ตนเองควรกล่าวอันใด ยังกล่าวไม่จบ น้ำตาก็นองหน้าไปหมดแล้ว
ฉู่เหล่ยเห็นสภาพเขาก็อดตกใจไม่ได้ ร้อนใจกล่าวว่า “เกิดอะไรขึ้น” เขามองไปยังหนุ่มสาวด้านหลัง อย่างตกใจและไม่เข้าใจ
อวี่ซือเฟิ่งเล่าเก่ง เล่าเรื่องเมื่อครู่ออกมาอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกล่าวว่า “ผู้น้อยทำใบหน้าคนผู้นั้นบาดเจ็บ เป็นสิ่งที่ทำให้แยกแยะคนผู้นั้นได้อย่างดีในตอนนี้ ขอให้เจ้าเกาะรีบส่งคนไปค้นหาทั่วเกาะ!”
ทุกคนได้ยินว่ามีเรื่องเช่นนี้ก็ตกใจอย่างมาก ฉู่เหล่ยถลึงตาใส่จงหมิ่นเหยียน กล่าวว่า “เดี๋ยวค่อยมาพูดกับเจ้า! ลุกขึ้นก่อน ถอยไปข้างๆ ก่อน!” จงหมิ่นเหยียนไม่กล้าขัดคำสั่ง แต่ก็ไม่กล้าลุกขึ้น หากไปคุกเข่าอยู่อีกมุมหนึ่งแนบหน้าผากกับพื้นไม่ขยับ หลิงหลงสงสารและปวดใจ ไปนั่งอยู่ข้างกายเขา กุมมือเขาไว้แน่น กล่าวว่า “ท่านพ่อ คนผู้นั้นกล้ามาก ถึงกับกล้าปลอมตัวเป็นท่าน! และปลอมได้เหมือนมาก แม้แต่ข้าก็ยังเกือบถูกหลอก! ไม่อาจโทษหมิ่นเหยียน!”
ในใจฉู่เหล่ยย่อมโมโหมาก แต่ไม่อาจเผยออกทางสีหน้า หันกลับไปกล่าวว่า “พี่ชิงฉี งานชุมนุมปักบุปผากำลังจะเริ่ม ไม่อาจให้มารปีศาจมาก่อกวน พี่ว่าทำอย่างไรดี”
ตงฟางชิงฉีนิ่งเงียบเป็นนาน พลันกล่าวว่า “ไปตามเพียนเพียนกับอวี้หนิงมา!”
ศิษย์ด้านนอกรีบรับคำสั่ง ผ่านไปไม่นาน กระบี่หยกประสานชื่อเสียงก้องหล้าก็ปรากฏตัว ณ โถงกลาง ยังคงหนึ่งแดงหนึ่งขาว เพียงแต่อวี้หนิงเกล้ามวยขึ้นไปแต่งกายแบบสตรีออกเรือน เห็นท่าทางนางกับเพียนเพียน ทั้งสองคนเหมือนกับแต่งงานเป็นสามีภรรยาแล้ว เสวียนจีพอเห็นเขาสองคนก็คิดถึงเรื่องราวในป่าต้นซิ่งวันนั้น อดเงยหน้ามองอวี่ซือเฟิ่งแวบหนึ่งไม่ได้ เขาเองก็เห็นชัดว่านึกถึงเช่นกัน ทั้งสองสบตากัน เสวียนจีรีบผินหน้าหนี ใบหน้าค่อยๆ แดงระเรื่อ
“แจ้งสำนักพัดหยก ตามคนบนเกาะทั้งหมดมารวมกัน ไม่ให้ขาดแม้แต่คนเดียว ใบหน้ามีรอยแผล แปลกหน้าไม่คุ้นเคย ร่างกายมีเปื้อนเลือด นำตัวมาที่นี่ให้หมด เจ้าสองคนตามสำนักพัดหยกไปค้นหาตามจุดห่างไกลสายตาทั้งหมดรอบหนึ่ง”
เขากลัวมารปีศาจพวกนั้นมีพวกมาก คนสำนักพัดหยกรับมือไม่ไหว ดังนั้นจึงส่งศิษย์ที่เก่งกล้าดังใจที่สุดสองคนไปช่วย ทั้งสองรับคำสั่งก็รีบออกไป เกาะฝูอวี้แม้ว่าเป็นเกาะโดดเดี่ยวกลางทะเล แต่หากจะปูพรมค้นหา ก็ย่อมต้องใช้เวลาสักระยะ ฉับพลันทั่วโถงก็เข้าสู่ความเงียบงันน่าประหลาด ตงฟางชิงฉีรู้พวกเขาศิษย์อาจารย์มีเรื่องส่วนตัวต้องพูดกัน ตนเองอยู่ต่อก็คงไม่ดี จึงลุกขึ้นยิ้มกล่าวว่า “ข้าไปดูอาหารเย็นว่าเตรียมเสร็จแล้วหรือยัง ทุกท่านตามสบาย” กล่าวจบก็หันหลังเดินออกไป
ตอนนี้กลางโถงล้วนเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหมด นอกจากมกร ถิงหนู หลิ่วอี้ฮวน แต่มกรตะกละกิน ถิงหนูเงียบงัน หลิ่วอี้ฮวนแกล้งตาย ทั้งสามล้วนไม่คิดออกไป ฉู่เหล่ยพลันไม่สนใจพวกเขา เอ่ยว่า “หมิ่นเหยียน เจ้ามานี่”
จงหมิ่นเหยียนตอบขึ้นเสียงหนึ่ง ยังไม่กล้าลุก เดินเข่าเข้ามาแทบเท้าเขาเงียบนิ่ง
ฉู่เหล่ยกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เงยหน้าขึ้น! ข้าจำไม่ได้ว่าเคยสอนเจ้าให้ต่ำช้าเช่นนี้!”
จงหมิ่นเหยียนน้ำตาคลอกล่าวว่า “ศิษย์โง่เง่าที่สุด ทำความผิดเช่นนี้ ไม่มีหน้าพบอาจารย์!”
ฉู่เหล่ยนวดขมับ สีหน้าอ่อนล้า กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “วาจานี้ข้าได้ยินมาหลายรอบแล้ว ไม่คิดได้ยินอีก หลายวันนี้เจ้าผ่านอะไรมาบ้าง เล่ามาให้หมดอย่าได้ตกหล่นแม้แต่น้อย”
จงหมิ่นเหยียนกล่าวเบาๆ ว่า “ขอรับ…วันนั้นศิษย์แอบออกจากเกาะฝูอวี้มุ่งหน้าไปเขาปู้โจวซานช่วยคน ระหว่างทางพักที่หมู่บ้านเก๋อเอ่อร์มู่…คืนนั้นอาจารย์ก็มา”
เขาเริ่มเล่าออกมา ก็เหมือนเป็นลำดับอยู่ กล่าวต่อว่า “ตอนนั้นศิษย์ไม่รู้คนผู้นั้นเป็นตัวปลอม คิดว่าเป็นอาจารย์จริง คนผู้นั้นบอกว่าตอนนี้มีเรื่องใหญ่หนึ่งต้องการมอบให้ข้าทำ เกรงว่าข้าวู่วามไม่อาจทำได้สำเร็จ อาจารย์สั่งมา ศิษย์แม้ตายก็ย่อมไม่ปฏิเสธ ตอนนั้นข้ารับปากทันที เขายังว่า ขอเพียงทำสำเร็จ ก็จะไม่ตำหนิพวกเราที่แอบหนีจากเกาะฝูอวี้โดยพลการ และหลังจากเสร็จเรื่องนี้…ยังรับปาก…”
กล่าวถึงตรงนี้ก็เหมือนติดขัด ที่แท้วันนั้นคนผู้นั้นรับปากว่า ขอเพียงเขาทำสำเร็จ ก็จะยกหลิงหลงกับเสวียนจีทั้งสองคนให้แต่งกับเขา สำนักเส้าหยางก็ให้เขาสืบทอดต่อ จงหมิ่นเหยียนได้ยินอาจารย์รับปากเช่นนี้ ในใจก็ย่อมลิงโลดยินดีอย่างไม่ต้องพูดถึง สิ่งที่เก็บซ่อนลึกอยู่ก้นบึ้งของหัวใจ ความคิดที่ไม่อาจเปิดเผยให้ผู้ใดรู้ ได้สมดังหวัง จึงรับปากอย่างเต็มใจ เรื่องสืบทอดสำนักเส้าหยางถึงกับกลายเป็นเรื่องรองไป
เขากล่าวอีกว่า “คนผู้นั้นรับปาก หากข้าทำสำเร็จ ก็จะตกรางวัลใหญ่ให้ข้า ศิษย์ถูกล่อหลอกจึงรับปาก คนผู้นั้นยังว่า ให้ข้าไปเป็นสายในเขาปู้โจวซาน เพราะระยะนี้เรื่องโซ่หมุดทะเลกำลังคุกรุ่น พวกเราไม่อาจตกอยู่ในฐานะผู้ถูกกระทำ ต้องกุมการข่าวของอีกฝ่ายก่อน ศิษย์ได้ยินก็ว่ามีเหตุผล แต่เกรงว่ามารปีศาจเขาปู้โจวซานจะไม่เชื่อข้า คนผู้นั้นยังว่า รอให้พวกเราจะเข้าเขาปู้โจวซาน เขาจะปรากฏตัวมาเล่นละครฉากหนึ่ง ขับไล่ข้าออกจากสำนัก จากนั้นพอเข้ามาในเขาปู้โจวซาน ไม่ว่าอีกฝ่ายต้องการให้ข้าทำอะไรก็ห้ามขัดขืน ถึงกับ…สังหารศิษย์พี่รอง!”
ทุกคนได้ยินก็ส่งเสียงดัง เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งพลันนึกถึงสถานการณ์ในวันนั้นขึ้นมาพร้อมกัน มิน่าเขาจึงตัดสินใจตัดแขนเฉินหมิ่นเจวี๋ยฉับไว ที่แท้เขาคิดว่าเป็นคำสั่งฉู่เหล่ยจริง!
จงหมิ่นเหยียนรีบกล่าวต่อว่า “พอศิษย์ได้ยินก็รู้สึกวิธีนี้แม้ว่าดีแต่โหดเหี้ยมเกินไป ศิษย์พี่รองอย่างไรก็เป็นศิษย์ร่วมสำนัก โตมากับข้า ได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์มาด้วยกัน ข้าบอกคนผู้นั้น ข้าทำไม่ลง คนผู้นั้นโมโหมาก ว่าข้าจิตใจดังอิสตรี หากข้าไม่ทำตาม ก็จะขับข้าออกจากสำนักทันที ข้าไม่รู้ทำเช่นไร ได้แต่รับคำสั่ง ดังนั้นจึงได้เกิดเรื่องที่เขาปู้โจวซานเช่นนั้น…เพียงแต่ว่า ตอนนั้นข้าคิดไม่ถึงว่ารั่วอวี้จะช่วยข้า ต่อมาจึงได้รู้ว่าที่คุยกับอาจารย์วันนั้นเขาก็ได้ยิน เขากลัวข้าตัวคนเดียวเขาสู่ถ้ำมังกรรังพยัคฆ์จะตกในอันตราย ดังนั้นจึงร่วมดำเนินการเรื่องนี้กับข้า…”
ฉู่เหล่ยขมวดคิ้วกล่าวว่า “รั่วอวี้…ศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อ? เหตุใดเขาต้องช่วยเจ้า”
จงหมิ่นเหยียนกล่าวว่า “รั่วอวี้กับข้า ผูกพันราวกับพี่น้อง…เขาช่วยข้าย่อมเพราะมิตรภาพดังสหาย”
กล่าวถึงตรงนี้ รอบๆ ก็เงียบงัน มีแต่หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะเยียบเย็นขึ้นเสียงหนึ่ง ปากงึมงำไม่รู้พูดอะไร เสวียนจีอดไม่ได้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ศิษย์พี่หก! เขาไม่ได้ดีอย่างที่เจ้าคิด! วันนั้นกระบี่เขาแทงลงจุดสำคัญของซือเฟิ่งพอดี! เกือบทำให้เขาต้องตายแล้ว! เขาคิดสังหารซือเฟิ่งจริงๆ! เจ้า…ทำไมเจ้ายังคิดว่าเขาเป็นคนดี”
จงหมิ่นเหยียนนิ่งอึ้งไปเป็นนาน กล่าวว่า “วันนั้นสถานการณ์บีบคั้น เขาก็ไม่รู้ทำเช่นไรเหมือนกันกระมัง ไม่ว่าอย่างไร ช่วงเวลาในเขาปู้โจวซาน เขาช่วยข้าไว้มาก แต่ไรมาอูถงไม่เคยเชื่อใจพวกเรา ส่งแต่งานน่าเบื่อให้ทำ ไม่มีอะไรทำก็เอาแต่ให้พวกเราเล่าเรื่องห้าสำนักใหญ่…หากไม่มีเขา ข้าอาจถูกอูถงฆ่าตายไปแล้ว…”
เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “ท่านพ่อตัวปลอมนั่นอาจเป็นอูถงส่งมา! เขาจะหลอกเจ้าไว้ใช้ จะสังหารเจ้าทำไม”
จงหมิ่นเหยียนสีหน้าซีดเผือด เห็นชัดว่าจิตใจสับสนยิ่ง ถูกนางพูดใส่เช่นนี้ถึงกับกล่าวไม่ออกสักคำ ฉู่เหล่ยโบกมือกล่าวว่า “พวกเจ้าอย่าถาม หมิ่นเหยียน เจ้าเล่าต่อ”
จงหมิ่นเหยียนเงียบอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็กล่าวอีกว่า “ข้ากับรั่วอวี้สองคนอยู่เขาปู้โจวซานมาระยะหนึ่ง อยู่ๆ วันหนึ่งเขาว่าถึงเวลาแล้ว สั่งให้พวกเราฆ่าศิษย์พี่รองทิ้ง เอาศพมาโยนหน้าประตูสำนักเส้าหยาง ข้าย่อมไม่ยอมทำตาม ปรากฏทำเอาอูถงโมโหมาก สั่งขังข้ากับรั่วอวี้ พอพวกเราออกมา อูถงก็มอบหีบพร้อมคล้องกุญแจแน่นหนาให้ข้าใบหนึ่ง ให้ข้าไปโยนหน้าประตูใหญ่สำนักเส้าหยาง หากข้ารู้ว่าในนั้นเป็นศพศิษย์พี่รอง ให้ตายก็ไม่ยอม แต่อูถงว่า หากข้าไม่ยอมทำงาน เขาก็จะสังหารศิษย์พี่รอง ข้าคิดว่าเขายังไม่ได้สังหารศิษย์พี่รอง ดังนั้นจึงรับปาก…”
“ข้ายกหีบไม้เหินกระบี่มายังสำนักเส้าหยาง ตอนนั้น ฉับพลัน…อาจารย์ก็ปรากฏตัวอีก ถามข้าว่าในหีบไม้มีอะไร ข้าบอกว่าไม่รู้ อูถงให้ข้านำหีบไม้มาทิ้งหน้าประตูใหญ่สำนักเส้าหยาง เขาพยักหน้าบอกว่าข้าทำงานได้ดีมาก เขาพอใจมาก จากนั้นถามถึงเรื่องราวในเขาปู้โจวซาน แต่ข้าไม่ได้ใช้เวลาในนั้นมากนัก จึงไม่ได้มีอะไรมารายงานมาก รู้แต่รังมารปีศาจอยู่ที่ใดและเรื่องราวอื่นๆ ในนั้นเล็กน้อย…คนผู้นั้นไม่ตำหนิว่าข้าไร้ประโยชน์ ปลอบใจข้าสองสามประโยค ว่ามีอีกเรื่องให้ข้าทำ ให้ข้าไม่ต้องเป็นสายในเขาปู้โจวซานแล้ว รองานชุมนุมปักบุปผาเริ่ม ก็ให้กลับเข้าสำนักอย่างเปิดเผย เขาจะรับข้ากลับเข้าสำนักอีกครั้ง เรื่องนี้ต้องทำให้อูถงไม่พอใจคิดเอาคืนแน่ ต้องเร่งมาทำลายงานชุมนุมปักบุปผา ถึงตอนนั้นก็ให้ฉวยโอกาสในงานชุมนุมปักบุปผาที่มียอดฝีมือมารวมตัวกันร่วมมือจับอูถงไว้ แม้เขาเองไม่ออกหน้า อาจส่งคนมาแทน แต่อย่างน้อยก็ทำลายกำลังหลักเขาได้ วันหน้าก็จะให้ข้านำทางไปยังเขาปู้โจวซาน ไปรังมารปีศาจทำลายพวกมันให้ราบคาบ แม้ว่าข้าเองก็รู้สึกแผนนี้ไม่แยบยล แต่ไม่กล้าออกความเห็น นับประสาอันใดกับการกลับเข้าสำนักเป็นสิ่งที่ในใจข้าวาดหวัง จึงรับปากทันที ดังนั้น…เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้…ตอนบ่ายข้ากับหลิงหลงได้รับแจ้งว่าได้เวลาอาหาร กำลังจะไป ก็พบว่าอาจารย์มาตามบอกว่ามีภารกิจใหม่ให้ข้าทำ ข้าเลยไปกับเขา ปรากฏยังไม่ได้พูดอะไร พวกซือเฟิ่งก็มา…บอกว่าคนผู้นั้นเป็นอาจารย์ตัวปลอม…ข้าถูกหลอก…ข้า…ศิษย์…”
เขาพูดไม่ออกอีก น้ำตาไหลนองหน้า ตัวแข็งทื่อก้มหน้านิ่ง
ทุกคนได้ยินเรื่องประหลาดที่เขาประสบมา อารมณ์ในใจถาโถมบอกไม่ถูก ไม่ต้องสงสัย คนที่ปลอมตัวเป็นฉู่เหล่ยไปหลอกจงหมิ่นเหยียนต้องเป็นพวกอูถงแน่ การวางแผนอย่างตั้งใจเช่นนี้ยากจะเข้าใจยิ่ง พวกเขาก็ช่างเลือกคนจริง หากเลือกอวี่ซือเฟิ่ง ด้วยความฉลาดของเขาย่อมมองช่องโหว่ออก หากเลือกเสวียนจี นางเป็นคนขี้เกียจ ย่อมต้องปฏิเสธ มีแต่จงหมิ่นเหยียนที่ดูแล้วฉลาด แต่จริงๆ แล้วขาดความเฉลียว ประสบเรื่องใหญ่ก็มักจะเป็นพวกที่โง่เขลาเซ่อซ่า เขาเป็นคนที่หลอกง่ายที่สุด
แต่เงื่อนไขที่คนผู้นั้นยื่นข้อเสนอก็ช่างยั่วยวนเหลือเกิน เป็นความลับที่ซ่อนลึกที่สุดในใจของเขาที่เฝ้าใฝ่ฝัน วันหนึ่งมีคนเปิดออก ให้คำยืนยัน อย่าว่าแต่เขา แม้แต่อวี่ซือเฟิ่งเองก็คงหน้ามืด
ฉู่เหล่ยนิ่งอึ้งไปเป็นนาน พลันถามว่า “เจ้านำจิตญาณหลิงหลงกลับมาได้อย่างไร”
จงหมิ่นเหยียนท่าทางน่าสงสารกล่าวว่า “ข้าติดตามข้างกายอูถงทำงานให้เขาราวกับข้ารับใช้ส่วนตัว วันนั้นได้รู้ว่าจิตญาณที่เขาให้มานั้นปลอมอย่างไม่ตั้งใจ จิตญาณหลิงหลงยังอยู่ในห้องนอนเขา ตอนนั้นข้าทนไม่ไหวอีกแล้ว คิดจะมีเรื่องกับเขาซึ่งหน้า หากไม่ใช่รั่วอวี้ดึงข้าไว้…แต่ต่อมาข้าก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ฉวยโอกาสที่อูถงมอบภารกิจให้พวกเรานำสัตว์ภูตงูปาเสอของเขาไปหาเรื่องพวกเสวียนจี ตามวาจาเขาก็คือต้องการจะทดสอบความสามารถแท้จริงของทั้งสองดูว่าถึงขั้นไหนแล้ว ดังนั้นข้าเลยถือโอกาสเข้าไปในห้องนอนเขาขโมยจิตญาณหลิงหลงออกมา ไม่กล้ามอบให้พวกเขาต่อหน้า ได้แต่แอบยัดใส่อกเสื้อซือเฟิ่ง พอกลับไป อูถงเหมือนยังไม่รู้เรื่องนี้ พอดีที่ตอนนั้นอาจารย์ตัวปลอมก็มาหาข้า ให้ข้าออกจากเขาปู้โจวซาน คืนนั้นข้าบอกรั่วอวี้เรื่องนี้ เขาเองก็เห็นด้วย ข้าสองคนแอบหนีออกจากเขาปู้โจวซานกลางดึก รั่วอวี้บอกเขามีธุระต้องกลับตำหนักหลีเจ๋อ พวกเรามาเจอกันที่เกาะฝูอวี้…ข้าจึงได้เร่งเดินทางมาเกาะฝูอวี้คนเดียว รอมาครึ่งเดือนกว่า พวกอาจารย์จึงมา”
ฉู่เหล่ยฟังจบด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เงียบเป็นนานจึงกล่าวว่า “ตามความเห็นเจ้า เรื่องนี้ควรจัดการอย่างไร”
ในใจจงหมิ่นเหยียนอึงอล กล่าวน้ำเสียงสลดว่า “ความผิดศิษย์ไม่อาจยกโทษ ขอปลิดชีพชดใช้ความผิด!” กล่าวจบก็ชักกระบี่ออกจากเอว ไม่ลังเลพาดลงลำคอ หลิงหลงตกใจร้องเสียงหลง เข้าไปรั้งไว้อย่างไม่คิดชีวิต ได้ยินเพียงเสียง เคร้ง อวี่ซือเฟิ่งดีดลูกเหล็กใส่กระบี่ในมือเขา แต่ก็ยังช้าไปสักหน่อย ลำคอเขามีเลือดไหลซึม ปาดเป็นบาดแผลคมกริบรอยหนึ่ง
หลิงหลงร้องไห้เสียงหลง แกะสายรัดเอวเข้าพันแผลให้เขา นิ้วมือเปรอะเปื้อนโลหิตเขาก็ยิ่งอดแผดเสียงร้องไห้ดังลั่นไม่ได้ กำมือทุบลงบนอกเขา กล่าวน้ำเสียงเอาเรื่องว่า “เจ้าคิดจะตายเช่นนี้?! ผู้ใดให้เจ้าตาย? ผู้ใดอนุญาต?!”
จงหมิ่นเหยียนไร้วาจาจะกล่าว มีเพียงน้ำตาไหลพรากเท่านั้น
ฉู่เหล่ยส่ายหน้าค่อยๆ ลุกขึ้น ไพล่มือไว้ด้านหลังกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้ายังอายุน้อย อย่าได้ไม่มีอะไรก็กล่าวว่าจะตาย! จากวันนี้ไป เจ้าไม่ใช่ศิษย์สำนักเส้าหยางเราแล้ว ไม่ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์อีก”
วาจาออกไป ทุกคนพากันตกใจ เสวียนจีหลุดร้องออกมาว่า “ท่านพ่อ!”
ครั้งนี้ฉู่เหล่ยแน่วแน่ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ผู้ใดก็ไม่อนุญาตให้ขอร้องแทน! หุบปากให้หมด!”
เสวียนจีย่อมไม่ยอม แต่ถูกอวี่ซือเฟิ่งกดไว้แน่น ไม่ให้นางเคลื่อนไหวอีก จงหมิ่นเหยียนยิ้มน่าสงสาร ค่อยๆ ลุกขึ้นโขกศีรษะให้ฉู่เหล่ยเก้าครั้งอย่างเคารพสูงสุด กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “จงหมิ่นเหยียนอกตัญญู ทำให้อาจารย์ต้องผิดหวัง ถูกขับออกจากสำนัก ไม่กล้ามีวาจาแค้นเคืองใด!”
อารมณ์หลิงหลงกลับคืนสู่ปกติ ไม่ขอร้องให้เขาอีก หากคว้ามือเขาไว้ ไม่นานก็ตัดสินใจแน่วแน่กล่าวว่า “จากวันนี้ไป ข้าไม่ใช่ศิษย์สำนักเส้าหยาง! ข้ายังคงเป็นบุตรสาวท่านพ่อท่านแม่ แต่ไม่ใช่ศิษย์สำนักเส้าหยาง!”
“หลิงหลง!” เสวียนจียิ่งตกใจ เห็นทั้งสองคุกเข่าด้วยสีหน้าแน่วแน่น่าเห็นใจ มองไปยังฉู่เหล่ยที่ไพล่มือไว้ที่หลังแน่นิ่งไม่ขยับ ในใจพลันโมโหน้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าเองก็ไม่ใช่ศิษย์สำนักเส้าหยางแล้ว! นับจากวันนี้เป็นต้นไป! ทุกคนก็ต่างคนต่างอยู่!”