ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 26 ใกล้ปะทุ (8)
“ท่านพ่อ!” เสวียนจีกับหลิงหลงรีบเข้าประคองฉู่เหล่ยที่ทนไม่ไหวทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น สีหน้าซีดเขียว ริมฝีปากม่วงคล้ำ เห็นชัดว่าบาดเจ็บไม่น้อย หากยังฝืนทนกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “อย่าตกใจ! ประคองข้าเข้าไป”
ตงฟางชิงฉีประคองเขาไว้ แทบหิ้วปีกเขาเข้าไปในห้องโถง หันกลับไปสั่งศิษย์ “เอาน้ำร้อนมา!”
เขาปลดเสื้อด้านบนฉู่เหล่ยออก เห็นเพียงช่วงระหว่างหน้าอกถึงช่องท้องเขามีรอยดำม่วงคล้ำขนาดราวเล็บมือ ถึงกับแม้แต่ผิวหนังก็ไม่มีรอยแผล ไม่รู้โอวหยางนั่นยิงอะไรทะลุผ่านลงไป พอลองใช้มือคลำ ฉู่เหล่ยก็ปวดจนสะดุ้ง เหงื่อท่วมใบหน้าหมดสติไปทันที
เสวียนจีกับหลิงหลงได้แต่ลนลานตกใจน้ำตานอง กอดเขาไว้อย่างไร้หนทาง
บรรดาศิษย์ยกน้ำร้อนเข้ามาพร้อมกับยาสมานแผลต่างๆ ครบ แต่ทว่าไม่มีรอยบาดแผล ไม่มีแม้โลหิต มีแต่รอยช้ำเล็กๆ จะจัดการอย่างไร ตงฟางชิงฉีดูอยู่เป็นนานก่อนจะกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “หมิ่นเหยียน ซือเฟิ่ง พวกเจ้ามากดตัวเขาไว้ ข้าจะดูให้ละเอียดหน่อยว่าคืออะไร”
พวกอวี่ซือเฟิ่งรีบเข้ามารับช่วงต่อ กดแขนและขาไว้ กอดฉู่เหล่ยไว้แน่น ตงฟางชิงฉีราดน้ำร้อนไปบนบาดแผล ฉู่เหล่ยสะดุ้งสุดตัวราวกับกระทบกระเทือนรุนแรง เขากล่าวเบาๆ ว่า “กดให้แน่น!” กล่าวจบก็ยกมือคลึงบริเวณโดยรอบรอยนั่นไปมา ก่อนจะค่อยๆ ถ่ายทอดพลังวัตรลงไป ฉู่เหล่ยร้องเจ็บปวดดังก่อนฟื้นคืนสติและเป็นลมหมดสติไปอีกครา
พลังวัตรยิ่งถ่ายทอดลงไปมากเท่าไร รอยม่วงดำนั่นก็ยิ่งนูนขึ้น ดูแล้วเหมือนถูกสัตว์มีพิษกัดเอา ด้านบนสุดของรอยนูน มีรูเล็กราวเข็ม บาดแผลเล็กเช่นนี้ถึงกับทำให้ฉู่เหล่ยเจ็บปวดเช่นนี้ ทุกคนอดตกใจไม่ได้
ตงฟางชิงฉีถ่ายทอดพลังวัตรต่อ จากนั้นรอยนูนนั้นก็ไม่เปลี่ยนแปลงอีก แต่ฉู่เหล่ยกลับเจ็บปวดจนสีหน้าซีดเผือด กัดฟันแน่นจนเลือดซึมออกมา
เห็นภาพตอนนี้แล้ว ตงฟางชิงฉีก็ไม่กล้าถ่ายทอดพลังวัตรต่อ ได้แต่หยุดมือ ร้อนใจจนเหมือนเสือติดจั่น
พลันได้ยินมีคนด้านหลังกล่าวว่า “อย่าขยับ ให้พวกเราดูหน่อย เอ่อ พวกเจ้าเจ้าสำนักใหญ่ เรื่องอื่นก็แล้วไป แต่เรื่องวิชามารพวกนี้ไม่รู้เรื่องกันสักนิด”
เป็นหลิ่วอี้ฮวนกับถิงหนูสองคน เสวียนจีน้ำตาคลอร้อนใจกล่าวว่า “พี่หลิ่ว! ถิงหนู! พวกท่านช่วยท่านพ่อข้าได้ไหม”
หลิ่วอี้ฮวนไม่รับปาก หากก้มลงมองรอยนูนม่วงดำอย่างละเอียด ใช้มือลูบไปสองที รู้สึกเพียงแค่สัมผัสถึงสิ่งไม่ร้อนไม่เย็น อ่อนนุ่มไม่ต่างอันใดกับผิวหนังปกติ แม้เขาเห็นโลกมามาก แต่ยามนี้กลับมองไม่ออกว่าแท้จริงคือของเล่นอะไรกัน ได้แต่ขมวดคิ้วครุ่นคิดหนัก
ถิงหนูเองก็เข้ามาดู ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าดูออกแค่เป็นรอยแมลงกัด แต่รายละเอียด รักษาอย่างไรนั้น ข้าก็ไม่กระจ่าง”
เสวียนจีเห็นว่าแม้แต่ถิงหนูเองยังกล่าวเช่นนี้ รู้สึกไร้หนทางเยียวยาแล้ว อดสิ้นหวังไม่ได้ หันกลับไปมองฉู่เหล่ย ยกมือเช็ดน้ำตาบนใบหน้าเขา เจ็บปวดใจสิ้นหวังร้องเรียก “ท่านพ่อ!”
ถิงหนูกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “อย่าเพิ่งหมดหวัง พวกเราความรู้น้อย ที่นี่มีคนจากทุกสารทิศ ความรู้โลกกว้าง ต้องมีคนรู้”
“ผู้ใด” เสวียนจีผุดกระโดดขึ้นมองไปรอบๆ
ถิงหนูมองไปที่มุมหนึ่ง เห็นคนหนึ่งนั่งยองอยู่ตรงนั้น ผมขาวเงินยวง เรื่องมากมายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ราวกับไม่เกี่ยวข้องกับเขา ปากเขายังคงมีขนมอัดอยู่เต็มปาก พิงเสาราวกับกำลังสัปหงกใกล้จะหลับ เป็นมกร เขาได้ยินว่าของอร่อยกินก็รีบปรี่มาถึง ผู้ใดจะรู้ว่ามาเจอกับละครอาจารย์ศิษย์แสนเศร้า อีกพักก็มีละครมารปีศาจกลายร่าง ของกินอร่อยไม่เห็นมา ก็อดเบื่อหน่ายไม่ได้ จึงลงนั่งคิดจะหลับเสียเลย
กำลังจะหลับก็พลันมีคนกระชากหนังศีรษะเจ็บปลาบ มีคนกระชากผมเขาโยกไปมา เขาเจ็บจนร้องตะโกนออกไปว่า “ทำอะไร?! ปล่อยนะ!” ได้สติจะสะบัดหมัดออกไป พลันมองเห็นว่าคนผู้นั้นคือเสวียนจี หมัดที่คิดจะสะบัดออกไปก็ค้างเติ่ง ค่อยๆ แตะลงบนแขนนาง
“ปล่อย!”เขาคว้าผมตนเองอย่างแรง สีหน้าโมโหราวไฟปะทุ ถลึงตาใส่นาง “เจ้าจะทำอะไร”
วาจากล่าวจบก็พลันเห็นใบหน้าเสวียนจีนองไปด้วยน้ำตา จ้องมองตนเองนิ่ง เขาอึ้งไป ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ลุกขึ้นมองไปรอบๆ ทุกคนร้องไห้ก็ร้องไป อึ้งก็อึ้งกันไป เขาคว้าผมตนเองคืนมา กล่าวอย่างแปลกใจว่า “ทำไมหรือ ทุกคนถูกไล่ออกมาหรือ ไม่มีกินแล้วหรือ”
เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “มกร! เจ้าเป็นเทพเซียนสวรรค์ใช่ไหม เจ้ารู้เรื่องอะไรมากมายกระมัง”
เป็นครั้งแรกที่มกรได้รับการชื่นชมจากนางเช่นนี้ จมูกแทบจะเชิดขึ้นฟ้า กล่าวอย่างได้ใจว่า “นั่นย่อมแน่นอน! ข้ารู้อะไรดีๆ มากกว่าพวกเจ้าเยอะ…”
“ดี! อย่างนั้นเจ้ามานี่!” เสวียนจีไม่รอให้เขากล่าวจบก็คว้ามือเขาไว้ ลากเขาไปเบื้องหน้าฉู่เหล่ย “มาดูนี่เร็ว ท่านพ่อข้า…เขาเป็นอะไรไป!”
มกรมองแวบหนึ่งอย่างเสียไม่ได้ กล่าวขอไปทีว่า “อ้อ นี่ก็แค่นกเชียงเน่ย! พบเห็นบ่อยมาก”
ทุกคนได้ยินว่าเขาถึงกับรู้จัก อดดีใจไม่ได้ เสวียนจีรีบกล่าวว่า “เยี่ยมเลย! เจ้ารู้จัก! เร็ว ว่ามา รักษาอย่างไร?”
“รักษาอย่างไร” มกรเลิกคิ้ว “นี่ไม่ใช่ล้มป่วย จะรักษาอะไร เอาออกมาก็พอแล้ว! นี่เป็นการลงทัณฑ์อย่างหนึ่งเท่านั้น เอาไว้ลงโทษเทพเซียนร้ายกาจที่ไม่ยอมเชื่อฟังโดยเฉพาะ ทันทีที่นกเชียงเน่ยเข้าสู่ร่างกาย พิษก็จะกำเริบค่อยๆ สูญเสียพลังวัตร เจ็บปวดทรมานจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ สุดท้ายได้แต่ยอมเชื่อฟัง อ้อ เมื่อก่อนไม่ใช่ว่าเจ้าเคยโดน…”
เสวียนจีไม่รอให้เขากล่าวจบ ร้อนใจกล่าวว่า “อย่างนั้น…รบกวนเจ้าแล้ว เอาออกมาได้ไหม”
ยามนี้มกรเริ่มสนใจ ลูบคางไม่ตอบ เดินวนรอบฉู่เหล่ยสองรอบ กล่าวอย่างแปลกใจว่า “ของพวกนี้ไม่ควรมีในโลกมนุษย์นี่ ผู้ใดเอาของพวกนี้มาใส่ร่างเขา มนุษย์ธรรมดาจะทนรับได้อย่างไร!”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “เป็นมารปีศาจ…เรื่องนี้ไว้ค่อยพูดกัน มกร เจ้าเอาออกมาได้ไหม”
มกรกลอกตายิ้มยโสกล่าวว่า “สำหรับข้าแล้ว ง่ายราวพลิกฝ่ามือ แต่ทำไมข้าต้องช่วยพวกเจ้า จะได้อะไร”
เสวียนจีคิดไม่ถึงยามนี้เขามาวางท่าเช่นนี้ ได้แต่กล่าวว่า “เจ้าเป็นสัตว์ภูตข้า? หรือว่าสัตว์ภูตไม่ควรฟังคำนาย”
“อา ถุย! สัตว์ภูตเป็นเพราะเจ้าบังคับ ข้าไม่ได้ยอมรับเจ้าเป็นนายข้า!” มกรค้อนขวับ ลูบคางกล่าวได้แล้งน้ำใจยิ่ง “ไม่มีผลประโยชน์ ทำไมข้าต้องช่วยเขา ความเป็นความตายของมนุษย์ธรรมดาเกี่ยวอันใดกับข้า”
เสวียนจีสูดลมหายใจเฮือกก่อนจะกล่าวเสียงเย็นเยียบว่า “ดี เช่นนั้นเจ้าต้องการอะไร ว่ามา ขอเพียงข้าทำได้ ต้องทำให้เจ้าพอใจ!”
มกรกล่าวว่า “เยี่ยม! พูดแล้วห้ามคืนคำ! ข้าขอให้เจ้ารับปากแก้พันธะสัญญาปล่อยข้าเป็นอิสระ วันหน้าก็ไม่อนุญาตให้บอกกับผู้ใดว่าข้าเคยเป็นสัตว์ภูตเจ้า”
เสวียนจีอึ้งไป กล่าวว่า “แต่ข้า…ไม่รู้ว่าต้องแก้อย่างไร”
มกรยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “เจ้าอย่าได้สนใจว่าแก้ว่าอย่างไร อย่างไรเจ้ารับปากข้าก่อน วันหน้าไม่ว่าข้าอยากแก้พันธะเมื่อใด เจ้าก็ห้ามรั้งไว้ ต้องเห็นชอบกับการแก้พันธะสัญญา ปล่อยข้าไป”
เสวียนจีเงียบอยู่เป็นนาน จึงได้กล่าวว่า “ตกลง ข้ารับปากเจ้า ไม่ว่าเมื่อใดที่เจ้าอยากแก้พันธะสัญญา ข้าล้วนรับปาก ต้องเห็นชอบตามแน่นอน”
มกรสีหน้ายินดี ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าพูดแล้ว ไม่อนุญาตให้เสียใจภายหลัง สาบานสิ”
เสวียนจีสีหน้าจริงจังกล่าวว่า “ข้ารับปากแล้ว ก็ย่อมทำได้ หากทำไม่ได้ สาบานก็ไร้ค่า”
มกรคิดถึงสถานะนาง ย่อมไม่โกหกแน่ ดังนั้นจึงพยักหน้า พลิกฝ่ามือใส่หน้าท้องฉู่เหล่ยโดยไม่แม้แต่จะหันไปมอง จากนั้นก็หงายฝ่ามือ กล่าวว่า “ดู นี่ก็คือนกเชียงเน่ย”
ทุกคนรีบชะโงกเข้ามาดู เห็นฝ่ามือเขามีนกน้อยแข็งทื่อตัวหนึ่งนอนอยู่ มันตายแล้ว ตัวสีเทา ขนาดแค่นิ้วก้อยคนทั่วไป ปากเหยี่ยวราวเข็ม
มกรโยนนกน้อยเล่นไปมา พลางยิ้มกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นเจ้านี่บนโลกมนุษย์ มันพิษร้ายกาจมาก ช่างน่ารังเกียจ ข้าเอาไฟเผามันย่างกินเลยแล้วกัน”
พอหลิงหลงได้ยินเขาจะกินเจ้านี่ก็พลันขมวดคิ้วเผยสีหน้ารังเกียจ กล่าวว่า “เจ้านี่กินได้อย่างไร! สกปรกตาย!”
มกรหน้าบึ้งตึงกล่าวว่า “ล้วนเป็นเพราะพวกเจ้าบอกว่าจะกินข้าวแล้วๆ เรียกมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นยกอะไรมา ข้าหิวจนทนไม่ไหวตั้งนานแล้วนะ!”
กล่าวจบก็ได้ยินฉู่เหล่ยครางขึ้นเสียงหนึ่ง ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ทุกคนยินดียิ่ง แย่งกันถามเขาว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง ฉู่เหล่ยค่อยๆ ลุกนั่ง ลูบท้องทีหนึ่ง กล่าวอย่างแปลกใจว่า “เมื่อครู่…?”
ตงฟางชิงฉีหัวเราะเบาๆ ตบบ่าเขาทีหนึ่ง กล่าวว่า “เรื่องพวกนี้ไว้ค่อยๆ เล่าตอนกินอาหารกัน ไปกันเถอะ งานเลี้ยงจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว ทิ้งเรื่องวุ่นวายใจพวกนั้นไปก่อน พวกเราไปดื่มกันสักสามร้อยจอก!”