ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 27 ใกล้ปะทุ (9)
แม้ฉู่เหล่ยเอานกเชียงเน่ยออกจากร่างกายแล้ว แต่เขาก็ยังคงรู้สึกอ่อนกำลังราวกับไม่ได้นอนมาสามวันสามคืนแล้วยังไปปีนภูเขาสูงนับไม่ถ้วนมา ทั่วร่างอ่อนล้าหมดแรงอย่างที่สุด สุดท้ายได้แต่ฝืนดื่มสุราไปได้สองจอก หลิงหลงกับเสวียนจีก็ส่งเขากลับไปพัก
หลังดูแลฉู่เหล่ยเข้านอนแล้ว หลิงหลงก็จูงมือเสวียนจีเดินไปยังลานกลางด้านหน้าเหมือนมีวาจาจะกล่าว ในใจเสวียนจีเต้นโครมคราม เห็นนางเดินมาถึงราวระเบียงจ้องมองต้นเยว่กุ้ยในลานด้านหน้านิ่ง แสงจันทร์สีเงินสาดส่อง ใบหน้าหลิงหลงสะท้อนแสงสีเงินอ่อนๆ ทาบทับชั้นหนึ่ง ให้อารมณ์ความรู้สึกถึงความสงบอ่อนโยนที่นางไม่เคยได้พบเห็นบนใบหน้าหลิงหลงมาก่อน
“เสวียนจี เจ้าจะดูแคลนข้าไหม” อยู่ๆ นางก็ถามขึ้นน้ำเสียงแผ่ว
เสวียนจีอึ้งไป ร้อนใจกล่าวว่า “จะดูแคลนได้อย่างไร! ทำไมเจ้าถามแบบนี้”
หลิงหลงกล่าวเบาๆ ว่า “จริงๆ แล้วดูแคลนก็ไม่เป็นไร ข้าทอดทิ้งท่านพ่อท่านแม่เช่นนี้เพื่อติดตามผู้ชายคนหนึ่ง ให้คนอื่นรู้เข้า ก็คงว่าหญิงไม่รู้จักรักตัว คงล้วนดูแคลนข้า”
เสวียนจีส่ายหน้ากล่าวว่า “เหตุใดต้องดูแคลน ที่เจ้าทำก็ล้วนเป็นสิ่งที่ตนชอบ และ…เจ้าก็ไม่ได้ทอดทิ้งท่านพ่อท่านแม่! คนไม่เข้าใจพูดเหลวไหล…เกี่ยวอันใดกับพวกเรา”
“เจ้าพูดจาเหมือนเด็กน้อย” หลิงหลงหัวเราะดัง ลูบผมนาง “ข้าชอบนิสัยไม่สนใจอะไรของเจ้าเช่นนี้ ดีจริง ข้ามักชอบคิดวุ่นวายใจ ตอนอยู่สำนักเส้าหยางก็ใช่ เห็นๆ ว่าข้าชอบเขาเช่นนั้น ทุกวันต้องได้พบหน้าเขา ต้องให้เขาอยู่ข้างกายจึงจะสบายใจ แต่ข้ากลัวศิษย์พี่ศิษย์น้องอื่นๆ แอบนินทา และยังเกรงพวกผู้อาวุโสว่าข้าเป็นเด็กผู้หญิงไม่รู้จักรักนวลสงวนตัว วันๆ เอาแต่ขลุกอยู่กับผู้ชาย ดังนั้นข้าจึงเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายใส่เขา สุดท้ายเขาเองก็ไม่เบิกบานใจ ข้าเองก็ไม่รู้ใจตนเองว่าแท้จริงต้องการอะไร ที่ข้าต้องการแท้จริงแล้วคือเราสองคนเบิกบานใจ หรือว่ารักษาชื่อเสียงของฉู่หลิงหลงให้ดีกัน”
เสวียนจีเรียกเบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง “หลิงหลง…”
หลิงหลงยิ้มกล่าวว่า “แต่ยามนี้ข้าเข้าใจแล้ว วาจาคนน่ากลัวนั้นไม่ผิด แต่การเหมือนต้องสูญเสียไปตลอดเวลานั้นน่ากลัวยิ่งกว่า เขาสละชีวิตเพื่อข้าได้ วาจาคนเล็กน้อยเหล่านั้นจะอะไรกัน เสวียนจี ชีวิตข้านี้เขาช่วยกลับมาก็ควรชดเชยให้เขา ข้าเองยินยอมพร้อมใจ”
เสวียนจีกล่าวอันใดไม่ออกอีก ได้แต่พยักหน้า เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “เจ้ากับศิษย์พี่หกเป็นเช่นนี้ ข้าดีใจมาก ข้าชอบที่ทุกคนมีความสุข อยู่ด้วยกันตลอดไป”
อยู่ด้วยกันตลอดไปเหมือนตอนเด็ก ทุกคนพูดคุยหัวเราะกัน ผู้ใดก็ไม่ให้จากไปไหน ผู้ใดก็ไม่ให้ตายจากไป นางหมือนเป็นคนโดดเดี่ยวมานาน จึงอยากจะเฝ้ารักษาความอบอุ่นนี้เอาไว้ ผู้ใดก็ไม่อาจแย่งชิงทำลายได้ บนโลกนี้เดิมก็มีของบางอย่างควรค่าแก่การรักษาด้วยชีวิต คนอื่นเห็นเป็นสิ่งน่าขัน แต่อาจเป็นสิ่งมีค่าที่สุดของอีกคนหนึ่ง
หลิงหลงเห็นท่าทางเป็นการเป็นงานของนางเช่นนี้ แต่กล่าววาจาราวเด็กน้อยเอาแต่ใจ อดขำพรืดออกมาไม่ได้ ปัดปอยผมข้างหูให้นาง หัวเราะเบาๆ ว่า “แล้วซือเฟิ่งล่ะ หรือว่าเขาไม่พิเศษในสายตาเจ้า”
ในใจเสวียนจีอึกอัก พลันหน้าแดงก่ำ เริ่มติดอ่างกล่าวไม่ออก เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “ข้าไม่ได้คิดมากมายเหมือนเจ้า ไม่ว่าคนอื่นทำอะไรหรือว่าอะไร หัวเราะก็ช่าง เสียดสีก็ช่าง หรือแม้แต่ดูแคลนข้าก็ช่าง สรุป ข้าต้องอยู่กับเขา ผู้ใดต้องการแย่งชิงเขาไป กระบี่เปิงอวี้ข้าย่อมไม่เกรงใจ”
นางโบกกระบี่เปิงอวี้ไปมา กระบี่เปล่งประกายราวปกป้องนาย หลิงหลงรับกระบี่เปิงอวี้ไปชักออกมาดูละเอียด ก่อนจะชักกระบี่ต้วนจินตนเองออกมาเทียบ รู้สึกแสงทองวาวเล่มหนึ่ง แสงสีเงินยวงเล่มหนึ่ง มีลักษณะเฉพาะของกระบี่ แต่ก็เหมือนกระบี่เปิงอวี้มีจิตญาณส่วนหนึ่งที่อาวุธปกติทั่วไปไม่อาจเทียบได้
หลิงหลงถอนหายใจ กล่าวอย่างนึกอิจฉาว่า “ดีจริง เจ้าใช้กระบี่เปิงอวี้ได้ เมื่อก่อนศิษย์พี่ใหญ่บอกกับข้าว่านอกจากกระบี่ต้วนจินยังมีอีกเล่มที่คมกริบชื่อว่ากระบี่เปิงอวี้ ข้าก็วิ่งไปขอท่านพ่อ ท่านพ่อไม่ได้บอกว่าไม่ให้ บอกว่าดูที่วาสนา ปรากฏข้าใช้ไม่ได้ดังคาด ท่านพ่อผิดหวังมาก ตอนนี้เจ้าใช้ได้ ท่านพ่อต้องดีใจมากเป็นแน่”
เสวียนจีอ้าปากคิดบอกนางถึงที่มาของกระบี่เปิงอวี้กับกระบี่ติ้งคุน แต่วาจาติดอยู่ที่ริมฝีปาก พลันรู้ตัวรีบเปลี่ยนบทสนทนา “ไปร่วมงานเลี้ยงกันก่อนเถอะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวท่านอาตงฟางจะลงโทษให้เจ้าดื่มจนเมาให้ได้”
หลิงหลงพยักหน้าลากมือนางเดินไป ทั้งสองเดินกลับไปด้วยกัน เงยหน้าให้ลมปะทะพัดมา พัดผมเสวียนจีสะบัดพลิ้ว หลังใบหูนางเผยรอยสีชมพูขึ้น หลิงหลง “เอ๋” ขึ้นเสียงหนึ่ง ยกมือไปลูบยิ้มกล่าวว่า “บนเกาะไม่มีหน้าร้อนหน้าหนาว มียุงด้วยหรือ”
เสวียนจีพลันหน้าแดง รีบยกมือปิดไว้ อู้อี้กล่าวว่า “ไม่…ก็ไม่ใช่ยุงกัดนี่…พวกเรา พวกเรารีบไปเร็ว” เสียงสุดท้ายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงขี้อ้อนดังเช่นบุตรสาวคนเล็ก ไม่ให้นางถามต่อ
เป็นครั้งแรกที่หลิงหลงเห็นเสวียนจีท่าทางขี้อ้อนเช่นนี้ ในใจอยากจะขำดัง พลันเข้าใจแล้วว่านั่นคือรอยอะไร นางเองก็หน้าแดงติดอ่างกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เขา เขาใจกล้าไม่เบานะ”
เสวียนจีเก้กังจนหาที่ซุกหน้าไม่ได้ นิ้วมือบิดชายเสื้อ ลมค่ำคืนทำให้ผมยาวสลวยของนางพลิ้วไหว ท่าทางนุ่มนิ่มมือไม้อ่อนยวบของนาง ทำเอาในใจบิดเกลียวม้วนไปหมด
“เจ้า…เจ้าอย่าบอกใครนะ!” นางคว้ามือหลิงหลงไว้พลางขอร้อง “พี่สาวแสนดี อย่าได้บอกคนอื่นนะ”
หลิงหลงยิ้มพยักหน้า “ดูท่าทางเหมือนเด็กน้อยเจ้าสิ เหมือนเด็กน้อยอย่างนี้ ซือเฟิ่งเองก็ท่าทางเรียบร้อย ดูไม่ออกจริงๆ” กล่าวจบก็แค่นเสียงฮึ กล่าวอีกว่า “เจ้าหกดูท่าทางใจกล้า จริงๆ แล้วน่าเบื่อมาก”
เสวียนจีอดอึ้งไม่ได้ ก็ไม่รู้ควรบอกว่านางใจกล้าหรือว่าเหลวไหล นิ่งไปนานก่อนนางจะกล่าวว่า “จริงๆ แล้วซือเฟิ่งบางครั้งก็น่าเบื่อมาก”
ใต้แสงจันทร์สาดส่อง ใบหน้าทั้งสองพลันแดงระเรื่อ สบตากันอยู่เป็นนานก่อนจะหัวเราะขำพรืดออกมา ล้วนคิดว่าการพูดจาใจกล้าเช่นนี้สนุกมาก จึงได้จูงมือกันเดินกลับไป
ทั้งสองคนกลับถึงโถงเล็ก ตงฟางชิงฉีกับหลิ่วอี้ฮวนกำลังขี้โม้กันอย่างออกรสออกชาติ ทั้งสองล้วนมีนิสัยอิสระไม่เคร่งครัดในจารีต พอดื่มสุราก็ถึงกับคุยกันถูกคอ ถิงหนูกินอาหารอย่างเงียบๆ มกรข้างๆ แทบอยากจะปีนขึ้นโต๊ะกวาดอาหารทั้งหมดยัดเข้าปาก จงหมิ่นเหยียนกับอวี่ซือเฟิ่งกำลังร่ำสุรากัน พูดจากันสนุกสนานมากมาย แม้แต่พวกหลิงหลงกลับมาก็ยังไม่รู้ตัว
หลิงหลงได้ยินว่าถิงหนูร่ายคาถาเรียกจิตญาณตนเองกลับคืนร่าง ในใจก็รู้สึกดีกับเขา แต่ไม่เคยได้มีโอกาสขอบคุณเขาต่อหน้า ยามนี้เป็นโอกาสอันดี ดังนั้นจึงเข้าไปข้างกายเขาเอ่ยขึ้น ขณะที่คุยกันนั้น รู้สึกเพียงแค่วาจาเขาสุภาพ เป็นคนอ่อนโยน ในบรรดาผู้ชายที่นางรู้จักมา จงหมิ่นเหยียนกระโตกกระตากไม่สุขุมลุ่มลึก อวี่ซือเฟิ่งแม้ว่านิ่งสุขุม แต่ก็มีท่าทีเย็นชาและหยิ่งยโส พูดจาไม่ได้นุ่มนวล ศิษย์พี่ใหญ่โตกว่านาง ผ่านโลกมามากจึงเป็นผู้ใหญ่กว่า ท่านพ่อกับบรรดาผู้อาวุโสก็ไม่ใช่หนุ่มสาว ยิ่งไม่มาคุยเล่นกันนาง ตอนนี้ได้พบถิงหนูอ่อนโยนสุภาพเช่นนี้ ก็อดรู้สึกดีด้วยอย่างมากไม่ได้ ดึงตัวเขามาคุยเรื่องสนุกไม่หยุดปาก
เสวียนจีมองท่าทางการกินของมกรน่าเกลียดมาก ตนเองเป็นนายก็พลอยเสียหน้าไปด้วย อดลากเขากลับมาไม่ได้ เห็นใบหน้าเขาเปื้อนเศษข้าวและอาหารไปหมด ได้แต่ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดให้เขา หันมากล่าวว่า “เทพเซียนทำไมกินข้าวแบบนี้ ทำไมไม่ใช้ตะเกียบ เจ้าใช้ไม่เป็น? หรือว่าทุกคนบนสวรรค์ล้วนใช้มือ”
มกรเดิมคิดจะใช้มือคว้าตะพาบมากิน พอได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงศักดิ์ศรีเทพเซียน ได้แต่เปลี่ยนเป็นคว้าตะเกียบ ยัดอาหารเข้าปาก บ่นอู้อี้ “ของบนสวรรค์หากอร่อยได้ครึ่งของแดนมนุษย์ ข้าก็คงไม่เป็นเช่นนี้แล้ว อย่าว่าแต่ข้า แม้แต่อิงหลงกับพวกไป๋ตี้ได้เห็นอาหารเลิศรสเช่นนี้ ก็คงอดใช้มือคว้าไม่ได้หรอก”
เพราะต้องการรักษาหน้าเขาเอง แม้แต่ไป๋ตี้กับอิงหลงก็โดนลากลงโคลนมาด้วย เสวียนจีฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้า เห็นใบหน้าเขาเปื้อนคราบอาหาร อดเช็ดให้ไม่ได้ สุดท้ายก็รู้สึกว่าไม่เหมือนเจ้านายเขา หากเหมือนแม่นมเขา
ตงฟางชิงฉีหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “เสวียนจีน้อย เป็นคนไม่ควรเคร่งมากไป แค่กินข้าว ก็ควรจะครึกครื้นเบิกบาน ปล่อยเขาเถอะ! เจ้าเองก็มาดื่มสักจอก วันนี้เจ้ามองปีศาจนั่นออก ความชอบเจ้ามากสุด”
ทุกคนได้ยินเขาเอ่ยถึงปีศาจแปลงกายก็พากันหยุดพูด ตงฟางชิงฉีถอนใจกล่าวว่า “น่าเสียดาย ปล่อยเขาหนีไปได้ เฮ้อ ชื่อเสียงหลายร้อยปีเกาะฝูอวี้ เลี้ยงพยัคฆ์เป็นภัย ข้าไม่ได้รู้ตัวมาก่อนเลยว่าโอวหยางนั่นเป็นปีศาจ…”
ในใจจงหมิ่นเหยียนเองก็มีบางอย่างสะกิดใจ ยามนี้อดไม่ได้ถามว่า “เจ้าเกาะ วันนั้น…พี่โอวหยาง…เขา…” กล่าวไม่ออก ไม่รู้ควรถามอย่างไร
ตงฟางชิงฉีเข้าใจที่เขาจะถาม จึงกล่าวว่า “เขาย่อมเป็นคน หลังจบเรื่องข้ายังนึกเสียใจภายหลังไม่หาย แต่เรื่องนี้ไม่อาจชดเชย ได้แต่สั่งคนฝังเขาไว้ที่เขาด้านหลัง มีนำผลไม้ไปเซ่นไหว้ด้วย หากเจ้าคิดจะไปเซ่นไหว้ พรุ่งนี้เช้าข้าจะให้คนพาเจ้าไป”
จงหมิ่นเหยียนคลายกังวล ยิ้มเฝื่อนกล่าวว่า “ที่แท้…เอาเถอะ ล้วนเป็นข้าที่ไม่ดีเอง”
ตงฟางชิงฉียิ้มกล่าวว่า “อายุยังน้อย ต้องผ่านความลำบากให้มากหน่อย วันหน้าเจ้าก็จะเข้าใจเอง ตอนอายุน้อยๆ ต้องทนทรมานตรากตรำเสียบ้าง จริงๆ แล้วก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก คนที่ราบรื่นตลอดชีวิตพวกนั้น อยากจะร้องขอประสบการณ์มีค่าก็ย่อมไม่อาจร้องขอได้”
หลิงหลงกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ท่านอาตงฟาง คนที่ราบรื่นตลอดชีวิตคงไม่ได้พูดถึงข้าใช่ไหม”
ตงฟางชิงฉีหัวเราะดังลั่น ทุกคนในงานพากันหัวเราะดัง
“บุตรสาวทั้งสองราวกับหยกล้ำค่าของน้องฉู่ น่าอิจฉาจริง” เขาส่ายหน้าทอดถอนใจ พลันนึกถึงตนเองแต่งงานมาหลายปีไม่มีลูก สุดท้ายภรรยายังทำเรื่องเช่นนั้น ความสุขหนึ่งในโลกมนุษย์ก็คือมีลูกหลาน ชีวิตนี้เขาคงไม่อาจสัมผัสแล้ว
ทุกคนพูดไปหัวเราะไปจนดึกมาก พระจันทร์ตรงเหนือศีรษะแล้ว งานเลี้ยงก็จบลง แต่ละคนกลับห้องพักตนเอง
อวี่ซือเฟิ่งดื่มไปมาก เดินไม่ค่อยตรงทาง จงหมิ่นเหยียนข้างๆ เองก็กอดสุราจะกลับไปดื่มต่อ บอกจะดื่มจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น หลิงหลงไม่ทันรอให้อวี่ซือเฟิ่งพยักหน้ารับปากก็เคาะศีรษะเขาดังโป๊ก โมโหกล่าวว่า “ดื่มอะไร?! รีบไปนอน!”
จงหมิ่นเหยียนเมาหรี่ตามอง ยิ้มร่าคว้ามือหลิงหลงไว้ พึมพำกล่าวว่า “เจ้า เจ้านอนเป็นเพื่อนข้าไหม”
หลิงหลงหน้าแดงแทบระเบิด ปิดปากเขา สะบัดมือเขาทิ้ง “เจ้าฝันไปเถอะ! รีบไปเร็ว! อย่าให้คนอื่นต้องหัวเราะเยาะเจ้า!”
นางเห็นจงหมิ่นเหยียนเมาเละเทะแล้ว ได้แต่ประคองหิ้วปีกเขาลากเดินไป พลันนึกถึงเสวียนจี หันไปมองเห็นอวี่ซือเฟิ่งยืนอยู่ข้างหน้าคนเดียวเงียบๆ เสวียนจีก้มหน้าตามอยู่ด้านหลัง สองคนเงียบงัน นางอดตะลึงไม่ได้ หันไปหงุดหงิดกับจงหมิ่นเหยียนที่เมาสุราต่อ เลิกคิดเรื่องสองคนนั่นทันที