ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 32 งานประลอง (4)
คนตำหนักหลีเจ๋อผู้นั้นผิวปากขึ้นทันที ค่อยๆ เรียกงูเหลือมยักษ์กลับไป มันดูแล้วเหมือนไม่อาจตัดใจ เลื้อยวนรอบฉู่เหล่ยกับศิษย์หุบเขาเตี่ยนจิงสองรอบก่อนจะแลบลิ้นอย่างเสียดาย ในที่สุดเลื้อยกลับไปวนเวียนอยู่ข้างกายเจ้านาย สุดท้ายค่อยๆ มุดเข้าไปใต้เงาดำใต้ฝ่าเท้าเขาอย่างไร้ร่องรอย
คนผู้นั้นค่อยๆ ประสานมือ กล่าวเนิบนาบว่า “ล่วงเกินแล้ว เสียมารยาทแล้ว ขอโปรดอภัย”
ฉู่เหล่ยเงียบงันพักใหญ่กว่าจะหันกลับไปมองศิษย์หุบเขาเตี่ยนจิงที่ตกใจขวัญหนีดีฝ่อ กล่าวเบาๆ ว่า “ยังต่อไหม” คนผู้นั้นตาโตอ้าปากค้าง พูดไม่ออกสักคำ ดูท่าใกล้จะเป็นลมแล้ว ฉู่เหล่ยแอบถอนหายใจ ยกมือขึ้นโบกกล่าวเสียงดังกังวานว่า “ตำหนักหลีเจ๋อชนะ!”
ผู้ชมบนหอไม้รอบๆ ส่งเสียงดังขึ้นเป็นระลอกๆ ผู้ชื่นชมก็มี ผู้สบถด่าตำหนักหลีเจ๋อไม่รักษากฎก็มี ที่มากไปกว่านั้นก็คืออยากรู้อยากเห็นว่าสัตว์เลี้ยงตัวใหญ่นั่นถูกคนผู้นั้นเก็บไว้ที่ใด อวี่ซือเฟิ่งกลับไปนั่งที่เดิม ในใจแอบสงสัยไม่หยุด แต่ไรมาเขาไม่เคยรู้ว่าในบรรดาศิษย์อายุน้อย มีคนเลี้ยงสัตว์ภูตตัวใหญ่เพียงนี้ได้! งูเหลือมยักษ์นั่นดูท่าแล้วน่าจะมีอายุบำเพ็ญราวเกือบห้ารอยปี ศิษย์อายุน้อยสยบมันได้อย่างไร
มีคนคว้าแขนเขาไว้ หลิงหลงน้ำเสียงตื่นเต้นข้างหูดังว่า “สวรรค์! ซือเฟิ่ง! ตำหนักหลีเจ๋อพวกเจ้าถึงกับมีคนร้ายกาจเช่นนี้ด้วย! งูเหลือมยักษ์ที่เขาเลี้ยงร้ายกาจมาก! เสี่ยวอิ๋นฮวาเจ้าเทียบกับมันไม่ได้เลยทีเดียว!”
เห็นชัดว่าเสี่ยวอิ๋นฮวาที่ขดตัวอยู่ในแขนเสื้อไม่พอใจวาจาหลิงหลง ดิ้นรนโผล่หัวออกมามองนางพลางฉกอย่างแรง
“โอ๊ะโอ เจ้างูน้อยโมโหแล้ว!” หลิงหลงมองเห็นมันน่ารักมาก อดแหย่ไม่ได้ แลบลิ้นล้อเลียนมัน จงหมิ่นเหยียนทำหน้าไม่ถูก กล่าวว่า “เจ้าทำตัวเหมือนเด็กน้อยเลย ไปหาเรื่องมันทำไม”
บนเวทีทางตะวันออก ศิษย์หุบเขาเตี่ยนจิงผู้นั้นสลบไป ถูกคนหามลงจากเสาศิลา บรรดาผู้อาวุโสหุบเขาเตี่ยนจิงหลายคนอารมณ์ไม่ดีนัก เพราะเขาแพ้หมดรูปจริงๆ อาวุโสเจียงนับว่าอายุน้อยสุดในหุบเขาเตี่ยนจิง แต่อารมณ์รุนแรงสุด จึงกล่าวทันทีว่า “ตำหนักหลีเจ๋อมีคนเก่งมากมายจริงๆ เอาสัตว์ภูตขนาดใหญ่มาขึ้นเวทีด้วย สู้ตายหรือ” อาวุโสเหิงซงข้างๆ รีบกระตุกแขนเสื้อเขาไว้ เขาได้แต่เก็บงำความรู้สึกกลับคืน
เจ้าตำหนักหลีเจ๋อราวกับไม่ได้ยินวาจาเขา กลับเป็นรองเจ้าตำหนักหัวเราะขึ้นเบาๆ ประสานมือกล่าวว่า “ศิษย์เราเสียมารยาทแล้ว ข้าขออภัยทุกท่านแทนเขาด้วย เป็นครั้งแรกที่เขาได้ร่วมงานนี้ จึงยากจะไม่รู้สึกเครียด ดีที่ไม่ได้ลงมือสังหาร เทียบกับอูถงตอนนั้นแล้ว นับว่าโชคดีกว่ามาก”
ยามนี้เขาเอ่ยถึงอูถง เห็นชัดว่าคิดทำให้หุบเขาเตี่ยนจิงเสียหน้า ตอนนั้นอูถงเป็นศิษย์หุบเขาเตี่ยนจิง ดังคาด สีหน้าอาวุโสเจียงย่ำแย่ขึ้นมาทันที ตอนนั้นอูถงยังเป็นศิษย์ในสังกัดเขา เขาทำผิด ถูกห้าสำนักใหญ่ประกาศจับ สุดท้ายกลายเป็นพวกมารปีศาจ คนที่ขายหน้าที่สุดก็คือเขา ไม่ใช่คนอื่น
เขาน้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “ท่านกล่าวเช่นนี้ หมายความ…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ เจ้าหุบเขาหรงก็ตวาดขึ้นเสียงไม่ดังนักว่า “อาวุโสเจียง! การประลองยังไม่จบ!”
เขาได้แต่กลืนวาจากลับลงท้องไปก่อน สีหน้าดำคล้ำ เจ้าหุบเขาหรงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “สำนักท่านคนมากสามารถมีมาก ช่างน่าอิจฉาจริง แต่การประลองงานชุมนุมปักบุปผาต้องการแค่ประลองฝีมือ ไม่ใช่สู้กับศัตรู สัตว์ภูตตัวใหญ่เช่นนั้นเกรงว่าจะก่อให้เกิดการบาดเจ็บ ขอเจ้าตำหนักทั้งสองไตร่ตรอง”
เจ้าตำหนักใหญ่ยังไม่กล่าวอันใด มีแต่รองเจ้าตำหนักยิ้มกล่าวว่า “เจ้าหุบเขาหรงกล่าวได้ถูกต้อง ข้าจะบอกเขาว่าไม่ถึงคราวจำเป็น ไม่อนุญาตให้ใช้สัตว์ภูต”
วาจากล่าวได้ไร้ความจริงใจยิ่ง แม้แต่เจ้าหุบเขาหรงที่เป็นคนรักษามารยาท ยังอดคุกรุ่นในใจไม่ได้ แค่นเสียงฮึเบาๆ ไม่กล่าวอันใด
การประลองวันแรกผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตัดคนออกไปได้ครึ่งหนึ่ง ศิษย์สำนักเส้าหยางสิบคนที่ร่วมการประลองเหลือแค่หก เกาะฝูอวี้ได้เปรียบ เหลือถึงแปดคน ยามค่ำ บรรดาศิษย์อายุน้อยมารวมตัวกันอวยพรให้เสวียนจีผ่านด่านแรก ย่อมกินดื่มกันสนุกสนาน หนุ่มสาวอยู่ด้วยกันย่อมพูดจาครึกครื้น เสียงหัวเราะไม่ต้องพูดถึง หากเสวียนจีแอบหวนนึกถึงการชนะตู้หมิ่นหังอย่างน่าแปลก ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจนัก
ตอนเดินกลับห้องพัก มกรเองก็เหนือคาด เขาไม่กล่าวอันใด เงียบงันผิดปกติมาก เสวียนจีรู้สึกไม่ชินกับท่าทางเช่นนี้ของเขาเลย อดกล่าวไม่ได้ “เจ้า…เอ่อ ชอบอาหารบนเกาะไหม”
มกรพลันได้สติคืนมา รีบพยักหน้า “ไม่เลว! ค่อนข้างอร่อย! งานใหญ่นี้จบลง ข้าขอใส่ถุงกลับไปกินหน่อยได้ไหม”
เสวียนจีหัวเราะแหะๆ “ได้ก็ได้อยู่…แต่ เอาไปไม่เกินสองวันก็คงเสียแล้วนะ…”
นางเห็นมกรราวกับมีความในใจ จิตใจดูไม่สงบ ก็ถามว่า “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ยากนะที่จะเห็นเจ้ามีความในใจกับเขาด้วย”
มกร “เชอะ” ขึ้นเสียงหนึ่ง “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร! เทพเซียนจะมีความคิดเล็กคิดน้อยวุ่นวายไร้สาระแบบพวกเจ้าได้อย่างไร!”
“เช่นนั้นทำไมเจ้าดูมีความในใจไม่น้อยเล่า”
มกรขมวดคิ้ว ลังเลครู่หนึ่งจึงได้กล่าวว่า “ข้าราวกับ…ได้กลิ่นที่คุ้นเคย แต่กลางวันยังหาไม่ได้ว่าอยู่ที่ใด เมื่อก่อนข้าเคยได้กลิ่นกลิ่นนั้น แต่คิดไม่ออกว่าแท้จริงคือกลิ่นอะไร…”
เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เจ้าจะบอกว่าบนเกาะมีปีศาจ? หรือว่าเป็นท่านอาตงฟางเปิดด่านให้คนเข้ามาได้ ดังนั้นจึงมีปีศาจปลอมปนเข้ามา?”
มกรส่ายหน้า นิ่งเงียบไปก่อนจะกล่าวว่า “ไม่เหมือนกลิ่นพวกนั้น…ข้าจะไปเดินรอบลานประลองหน่อย เจ้าจะไปไหม”
“ดึกดื่นเช่นนี้แล้วไปลานประลองทำอะไร” เสวียนจีมองท้องฟ้าใกล้ยามสามแล้ว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็เหมือนกัน ในเมื่อเป็นปีศาจที่เจ้ารู้จัก ก็คงไม่ใช่ปีศาจชั่วกระมัง เจ้าร้อนใจอะไร”
มกรค้อนนางขวับ ขี้เกียจจะสนใจนาง สะบัดหน้าจะเดินออกไป หากหันมากล่าวว่า “โง่จริง ไม่เคยได้ยินหรือว่าดึกดื่นมืดมิดทำงานง่าย เจ้าไม่ไป ข้าไปเอง อย่าตามมานะ!”
เสวียนจีรีบตามไป “ข้าไปด้วย! เจ้าวู่วามเกินไป หากก่อเรื่องขึ้น คนที่เสียหน้าก็มีแต่ข้าที่เป็นเจ้านายเจ้า!”
“ถุย! อย่ามาทำเป็นเจ้านายเลย!”
ทั้งสองเดินไปต่อปากต่อคำกันไปมาจนถึงลานประลอง แม้ว่าเป็นกลางคืน แต่ลานประลองก็ยังมีเวรยามลาดตระเวนมากมาย ป้องกันคนคิดอยากชนะลอบมาทำอะไรบนเวที มกรวกไปเลี้ยวมาราวกับจำทางไม่ได้ เงยหน้าใช้จมูกดมฟุดฟิดเป็นพักๆ เสวียนจีวนจนหน้ามืด กระชากแขนเสื้อเขาไว้ กล่าวเบาๆ ว่า “นี่! เจ้าจะไปไหนกันแน่ หากมีคนพบเข้าจะทำหน้าไม่ถูกนะ!”
“ก็ผู้ใดให้เจ้าตามมาเล่า ไสหัวไปสิ!” มกรสะบัดมือนางทิ้ง เดินไปดมฟุดฟิดทางซ้ายต่อ พลันพบอะไรบางอย่าง คิ้วกระตุกวิ่งออกไปทันที
“เดี๋ยวสิ!” เสวียนจีรีบตามไป เห็นเขาไปทางเหนือของด้านหลังเวที บนนั้นมีศิษย์เกาะฝูอวี้ล้อมอยู่ หากเขาวิ่งปรี่เช่นนี้ อย่างไรก็ต้องมีคนพบเห็น นางพลันร้อนใจ แต่กลับไม่กล้าตะโกนออกไป ได้แต่กัดฟันตามไปด้านหลัง อยู่ๆ นึกอะไรขึ้นมาได้ ลูบถุงหนังที่เอว คิดออกทันที
“มกร!” นางเรียกเบาๆ อาศัยจังหวะที่เขารำคาญหันกลับมาจะด่า ก็โยนขวดแก้วใบเล็กให้เขา “เจ้าเคลื่อนไหวเร็ว ขึ้นไปหยดนี่ใส่หน้าคนเหล่านั้น”
มกรก้มหน้ามอง เห็นฝ่ามือมีขวดแก้วผลึกใบขนาดนิ้วโป้ง ในนั้นมีน้ำกึ่งใสกึ่งขุ่น ดมดู เขาถึงกับฮัดเช้ยออกมา ขยี้จมูกกล่าวว่า “ร้ายกาจ! นี่คือยาสลบในโลกมนุษย์ที่พวกเขาว่ากัน?”
เสวียนจีมองคนบนนั้น ราวกับรู้สึกว่าที่นี่ผิดปกติ ผลักเขาที่หนึ่ง กล่าวเบาๆ ว่า “รีบไปสิ!”
มกรเห็นเรื่องน่าสนุกไหนเลยจะรอช้า ปลายเท้าแตะกันพริบตาก็ลอยตัวขึ้นบนเวที ได้ยินเสียงโครมคราม ไม่ทันได้กล่าวสักวาจาก็พากันสลบหมดสติไป ผ่านไปครู่หนึ่ง มกรโผล่หัวขึ้นมองบนเวที ก่อนจะผิวปากเรียกนางเบาๆ เสวียนจีเผยรอยยิ้มบางพลางวิ่งตามขึ้นไป เห็นศิษย์เกาะฝูอวี้สิบกว่าคนล้มระเนระนาดอยู่บนนั้น ในใจนางรู้สึกผิดเล็กน้อย ประสานมือคำนับพวกเขา
“นี่มันของเล่นอะไร” มกรกล่าวอย่างแปลกใจ
เสวียนจีหันกลับไปมองตามสายตาเขาไป ที่แท้บนเวทีสูงไม่มีอะไรเลย มีแต่กรงยักษ์ใบหนึ่ง เป็นกรงที่รองเจ้าตำหนักหลีเจ๋อสั่งให้คนนำมา บนกรงคลุมผ้าดำปิดไว้มิดชิดมาก รอบๆ เหมือนเป็นซี่กรงเหล็ก ไม่รู้แอบซ่อนอะไรอยู่ข้างใน
ทั้งสองเดินไปหน้ากรง มกรยกมือเคาะ ก่อนใช้จมูกดมฟุดฟิด กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ไอ้นี่เอง! ข้างในมีกลิ่นที่คุ้นเคย! ข้าต้องดูให้ได้ว่าคืออะไร”
เสวียนจีเห็นเขายกมือจะเลิกผ้าดำขึ้น รีบเข้ารั้งไว้ “อย่าใจร้อนสิ! ข้าคิดได้แล้ว! ทุกครั้งงานชุมนุมปักบุปผาต้องเด็ดบุปผา นี่ต้องเป็นบุปผาที่รอถูกเด็ดแน่! เจ้าอย่าก่อเรื่อง”
“เด็ดบุปผา?”
“งานชุมนุมปักบุปผาไม่เพียงแต่ศิษย์แต่ละสำนักประลองกัน แม้ชนะทุกคนได้ สุดท้ายก็ยังต้องผ่านอีกด่าน ก็คือบรรดาอาวุโสจะเตรียมมารปีศาจไว้เป็นคู่ต่อสู้ล่วงหน้า หากชนะมันได้ก็จะมีคุณสมบัติพอจะได้ปักดอกโบตั๋น ความสำคัญของงานปักบุปผาก็อยู่ตรงนี้ ข้าคิดว่าในกรงย่อมต้องเป็นมารปีศาจที่พวกเขาจับมาแน่ หากไม่ระวังปล่อยออกมา ย่อมยากมีหน้าอยู่ต่อในงานนี้”
มกรแค่นเสียงฮึ ยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “พวกเจ้ามนุษย์ธรรมดาชอบคิดเหลวไหลไม่ได้เรื่อง มองมารปีศาจใต้หล้าเป็นศัตรูกับมนุษย์ ต้องล้อมจัดการให้สิ้น ต้องสังหารให้ราบคาบจึงจะพอใจ! คนเขาเป็นปีศาจอยู่ดีๆ เกี่ยวอันใดกับพวกเจ้า”
กล่าวจบก็ใช้พลังฝ่ามือฟาดลงไป ได้ยินเพียง แควก ดังขึ้น ผ้าดำถูกเขาฉีกขาดเป็นรูโหว่ เสวียนจีกระทืบเท้ายกมือขึ้นคิดกระชากผมเขา หากเขาหลบทัน พลันได้ยินเสียงคนในกรงทักมา น้ำเสียงขี้อ้อนฉอเลาะ คุ้นหูมาก
ทั้งสองพากันอึ้งไป มกรกล่าวอย่างแปลกใจว่า “สตรี?! ไม่ใช่มารปีศาจหรือ”
เขาเพิ่งกล่าวจบ เห็นเพียงมือเรียวขาวราวหิมะยื่นออกมาจากในกรง น้ำเสียงอดอ้อนฉอเลาะพึมพำกล่าวว่า “เสียงนี่…เจ้า เจ้าคือเสวียนจี?”
เสวียนจีตกใจยิ่ง รีบก้าวเข้าไป ชักกระบี่เปิงอวี้ออกมาฟันผ้าขาดหมด เห็นเพียงสตรีชุดม่วงพิงราวกรงจ้องมองตนเอง คิ้วนั่น ท่าทางนั่น ถึงกับเป็นจิ้งจอกม่วง!
“เสวียนจี!” จิ้งจอกม่วงตะโกนเรียกดัง ตามมาด้วยน้ำตาไหลเผาะๆ สะอื้นกล่าวว่า “ข้ายังคิดว่าพวกเจ้าตายที่เขาปู้โจวซานแล้ว! สวรรค์ พวกเจ้ายังไม่ตาย ไม่มีคนตายใช่ไหม”
เสวียนจีงุนงงไปหมด ไม่เข้าใจว่าจิ้งจอกม่วงมาถูกขังอยู่ในกรงนี่ได้อย่างไร นางร้อนใจกล่าวว่า “พวกเราไม่เป็นไร! แต่ว่าเจ้า! ทำไมมาอยู่ที่นี่ ผู้ใดจับเจ้ามา”
จิ้งจอกม่วงปาดน้ำตา กล่าวเจ็บแค้นว่า “เป็นรองเจ้าตำหนักไม่ชายไม่หญิงนั่น! เทียนข้าเขาก็เป็นคนดับ! เขาว่าต้องการให้ข้าถูกเด็ดบุปผาอะไรไม่รู้…จากนั้นก็ขังข้าไว้ในกรงนี้มาตลอด ถุย! มารดามันสิ เห็นท่าทางเขาก็รู้ว่าจิตวิปริต! เสวียนจี เจ้าต้องช่วยข้าชำระแค้นนี้นะ!”
นางร้องไห้จนน่าสงสารมาก
เสวียนจีตกใจกล่าวว่า “รองเจ้าตำหนัก?! ว่าแล้ว…ข้าว่าแล้วเขาไม่ใช่คนดี! เจ้าใจเย็น ข้าจะปล่อยเจ้าออกมา!” นางชักกระบี่เปิงอวี้ออกมาฟันกรงเต็มแรง เสียงตึงดังสนั่น ประกายไฟแวบขึ้น ง่ามมือนางสะเทือนจนชาดิก กรงนั่นถึงกับไม่สะเทือนแม้แต่น้อย ไม่รู้ทำจากอะไร
จิ้งจอกม่วงกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าอย่าเสียเวลาเลย กรงนี้เป็นกรงทำจากเหล็กนิลดำสวรรค์ ยังลงมนตร์คาถาไว้ ขังปีศาจเช่นข้า ไม่อาจเคลื่อนไหวพลังได้”
เสวียนจีใช้แรงฟันลงไปอีก ไม่ได้ผลดังคาด นางร้อนใจกล่าวว่า “แปลกมาก หากข้ารู้ก่อนว่ากรงนี้ขังเจ้าไว้ จะต้องมาช่วยเจ้าไปแล้ว! แต่ข้าทำไมไม่ได้กลิ่นอายปีศาจเจ้าล่ะ”
จิ้งจอกม่วงยื่นข้อมือให้นางดู ข้อมือขาวราวหิมะมีห่วงสีดำคล้องไว้ รัดแน่นกดลึกลงในกระดูกข้อมือนางจนขยับไม่ได้ นางสะอื้นกล่าวว่า “ไอ้ของบ้านี่อย่างไร! พอสวมแล้วก็ไม่มีกลิ่นอายปีศาจแล้ว! เจ้าดูสิ จะเอามันทิ้อย่างไรดีล่ะ! น่าเกลียดมาก!”
พอเสวียนจีเห็นห่วงนั่น ในใจพลันกระตุก รู้สึกเหมือนว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ในเวลากระชั้นชิดเช่นนี้ก็คิดไม่ออกว่าคืออะไรกันแน่ นางกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าอย่าใจร้อน ข้าฟันกรงไม่ขาดก็เผาทิ้งเลยแล้วกัน!” กล่าวจบนางหันกลับไปสั่ง “มกร รบกวนเจ้าช่วยเผากรงทิ้งด้วย!”
มกรยังไม่ทันรับปาก ก็ได้ยินจิ้งจอกม่วงหายใจเฮือกเบาๆ น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ท่าน…ท่านคือใต้เท้ามกร?”
มกรเอาแต่จ้องมองนาง สงสัยกล่าวว่า “เจ้าจำข้าได้? ข้าก็เหมือนก็จำเจ้าได้ แต่…หลายเรื่องยังคิดไม่ออก เมื่อก่อนเจ้า…ก็เป็นเช่นนี้?”
จิ้งจอกม่วงกล่าวทั้งน้ำตาว่า “เมื่อก่อนข้าเป็นเพียงจิ้งจอกน้อย ไม่ได้มีร่างเป็นคน”
“อา! เจ้าเอง!” มกรตบมือ ในที่สุดก็คิดออก “จิ้งจอกตัวนั้น! วันๆ เอาแต่ตามก้นอู๋จือฉีวิ่งไปมา!”
จิ้งจอกม่วงน้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ข้าเอง…คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบกับใต้เท้ามกรที่นี่ได้ ข้า…ข้ามีเรื่องขอถาม อู๋จือฉี เขา…เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
มกรขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ้าถามข้า ข้าจะถามผู้ใด อย่างไรก็คงยังอยู่แดนปรภพพะงาบๆ อยู่กระมัง!”
จิ้งจอกม่วงน้ำตาไหลพราก สะอื้นกล่าวว่า “ข้า…ข้าอยากจะไปแดนปรภพหาเขา!”
“เจ้ายังคงปักใจมั่น แต่ไรมาอู๋จือฉีนั่นไม่รู้จักทะนุถนอมหยกงาม เจ้าอย่าได้มัวเพ้อฝัน ความรักจะทำให้เขาเสียเวลาบำเพ็ญ หลังครบโทษในแดนปรภพ เขายังมีโอกาสเลื่อนขั้น แต่เจ้ามาพันผูกเช่นนี้ เขาจะยังบำเพ็ญเพียรได้?”
จิ้งจอกม่วงร้อนใจกล่าวว่า “ข้าไม่ได้พันผูกเขา…ข้าเพียงแต่…เพียงแต่ขอได้เห็นว่าเขาอยู่ดี ข้าก็สบายใจแล้ว…”
มกร “ชิ” ขึ้นเสียงหนึ่ง งึมงำกล่าวว่า “นี่ยังไม่พันผูก?” เขาจับราวกรงเหล็ก น้ำเสียงนิ่งกล่าวว่า “เจ้าถอยหลังไป ข้าจะเผาไอ้นี่ให้เหลวเลย พวกเขาเอาเหล็กนิลดำสวรรค์มาได้ ไม่ธรรมดานะนี่!”
จิ้งจอกม่วงถอยไปหลายก้าว ซาบซึ้งกล่าวว่า “บุญคุณที่ช่วยชีวิตวันนี้ จิ้งจอกม่วงวันหน้าต้องตอบแทน!”
“ตอบแทนอะไรกัน!” ฝ่ามือมกรมีลูกไฟแดงฉาน พริบตาก็เผาเหล็กแดงฉาน เขาค่อยๆ แหวกซี่เหล็กออก งอมันเสียเลย
“แต่ ใต้เท้ามกรมาอยู่นี่ได้อย่างไร…? เสวียนจี เจ้ารู้จักเขา?” ตอนนี้จิ้งจอกม่วงจึงได้รู้สึกว่าทั้งสองราวกับรู้จักกัน อดแปลกใจไม่ได้
ในยามนั้นมกรหน้าแดง อู้อี้ไม่อาจให้เหตุผล ได้แต่จ้องมองดุดันตะโกนใส่ว่า “ถามมากมายทำไม?! หุบปาก!” เสวียนจียิ้มกล่าวว่า “อ้อ จิ้งจอกม่วง เจ้าคงยังไม่รู้ มกรเป็นสัตว์ภูตข้า…” ยังกล่าวไม่ทันจบ มกรก็ปัดซี่กรงเหล็กหนึ่งใส่นาง ร้องดังขึ้นว่า “นังหญิงหน้าเหม็นพูดจาน้อยหน่อยแล้วจะตายหรือไร หา?!”
“สัตว์ภูต?!” จิ้งจอกม่วงมองเขาทั้งสองคนอย่างไม่อยากจะเชื่อ พลันคิดถึงสถานะพิเศษเสวียนจี ปราบมกรมาเป็นสัตว์ภูตก็ไม่แปลกอะไร ดังนั้นพยักหน้ากล่าวว่า “นั่นก็ช่าง…อ่า ยินดีด้วย…” นางเห็นท่าทางดุร้ายของมกรแล้วก็ตกใจจนกลืนวาจากลับคืนไปหมด
เสวียนจีมองมกรยุ่งพัลวัน แกะออกได้สองซี่แล้ว ก็เร่งกล่าวว่า “เจ้าเร็วหน่อยไม่ได้หรือ เกิดมีคนมาพบเข้า พวกเราก็ซวยกันหมด!”
มกรเงยหน้าคิดโต้กลับ พลันตะลึงงันวางซี่กรงในมือกลับคืน หันหลังทำไม่รู้ไม่ชี้
“รู้แล้วยังทำผิดเช่นนี้ เจ้าใจกล้าไม่น้อยนะ!” ด้านหลังมีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น เสวียนจีตกใจยิ่ง รีบหันกลับไป เห็นเพียงฉู่เหล่ยยืนหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ด้านหลัง