ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 39 เหตุปะทุ (1)
ฉู่เหล่ยตวาดดัง เก็บกระบี่หักที่พื้นเขวี้ยงใส่คนผู้นั้นเต็มแรง กระบี่พุ่งตรงไปทันที ด้านหน้าคนผู้นั้นยังมีที่เหลือ จึงหยุดและหมุนตัวกลับ ใช้ปลายเท้าเตะทิ้ง เสียงกระทบดังก่อนปลายกระบี่จะหันเหทิศทางกลับมา!
เหอหยางผลักฉู่เหล่ยออก ได้ยิน ฉึก ดังขึ้นเสียงหนึ่ง กระบี่ปักเข้ากับแผ่นหินมิดด้าม แผ่นหินรอบๆ ไม่มีแม้แต่รอยปริแยก เห็นชัดว่ากระบี่นั่นราวกับปักลงบนแผ่นหินอย่างไม่ต้องใช้แรงอะไร พลังวัตรแม่นยำ ทำเอาทุกคนอ้าปากค้าง ปีกคนผู้นั้นสยายออกราวกับจะลงมาสยบฉู่เหล่ย แต่ลดระดับลงมาเล็กน้อย นักพรตจู้สือพลันเกิดอาการบ้าคลั่งสั่งการค่ายกระบี่กระจายตัวขึ้นน้าวหน้าไม้เหล็กยิงไปที่เขา
คนผู้นั้นไม่หลบแม้แต่น้อย สองปีกคู่โอบกอดร่างตนไว้ และยังโอบกอดเอาอวี่ซือเฟิ่งไว้ด้วย ลูกดอกหน้าไม้ปักลงที่ปีกส่งเสียงกระทบราวกับเสียงกระทบกำแพงทองแดง ไม่อาจปักเข้าสักนิด ร่วงลงพื้นเสียงดังเคร้งคร้าง คนผู้นั้นแค่นเสียงเยียบเย็นกล่าวว่า “เจ้าจู้สือ! เจ้ากล้ามากนะ!”
นักพรตจู้สือหัวเราะบ้าคลั่งกล่าวว่า “พวกเจ้าตัวอะไร! ฮ่า ฮ่า! ตัวอะไร! ที่แท้ตำหนักหลีเจ๋อก็คือรังปีศาจ! ล้อข้าเล่นเหมือนสุนัขหรือ?! จัดการกำจัดปีศาจอย่างเจ้าเสียเลย!”
คนผู้นั้นไม่ตอบ พลันกางปีกออกทะยานสูงขึ้น ทะยานพุ่งขึ้นท้องฟ้า นักพรตจู้สือตวาดดังลั่น “เปลี่ยนตำแหน่งๆ! ยิงเขาลงมา!” วาจากล่าวจบ หน้าไม้เหล็กก็ยิงลูกดอกดังไปทั่ว ค่ายกระบี่ไม่ทันได้ไว้รับมือกับพวกฉู่เหล่ยก็เอาไว้จัดการคนผู้นั้นเป็นศัตรูตัวฉกาจก่อน ลูกดอกพุ่งเข้าใส่คนผู้นั้นหนาแน่น แต่ทำอันตรายเขาไม่ได้แม้แต่น้อย สีทองอาบปีกเขานั่นไม่รู้คืออะไร ลูกดอกปักไม่เข้าสักดอก แตะก็ร่วงทันที
คนผู้นั้นราวกับถูกลูกดอกยิงไม่หยุดจนรู้สึกรำคาญ ม้วนปีกก่อนจะปัดลูกดอกให้ย้อนกลับไป หากไม่ใช่เพราะค่ายกระบี่เปลี่ยนแปลงฉับไวราวปีศาจ เกรงแต่ว่ายามนั้นก็คงมีคนมากมายถูกลูกดอกที่ย้อนกลับมายิงตายกันไปหมด คนผู้นั้นหัวเราะกล่าวว่า “เจ้าพวกลูกหนู! เห็นแล้วน่ารำคาญ!” พลันก้มตัวลงก่อนจะบินลงไป ปีกสีทองกระพือคลื่นลมกระหน่ำพัดจนทุกคนยืนไม่ติด มีศิษย์โชคร้ายถูกปีกเขาแตะโดนเข้า ไม่ทันได้ส่งเสียงร้องอวัยวะภายในก็บาดเจ็บสาหัสสิ้นใจทันที คนผู้นั้นยกอีกมือหนึ่งพุ่งมาจะจับฉู่เหล่ย พวกเหอหยางตกใจมาก ส่งเสียงร้องจะเข้าไปกันไว้ สถานการณ์วุ่นวายไปหมด
อวี่ซือเฟิ่งถูกเขาคว้ามือไว้ ดิ้นรนไม่หลุด มองเห็นเขาเข้าทำร้ายฉู่เหล่ยอีก อดกล่าวน้ำเสียงดุดันไม่ได้ว่า “อาจารย์! ศิษย์ขอล่วงเกินแล้ว!” เขาใช้แรงสกัดจุดใต้วงแขนคนผู้นั้น ใต้วงแขนเป็นจุดสำคัญของพวกเขา เขารู้ดี สกัดจุดนั้นจะรู้สึกเช่นไร ดังคาด พอกดลงไป คนผู้นั้นก็สะดุ้ง ในยามนั้นคว้าเขาไม่มั่น อวี่ซือเฟิ่งสะบัดเต็มแรง ร่วงจากท้องฟ้า คนผู้นั้นก้มหน้ามองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ราวกับเสียใจผิดหวัง
อวี่ซือเฟิ่งผินหน้าหนี ไม่กล้ามองเขาอีก พอลงสู่พื้นก็ตีลังกากระโดดลุกขึ้น ถูกฉู่เหล่ยใช้แรงคว้าตัวไว้ได้ ทุกคนถามเขาทันทีว่าบาดเจ็บหรือไม่ เขาส่ายหน้าสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ กำลังจะเอ่ย พลันได้ยินเหนือศีรษะมีเสียงคนผู้นั้นร้องเพลงเสียงดังขึ้น แสงทองแผ่กำจาย นั่นก็คือท่วงทำนองก่อนสังหารราบ อวี่ซือเฟิ่งร้อนใจราวไฟแผดเผา ฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ
เขาไม่อาจปล่อยให้พวกฉู่เหล่ยตายที่นี่ได้! แต่เขาก็ไม่อาจสู้กับคนผู้นั้น! พริบตา ในใจเขาก็ไม่รู้คิดวิธีรับมือออกมามากมายเท่าไร แต่ล้วนเป็นทางตาย สุดท้ายได้แต่มองคนผู้นั้นบินต่ำลง สองปีกกระพือพลิ้ว ท่อนปีกใหญ่ทั้งหกทอแสงออกหมื่นจั้ง สาดผงทองคำนับพัน งามจนทำให้คนต้องอุทาน
เผ่าพวกเขาบูชาความงามสุนทรีย์ ไม่ว่าตอนไหนดูแล้วก็จะเป็นความงามสง่าหาใดเทียมแม้ยามสังหาร ผนึกใต้วงแขนเขาเริ่มร้อนวาบ กำลังคิดขยับไหว เขากล้าไม่สนทุกสิ่งแล้วออกโรมรันอีกฝ่ายไหม เขาละทิ้งทุกสิ่งที่เพิ่งได้มาครอบครองได้ไหม จะ……ชนะอีกฝ่ายได้ไหม?!
มีคนส่งเสียงเรียกชื่อเขาจากที่ไกลออกไป ดังก้อง ราวกับกำลังจะร้องไห้ อวี่ซือเฟิ่งได้สติมองไป เห็นเสวียนจีบนหลังมกร สีหน้าร้อนใจหวาดกลัว กำลังพยายามเร่งเข้ามาอย่างสุดชีวิต ด้านหลังยังมีหลิงหลงกับจงหมิ่นเหยียนจะตามมา แต่หลิ่วอี้ฮวนหน้าเคร่งรั้งไว้
ขอร้องละ ต้องรั้งพวกเขาไว้! อวี่ซือเฟิ่งหลับตาลงอย่างตัดใจ กำลังปลดผนึกใต้วงแขน พลันได้ยินเสียงตวาดดังกลางท้องฟ้า “ตำหนักหลีเจ๋อไม่ใช่ของเจ้าคนเดียว!” ทุกคนตกใจยิ่ง เห็นเพียงเงาดำลอยมาจากท้องฟ้ารวดเร็วจนน่าตกใจ ปะทะเข้ากับร่างเจ้าตำหนักใหญ่ ชนเอาเขากระเด็นลอยหวือออกไป ปีกสีทองร่วงกำมือหนึ่ง
เจ้าตำหนักใหญ่ร่วงลงพื้น กำลังคิดจะลุก หน้าอกพลันเย็นวาบ กระบี่หนึ่งแทงมา เขาเงยหน้ามองอย่างโมโห น้ำเสียงแหบพร่ากล่าวว่า “เจ้าทรยศข้า?!” คนที่ยืนตรงข้ามเขา ก็คือรองเจ้าตำหนัก มือเขาถือพัดขนนก อีกมือถือกระบี่ คมกระบี่แทงหน้าอกเขาอยู่ แต่ก็ยังมีทีท่าสบายไม่ยี่หระ รองเจ้าตำหนักยิ้ม กล่าวว่า “ข้าไม่ได้ทรยศท่าน ข้าทำเพื่อตำหนักหลีเจ๋อ รากฐานบรรพจารย์ ไม่อาจถูกความเอาแต่ใจของท่านทำลายทิ้ง”
เจ้าตำหนักใหญ่โมโหสุดขีด เปล่งแสงทองปกป้องกาย ไม่กลัวกระบี่เขา จะพุ่งเข้าใส่ พอคิดลุกขึ้น ผู้ใดจะรู้ว่าเจ็บหน้าอกปลาบ กระบี่นั่นถึงกับแทงทะลุเนื้อ เลือดสดไหลออกมา รองเจ้าตำหนักร้อง “โอยโย” ขึ้นเสียงหนึ่ง แสยะยิ้มกล่าวว่า “ระวัง นี่ไม่ใช่กระบี่ธรรมดา แทงร่างกายท่านเป็นรูพรุนได้ง่ายดาย ท่านสงบเสงี่ยมหน่อยดีกว่า”
เขาหันกลับไปมองพวกเสวียนจีที่เหินเข้ามา กล่าวว่า “เสวียนจีน้อย เจ้ายังไม่รีบไปช่วยเพื่อนเจ้าออกมาอีกหรือ ยืนงงทำอะไร แม้แต่ศิษย์เฮ่าเฟิ่งตัวปลอมเจ้ายังเอาชนะได้ อันดับหนึ่งไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นของ ผู้ใด”
เสวียนจีได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ก็อดแปลกใจไม่ได้ เมื่อครู่สำนักเซวียนหยวนตั้งค่ายกระบี่ พวกเขาคิดลงมาช่วย ผู้ใดจะรู้ว่าอวี่ซือเฟิ่งกับถิงหนูดึงรั้งไว้ บอกว่าค่ายกระบี่ร้ายกาจมาก พวกเขาไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ หลิงหลงเกือบทะเลาะกับเขา สองฝ่ายดึงดัน จากนั้นเจ้าตำหนักใหญ่ก็โจมตี
กล่าวตามจริง เริ่มแรกเห็นเจ้าตำหนักใหญ่กางปีกออก เต็มไปด้วยกลิ่นอายปีศาจ ทุกคนก็ไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง อวี่ซือเฟิ่งสีหน้ายิ่งราวกับคนตาย ไม่กล่าวสักคำก็กระโดดลงไป ไม่ว่าหลิ่วอี้ฮวนตะโกนเรียกเขาอย่างไรก็ไร้ผล ตอนนั้นเสวียนจีก็จะตามลงไป แต่สุดท้ายถูกหลิ่วอี้ฮวนดึงไว้เต็มแรง เห็นว่ารั้งนางไม่อยู่แล้ว หลิ่วอี้ฮวนพลันแย่งกระบี่ต้วนจินของหลิงหลงมาตั้งท่า ตวาดว่า “ผู้ใดกล้าไป ก็ข้ามข้าไปก่อน!”
หลิงหลงกับมกรเป็นพวกวู่วามก็จะลงมือทันที แต่จงหมิ่นเหยียนกับถิงหนูรั้งไว้จึงได้ยอมสงบ เสวียนจีพึมพำกล่าวว่า “พี่หลิ่ว เหตุใดจึงรั้งไว้” หลิ่วอี้ฮวนถอนใจกล่าวว่า “วันหน้าเจ้าก็รู้เอง หากเจ้าเห็นความสำคัญของหน้ากากซือเฟิ่งจริง ก็อย่าตามลงไป”
หากเห็นความสำคัญของหน้ากากเขาจริงก็อย่าตาม คำพูดนี้ทำเอานางระงับความวู่วามตนเองลงได้ ยอมดูอยู่ด้านบนต่อ แต่ถึงตอนนี้ นางจะทนต่อได้อย่างไร ทนดูคนสำคัญในชีวิตนางถูกสังหารหรือ?! เจ้าตำหนักใหญ่เงยหน้าร้องเพลง น้ำเสียงไพเราะทำเอาหัวแม่โป้งจิกเกร็ง นางได้แต่อึ้งไป กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “มกร พาข้าไป!” กล่าวจบก็กอดคอเขา มกรรอจนคันไม้คันมือนานแล้ว ดีใจมาก แตะปลายเท้าโดดข้ามหัวหลิ่วอี้ฮวนลงจากเวทีไปทันที
วาจารองเจ้าตำหนักราวกับราดน้ำเย็นรดหัวนาง นิ่งอึ้งไปเป็นนานจึงได้กล่าวว่า “เจ้า…เห็นๆ ว่าเป็นคนจับนางมา” เหตุใดตอนนี้จะช่วยนาง คนผู้นี้แท้จริงคิดวางแผนอะไรอยู่
รองเจ้าตำหนักหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “เพราะไม่อยากให้นางถูกเด็ด เจ้าเลยจะตัดสินใจเอาชนะทุกคนไม่ใช่หรือ”
วาจานี้ทำเอาสมองวาบเข้าใจกระจ่างในบัดดล เสวียนจี “อา” ขึ้นเสียงหนึ่ง ร้องดังขึ้นว่า “เจ้าจงใจ…จงใจ!”
รองเจ้าตำหนักกล่าวว่า “ไม่เลว ข้าจงใจ พี่ใหญ่ ท่านรู้สาเหตุไหม” เขาหันไปถามเจ้าตำหนักใหญ่ที่ถูกกระบี่ตนสกัดไว้
พี่ใหญ่?! ทุกคนพากันอึ้ง อวี่ซือเฟิ่งร้อนใจกล่าวว่า “รองเจ้าตำหนัก! ศิษย์…ไม่เข้าใจ…” รองเจ้าตำหนักกล่าวเบาๆ ว่า “เรื่องที่เจ้าไม่เข้าใจมีมากนัก เรื่องตำหนักหลีเจ๋อ เจ้ารู้เท่าไรกัน แม้แต่ชาติกำเนิดตนเองก็ไม่รู้ เจ้าจะเข้าใจอะไร”
เขาหันกลับไปมองสีหน้าซีดขาวของหลิ่วอี้ฮวน ยิ้มกล่าวว่า “ผู้อาวุโสรักษาคำพูดจริง คำเดียวก็ไม่มีเล็ดรอดบอกเขา” หลิ่วอี้ฮวนอึ้งไปก่อนจะกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “อย่ากล่าววาจาเหลวไหล! พวกเจ้าทำบ้าอะไรกันเนี่ย”
รองเจ้าตำหนักค่อยๆ กล่าวว่า “ง่ายมาก ข้าเล่านิทานให้พวกเจ้าฟัง เมื่อก่อน มีพี่น้องคู่หนึ่ง น้องชายสู้พี่ชายไม่ได้ ในใจก็เคารพพี่ใหญ่ดังเทพเซียน คิดว่าเขาจะไม่ทำผิดพลาดตลอดไป แต่มาวันหนึ่ง น้องชายได้รู้พี่ใหญ่ไม่เหมือนกับที่ตนเองคิดไว้ เขาไม่เพียงแต่ทำผิด ยังทำผิดมหันต์อย่างไม่น่าให้อภัย แต่เรื่องพวกนี้ก็ไม่เท่าไร น้องชายให้อภัย เข้าใจได้ทันที พี่น้องร่วมแรงร่วมใจเพื่อเป้าหมายที่วางไว้ จนกระทั่งอยู่ๆ น้องชายพบว่า ความคิดเราสองต่างกันราวฟ้ากับเหว น้องเคารพคำสั่งเสียบรรพจารย์เคร่งครัด ทำการระมัดระวัง พยายามไม่มีเรื่องกับสำนักอื่น แต่ท่านพี่เล่า กลับมีความคิดบ้าคลั่งที่ไม่อาจคาดเดา ท่านคิดอาศัยการลงมือครั้งนี้กำจัดสำนักใหญ่บำเพ็ญเซียนให้หมดสิ้น…ทุกอย่างเพื่ออะไร พี่ใหญ่ ข้ารู้หมดแล้ว สาเหตุเพราะเรื่องผิดพลาดของท่าน ข้าไม่อาจยอมให้รากฐานพบรรพจารย์ต้องถูกทำลายลงเพราะความเห็นแก่ตัวของท่าน ข้ายอมให้ท่านมานานหลายปี ต่อแต่นี้จะไม่ยอมอีกแล้ว!”
แม้ว่าเขากล่าวคลุมเครือเช่นนี้ แต่ความส่วนใหญ่ทุกคนล้วนฟังเข้าใจ ที่แท้เจ้าตำหนักและรองเจ้าตำหนักหลีเจ๋อเป็นพี่น้องกัน ทั้งสองมีความเห็นต่างกัน ฟังแล้วเหมือนว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่อย่างที่สุด
อวี่ซือเฟิ่งน้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ท่าน…ท่านบอกว่ารากฐาน…หรือว่าคือเรื่องทำลายโซ่หมุดทะเล มารปีศาจพวกนั้น…ล้วนเป็นคนตำหนักหลีเจ๋อ…”
รองเจ้าตำหนักพยักหน้ากล่าวว่า “ไม่เลว พวกเจ้าไม่ใช่ว่าเคยไปเขาปู้โจวซานหรือ เจ้าหนุ่มอูถงนั่นทำได้ไม่เลว เสียดายแค่มักใหญ่ไปหน่อย ไม่อาจเก็บเขาไว้ได้นาน นั่นก็คือตำหนักหลีเจ๋ออีกส่วน ส่วนภายใน แม้แต่ศิษย์รุ่นเยาว์เราก็ยังไม่รู้ เหอะๆ ซือเฟิ่ง เจ้าก่อความวุ่นวายมากี่ครั้ง เกือบทำลายงานใหญ่ของพวกเรา ตามหลักควรกำจัดเจ้าทิ้งนานแล้ว แต่มีคนปกป้องเจ้าด้วยชีวิต เจ้าโชคดีไม่เลวนะ!”
อวี่ซือเฟิ่งหน้าซีดเผือด กล่าวไม่ออกสักคำ หากนี่คือความฝัน เขาขอร้องรีบตื่นทีเถอะ หากไม่ใช่ความฝัน ที่เขาทำไปทั้งหมดคืออะไร คืออะไร ยืนหยัดมาเพื่ออะไร
มีคนคว้าไหล่เขาไว้ เขาหันหน้าไปมอง เห็นเสวียนจีที่มองเขาอย่างเป็นห่วง อวี่ซือเฟิ่งยิ้มบางกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่เป็นไร สบายดี” หลอกลวง หากสบายดี เหตุใดสีหน้าเขาดูแย่ยิ่งกว่าคนตาย เสวียนจีคว้ามือเขามากุมแน่น
ฉู่เหล่ยพลันกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “วันนี้รองเจ้าตำหนักเล่าเรื่องออกมาหมดสิ้น ต้องการอะไร คงไม่ใช่แค่ต้องการให้พวกเรารู้ แต่ไรมาตำหนักหลีเจ๋อก็คิดการไม่ซื่อ เจตนาร้าย โกหกพกลมทั่วหล้า”
รองเจ้าตำหนักยิ้ม กล่าวว่า “เจ้าสำนักฉู่ไยกล่าวได้บาดคมเช่นนี้ ในเมื่อเรื่องถูกเปิดโปงแล้ว ไม่สู้เล่าให้สะใจตรงๆ กันไป! ข้าก็หวังดี รับคำสั่งเสียของบรรพจารย์ตำหนักหลีเจ๋อมา ไม่ปะทะกับมนุษย์เด็ดขาด แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าอยากทำเช่นนี้ หากจำเป็น ข้าก็ย่อมทำได้เหี้ยมโหดยิ่งกว่าพี่ใหญ่! ยามนี้พี่ใหญ่ต้องการสังหารพวกเจ้า ข้าอยากช่วยพวกเจ้า เจ้าสำนักใหญ่ห้าสำนักล้วนอยู่ที่นี่ ฟังคำข้าสักคำ หากข้าขอให้พวกท่านจากนี้อย่าได้เอาเรื่องโซ่หมุดทะเลอีก วันหน้าก็ทำหน้าที่สำนักบำเพ็ญเซียนพวกท่านไปอย่างสงบเสงี่ยม กำจัดปีศาจของพวกท่านไป ตำหนักหลีเจ๋อเราก็จะเป็นหนึ่งในห้าสำนักใหญ่ต่อไป งานชุมนุมปักบุปผาก็ร่วมดังเดิม โซ่หมุดทะเลที่หุบเขาเตี่ยนจิงและสำนักเส้าหยางก็ให้ปลดในสามวัน เรื่องวันนี้ทุกคนกลืนลงท้องไป ล้วนทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น เช่นนั้นข้าก็จะเมตตา ปล่อยพวกท่านออกจากเกาะ ไม่เช่นนั้น…เหอะๆ พวกท่านก็เป็นอาหารลงท้องปลาในทะเลไปก็แล้วกัน!”
เขาผิวปากเสียงแหลมขึ้นเสียงหนึ่ง ได้ยินเสียงฝีเท้าเคลื่อนไหว บรรดาศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อที่ยืนนิ่งก่อนหน้าก็พากันกรูออกมา ชักกระบี่ขึ้นจ่อ แผ่กลิ่นอายสังหาร