ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 4 สัตว์ภูต (2)
หัวหน้ามือปราบมองกระบี่คู่กายพวกเขาทั้งสองคน แม้ว่าเสื้อผ้าดูสูงค่า แต่หน้าตามอมแมม คิดว่าคงมีที่มาที่ไปไม่น้อย สุดท้ายจึงพยักหน้ารับปาก
เสวียนจีได้เงินมัดจำมา เรื่องแรกที่ทำก็คือจ่ายค่าสุรา ผู้ดูแลร้านปล่อยคอเสื้ออวี่ซือเฟิ่งท่าทางฮึดฮัด กล่าวน้ำเสียงดุดันว่า “นับว่าเจ้ารู้ความ! ครั้งหน้ากล้ามาชักดาบอีก ข้าจะหักขาผีน้อยเช่นพวกเจ้าทิ้ง!” ด่าทอจบก็เดินส่ายอาดๆ จากไป
เสวียนจีขมวดคิ้วมองตามแผ่นหลังเขาไปพลางกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “คนนี้น่ารังเกียจจริง จ่ายเงินแล้วยังทำใหญ่โตเช่นนี้อีก”
อวี่ซือเฟิ่งจัดคอเสื้อที่ถูกเขากระชากหลุดลุ่ยให้เรียบร้อย หัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “ดูข้านะ จัดการเขาสักหน่อย”
เขาคว้าเอาลูกเหล็กออกจากอกเสื้อลูกหนึ่ง คลึงอยู่หว่างนิ้ว ก่อนทำท่าจะดีดออกไป เสวียนจีรีบรั้งเขาไว้ “อย่าเลย เขาเป็นคนธรรมดา จะทนลูกเหล็กที่เจ้าดีดใส่ได้อย่างไร!” ลูกเหล็กของอวี่ซือเฟิ่งนั่นดีดอ่างแก้วแตกกระจายได้ นางเคยเห็นมากับตา หากคนผู้นั้นโดนเข้า เกรงแต่ว่าคงต้องบาดเจ็บกระดูกหักแล้ว
เขาส่ายหน้าดีดนิ้ว เสียง ปึก ดังขึ้น ลูกเหล็กนั่นหล่นลงพื้น ก่อนจะเด้งขึ้นมาโดนเข้าที่เข่าคนผู้นั้นพอดี ชายผู้นั้นตกใจร้องดังล้มลงกับพื้นอยู่นานกว่าจะลุกขึ้นได้ มองซ้ายมองขวา ไม่รู้ตนเองล้มได้อย่างไร สุดท้ายได้แต่สบถด่างึมงำก่อนเดินกลับร้านสุรา
“ขัดขาสักที ผลลัพธ์ที่ล่วงเกินเจ้า” อวี่ซือเฟิ่งยิ้มเล็กน้อย ก้มหน้าเก็บซ่อนสีหน้าซุกซนเหมือนเด็ก
แม้ว่าเสวียนจีจะฉีกประกาศ ทั้งยังรับเงินมัดจำไว้แล้ว แต่หัวหน้ามือปราบก็ไม่วางใจเขาทั้งสองคนเท่าไร ได้ยินว่าพวกเขาจะรีบไปผิงเหลียงก็รีบให้ตระเตรียมคน เลือกลูกน้องที่ภักดีสี่คนตามพวกเขาไป ว่าไว้คอยดูแล แต่จริงๆ ไว้คอยจับตาดู
“ไปผิงเหลียงครั้งนี้ ใช้เส้นทางหลวง ม้าวิ่งกันเร็วๆ วันหนึ่งก็ถึงได้ ไฟประหลาดนั่น ก็ฝากจอมยุทธ์ทั้งสองด้วย ครบหนึ่งเดือนเมื่อใด หากเรื่องนี้ยังจัดการไม่สำเร็จ เงินมัดจำก็ได้แต่รบกวนท่านทั้งสองคืนศาลด้วย”
หัวหน้ามือปราบกล่าวไม่เกรงใจ จริงๆ แล้วเรื่องเวลาคือภายในครึ่งปี แต่เขารู้สึกว่าหนุ่มสาวสองคนนี้เป็นนักต้มตุ๋น ภาพประทับใจแรกก็ไม่ดีแล้ว ดังนั้นได้แต่ให้เวลาพวกเขาแค่หนึ่งเดือน หากไม่สำเร็จ ก็ย่อมต้องคืนเงินแต่โดยดี
อวี่ซือเฟิ่งประสานมือกล่าวว่า “เรื่องอื่นๆ ไม่เอ่ยแล้ว ขอใต้เท้าเล่ารายละเอียดเรื่องไฟประหลาดมาให้พวกเราฟังสักหน่อย พวกเราจะได้เข้าใจสถานการณ์”
หัวหน้ามือปราบนั่นคิดไม่ถึงเขาจะถามเช่นนี้ ยามนั้นไม่กล้ารอช้าให้เสียมารยาท ดังนั้นจึงเล่ารายละเอียดรอบหนึ่ง
ที่แท้เรื่องไฟประหลาดนั่นไม่ได้เกิดที่ผิงเหลียงครั้งแรก คนในพื้นที่บอกว่า คืนหนึ่งในสองสามวันก่อนก็เคยเกิดเหตุประหลาดนี้ เขาหลงโส่วทางตะวันออกเกิดเพลิงไหม้ใหญ่บนเขา ไหม้สูงขึ้นท้องฟ้า ดูแล้วเหมือนเพลิงสวรรค์ไหม้ลงมา วันถัดมามีคนพบว่าเขาทั้งเขาถูกเผาไปเกินครึ่ง รอยดำเป็นตอตะโกทั่วยอดเขา ดูแล้วเหมือนเพลิงนั่นจะเคลื่อนที่ไปทางตะวันตกได้เอง ผ่านเขาหลงโส่วไปตามแนวภูเขาสูง ตามเส้นทางแม่น้ำมายังผิงเหลียง คนหมู่บ้านลู่ไถหวาดกลัวก็เพราะใกล้กันมาก ไม่รู้ไฟประหลาดนั่นจะเผามาถึงพวกเขาตอนไหน ตามเส้นทางลามของไฟประหลาดนั่น เขาลู่ไถซานก็คงไม่อาจรอดพ้นไปได้
อวี่ซือเฟิ่งได้ยินก็นิ่งเงียบเป็นนาน เสวียนจีดึงแขนเสื้อเขา กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ฟังแล้วเหมือนปีศาจใหญ่โตมาก ที่พ่นไฟได้พวกนั้น”
อวี่ซือเฟิ่งขมวดคิ้วตั้งสติ คิดไม่ออกว่าปีศาจใหญ่โตพวกนั้น ตัวไหนที่มีไฟ นับประสาอันใดกับฟังเขากล่าวเช่นนี้ พื้นที่ที่ถูกเผาน่ากลัวเช่นนี้ คิดแล้วไม่ใช่ไฟธรรมดา หรือว่าเป็นสัตว์เทพบนสวรรค์ลงมาเดินเล่นบนโลกมนุษย์กัน?
หัวหน้ามือปราบมองเขาทั้งสองคนเงียบไป คิดไปว่าพวกเขาหวาดกลัว จึงกล่าวว่า “เรื่องนี้แปลกจริง สองท่านหากไม่สะดวก…”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มโบกมือ “ใต้เท้าไม่ต้องกังวล ในเมื่อฉีกประกาศมาแล้ว พวกเราไม่จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก็ย่อมไม่ไปจากหมู่บ้านลู่ไถ” เขาหันกลับไปมองมือปราบสี่คนที่หัวหน้ามือปราบส่งมา กล่าวอีกว่า “ท่านทั้งสี่เอาถุงน้ำไปด้วยน่าจะดี เลือกม้าวิ่งฝีเท้าเร็วที่สุด ของอื่นๆ ไม่ต้องเตรียมไป”
ทั้งสี่คนรับคำถามว่า “ออกเดินทางตอนนี้เลยไหม เตรียมม้าสองตัวให้จอมยุทธ์ทั้งสองเพิ่มไหม”
เสวียนจีสบตายิ้มกับอวี่ซือเฟิ่งไม่ตอบ เดินไปหน้าประตูที่ทำการศาล ก่อนจะหันกลับไปกล่าวว่า “ไม่ต้อง พวกเราล่วงหน้าไปรอทั้งสี่ท่านที่ผิงเหลียงก่อน” กล่าวจบก็เหินกระบี่ขึ้นตรงหน้าประตู พริบตาก็หายลับไป ทำเอาทุกคนตกใจมองตาค้าง จึงได้รู้ว่าเขาสองคนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนจริง
จริงๆ แล้วห้ามเหินกระบี่ต่อหน้าสาธารณชน เพราะกลัวทำให้แตกตื่น แต่เขาทั้งสองโมโหที่อีกฝ่ายดูแคลนตน จึงคิดแสดงฝีมือให้อีกฝ่ายเห็นกันโดยไม่ได้นัดหมาย ตอนเหินขึ้นไป เสวียนจีหัวเราะคิกคักกล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าจริงๆ แล้วบางครั้งพวกเรายังนิสัยไม่ดีด้วย”
อวี่ซือเฟิ่งก็รู้สึกสนุกมาก พวกเขายังมีนิสัยแบบหนุ่มสาวอายุน้อย เรื่องสนุกพวกนี้ก็แค่แสดงให้เห็นแค่เล็กน้อยเท่านั้น
หมู่บ้านลู่ไถไม่ห่างจากผิงเหลียงมานัก ทั้งสองเหินกระบี่พริบตาก็มาถึง เสวียนจีมองเห็นที่นาที่นี่มีมากมาย มองไปไกลสุดลูกหูลูกตา มีที่นาน้ำ ที่นาดินโคลน หัวหน้ามือปราบบอกว่าผิงเหลียงเป็นโกดังเสบียง เป็นที่ผลิตเสบียงอาหารโดยเฉพาะก็น่าจะจริง
ตอนนี้เที่ยงวันพอดี เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ร้อนแรงที่สุด ทั้งสองคนเดินอยู่บนที่นาครู่หนึ่ง ไม่มีอะไรบังแดด ร้อนจนเหงื่อไหลราวสายฝน อวี่ซือเฟิ่งสูดลมหายใจเข้า ก่อนถอนใจกล่าวว่า “แปลก ผิงเหลียงหน้าร้อนแต่ไรมาไม่ได้ร้อนขนาดนี้ หายใจแทบไม่ออกแล้ว”
เสวียนจีร้อนจนใบหน้าเริ่มแดง มองไปรอบๆ สูดจมูดฟุดฟิดกล่าวว่า “เหมือนไม่ได้กลิ่นอายปีศาจ แต่ความร้อนนี้กับความร้อนในหน้าร้อนไม่เหมือนกัน บนพื้นร้อนระอุ น่าจะเกี่ยวข้องกับไฟประหลาด”
นางมองไปยังที่นาตรงข้าม เห็นว่ามีคนจึงรีบวิ่งเข้าไปถาม “ขอโทษด้วย ละแวกนี้มีที่ไหนมีไฟประหลาดไหม”
คนผู้นั้นไม่คิดว่าอยู่ๆ ก็มีคนจากทางด้านหลัง จึงสะดุ้งตกใจ หมวกสานบนศีรษะร่วงลงมา เผยผมและหนวดเคราขาว ที่แท้เป็นชายชรา อวี่ซือเฟิ่งรีบเข้าไปประคองไว้ กล่าวอ่อนโยนว่า “ขอโทษท่านลุง ทำท่านตกใจแล้ว”
คนผู้นั้นพอเงยหน้าก็ทำทั้งสองตะลึงงัน ที่แท้เขาหนวดเคราขาวราวหิมะเงิน หากใบหน้ายังคงอายุน้อยราวแรกผลิ สองคิ้วเอียงเชิด สองตาหงส์คู่นั้นราวกับมีพลัง ยิ่งขับให้ใบหน้าราวหนุ่มรูปงาม
เขาค่อยๆ ผลักมืออวี่ซือเฟิ่งออก เก็บหมวกสานขึ้นมาสวมกลับไป กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้กระจ่าง ข้าเพียงแค่ผ่านมา”
กล่าวจบก็สะบัดหน้าจากไป เสวียนจีอึ้งกล่าวว่า “เขาเป็นอะไร…ข้ายังคิดว่าเป็นนายท่านสูงวัยนะเนี่ย”
อวี่ซือเฟิ่งนิ่งเงียบไปก่อนกล่าวว่า “ข้าได้ยินว่ามีอาการป่วยหนึ่ง ชายหนุ่มอายุน้อยก็ผมขาวได้ ผิวหน้าก็จะค่อยๆ กลายเป็นสีขาว…อาการป่วยนี้หาได้น้อยมากและน่ากลัวมาก ไม่แน่ว่าคนผู้นี้ก็คง…เมื่อครู่พวกเราเสียมารยาทจริง”
กล่าวจบพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ ตบมือร้องดังขึ้นว่า “ไม่สิ! เขาไม่ใช่!”
เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “อะไรไม่ใช่”
อวี่ซือเฟิ่งไม่สนใจตอบ หากหันกลับไปมองหาเงาร่างคนผู้นั้น กลับมองเห็นแต่ที่นาว่างเปล่า ที่ใดก็ไม่เห็นแม้เงาคนผู้นั้น! เมื่อครู่คนผู้นั้นเห็นๆ ว่าเดินไปไม่ไกล ถึงกับหายตัวไปในพริบตาแล้ว!
เสวียนจีเองก็รู้สึกว่าผิดปกติ ร้อนใจกล่าวว่า “ทำไมเขาหายไปแล้วล่ะ?! ที่นี่ไม่มีที่ซ่อนตัวนะ!”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “เจ้าดูสิ อากาศร้อนเช่นนี้ พวกเรายังเหงื่อท่วมตัว แต่เมื่อครู่ข้าเห็นคนผู้นั้น ใบหน้าสะอาดสะอ้าน ไม่มีเหงื่อเลย นับประสาอันใดกับแม้เขาว่าตนเองเดินผ่านมา แต่เจ้าเห็นห่อผ้าของเขาไหม คิดไปแล้วก็รู้สึกแปลกมาก!”
ยิ่งนับประสาอันใดกับพริบตาก็หายตัวไปท่ามกลางพื้นที่โล่ง คนผู้นี้ไม่ธรรมดา
“ซือเฟิ่ง เจ้าว่าเขาจะเกี่ยวข้องกับไฟประหลาดไหม” เสวียนจีเดินวนรอบ มั่นใจว่ารอบๆ ไม่มีที่หลบซ่อนตัวแล้วจึงได้กลับมาถามเขา
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า “ข้าไม่รู้…เอาเถอะ เดินต่อไปแล้วกัน หาคนถามต่อเถอะ”
สี่มือปราบจากหมู่บ้านลู่ไถไม่กินไม่ดื่มเร่งควบม้าเดินทาง ในที่สุดยามเย็นก็มาถึงผิงเหลียง ยามนี้ เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งทั้งสองหาบ้านคนและได้สอบถามรายละเอียดของเรื่องไฟประหลาดแล้ว
“ไฟประหลาดลามไปทางตะวันตกไม่หยุด คนในพื้นที่บอกว่า คืนวานนี้เผาที่นาของบ้านหลี่ไป ดูจากทิศทางแล้ว คืนนี้น่าจะออกจากหมู่บ้านผิงเหลียงไปยังผืนป่าที่อยู่ละแวกแถวเนินหวงเหนี่ยว ดังนั้นคืนนี้ข้ากับแม่นางฉู่จะไปเฝ้าอยู่ที่เนินหวงเหนี่ยว รบกวนท่านทั้งสี่ไปช่วยเฝ้ารักษาการณ์ยังนอกเขตผืนป่าสี่ทิศ หากมีอะไรผิดปกติก็ให้รีบส่งสัญญาณแจ้งเตือนพวกเรา”
กล่าวจบ อวี่ซือเฟิ่งก็แบ่งของที่ดูเหมือนประทัดเรียวยาวให้คนละแท่ง สอนพวกเขาว่าใช้อย่างไร
มือปราบคนที่หนึ่งพอได้ยินว่ามีแต่พวกเขาสองคนเข้าไปรับมือไฟประหลาด อดกังวลไม่ได้ กล่าวว่า “แม่นางกับคุณชายไม่ต้องให้พวกเราช่วยหรือ เพียงท่านสองคน…คือว่า…อันตรายมาก”
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้ากล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกท่านรับมือได้ หากฝืนตามไป มีแต่ไปตาย วางใจ พวกเรามีวิธีรับมือ ถุงน้ำของพวกท่านก็อย่าลืมนำติดตัวไว้ด้วย อย่าทิ้ง”
ทุกคนได้เห็นความสามารถเหินกระบี่ของเขาสองคนที่หมู่บ้านลู่ไถมาแล้ว ไหนเลยจะสงสัยอีก จึงรีบพยักหน้า ขณะพูดอยู่นั้น เจ้าของบ้านก็นำอาหารมาส่ง ผิงเหลียงเป็นหมู่บ้านเสบียงอาหาร มีอาหารต่างๆ ย่อมไม่ได้แปลกอะไร ทุกคนกินไปได้ครู่หนึ่ง ดื่มสุราหมดไปสองไห เงยหน้ามองพระจันทร์บนท้องฟ้าที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกเป็นกลางดึกอากาศเย็นแต่อย่างใด กลับยิ่งรู้สึกร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนเสื้อเปียกชื้นไปหมด
นายท่านเจ้าของบ้านผู้หนึ่งถอนใจกล่าวว่า “ใกล้ถึงเวลาแล้ว ร้อนเช่นนี้ อีกสักครู่ก็จะมีเปลวไฟทะยานขึ้นท้องฟ้า ผู้ใดก็ไม่กล้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น เกรงว่าจะถูกเผาไปด้วย”
ลมพัดเข้ามาทางหน้าต่างก็เป็นลมร้อน ไม่เพียงไม่อาจขจัดความร้อน แต่ยิ่งทำให้ห้องยิ่งอบอ้าว เสวียนจีกำลังจะถลกแขนเสื้อขึ้นพัด พลันได้ยินเสียงจากที่ไกลออกไปแว่วมา เหมือนเป็นเสียงร้องคำรามของสัตว์ตัวใหญ่มาก แต่ก็ใช่ว่าไม่น่าฟัง หากกระจ่างเสนาะหู
นายท่านผู้นั้นชี้ออกไปนอกหน้าต่างอย่างตกใจ ร้อนใจกล่าวว่า “มาแล้ว! แสงไฟ!”
ทุกคนรีบหันกลับไปมองที่ไกลออกไป มีแสงเพลิงแดงฉานหลายพันหมื่นสายทะยานขึ้นฟ้าทำลายความมืดบนท้องฟ้าค่ำคืน แสงไฟนั่นราวกับเพลิงตกจากสวรรค์ อวี่ซือเฟิ่งตบโต๊ะดัง ทั้งหกพุ่งออกทางหน้าต่างมุ่งไปยังแสงเพลิงที่เนินหวงเหนี่ยว
เสวียนจีร้อนใจที่สุด ไม่อาจทนวิ่งไปได้ จึงเหินกระบี่ขึ้นทันที อวี่ซือเฟิ่งสั่งการกับสี่มือปราบเสร็จก็รีบเหินกระบี่ตามขึ้นไป พอถึงที่สูง ยามนั้นก็มองเห็นทุกสิ่ง เนินหวงเหนี่ยวมีป่าผืนใหญ่ถูกเผาดังคาด เปลวไฟร้อนแรง แผดเผามอดไหม้ เปลวเพลิงนั่นสีสันแดงฉานยิ่งกว่าเปลวไฟทั่วไป มิน่าซีกฟ้าแถบนี้จึงได้สว่างไสว
เสวียนจีมองแสงจนแสบตา ราวกับมีสิ่งที่สีเดียวกันขนาดใหญ่ค่อยๆ เคลื่อนที่ เหมือนใหญ่เท่าครึ่งผืนป่า อดสูดลมหายใจเฮือกไม่ได้ กล่าวเบาๆ ว่า “นั่นคืออะไร”
เสียงยังไม่ทันจบ ก็ได้ยินว่าสิ่งนั้นส่งเสียงดัง ตามมาด้วยบินลอยจากพื้นขึ้นมาเบาๆ ปีกเพลิงมหึมาสองปีกกระพือพัดลูกไฟกระเด็นออกมานับไม่ถ้วน อวี่ซือเฟิ่งมองปีกเหมือนว่าเป็นนก แต่มองอีกทีก็เห็นลากเอาหางงูยาวหนาและใหญ่มากอยู่ด้วย ในสมองพลันสว่างวาบ หลุดปากออกมาว่า “เป็นมกร! สัตว์เทพมกร!”
เสวียนจีไม่รอให้เขากล่าวจบก็เหินกระบี่ไล่ตามไปก่อนแล้ว ชักกระบี่เปิงอวี้ออกมา เสียง เช้ง ดังขึ้น ปล่อยเสียงคำรามดัง พลังกระบี่เต็มเปี่ยม นางลูบลำกระบี่สะบัดพลังออกไป พริบตา พลังกระบี่สีเงินนับไม่ถ้วนก็ทะยานพุ่งเข้าใส่สัตว์เพลิงงดงามตัวใหญ่นั่นทันที เห็นชัดว่ามันไม่คาดว่าจะมีคนโจมตี โดนกระบี่แทงเข้าเต็มๆ ส่งเสียงร้องดัง ตีลังกากลางอากาศก่อนร่วงลงพื้น หายวับไป
“ตามไป!” อวี่ซือเฟิ่งตะโกนขึ้นเสียงหนึ่ง