ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 40 เหตุปะทุ (2)
ฉู่เหล่ยไม่กล่าวอันใด ได้แต่หันกลับไปมองทุกคน สายตาค่อยๆ กวาดผ่านเหอหยาง ฉู่อิ่งหง ตงฟางชิงฉี…เขามองทุกคนอยู่ครู่หนึ่ง ทุกคนล้วนส่งสายตาเดียวกันให้เขา
ไม่อาจยอมรับ!
เขากล่าวเสียงดังกังวานว่า “เช่นนี้ก็คงไม่อาจรับความหวังดีของรองเจ้าตำหนักแล้ว! โซ่หมุดทะเลจองจำปีศาจยิ่งใหญ่ก่อความวุ่นวายไว้มาก พวกข้าไม่อาจปล่อยให้เขาออกมาก่อเรื่องอีก แม้ต้องตาย เราผู้บำเพ็ญเซียนมีหน้าที่ปกป้องอันตรายให้ปวงชน ชีวิตน้อยๆ ของพวกข้าได้รักษาความปลอดภัยให้ปวงชน มีอันใดต้องหวาดกลัว?!”
วาจากล่าวได้ซาบซึ้งกินใจมาก ทุกคนล้วนรู้สึกเลือดในกายเดือดพล่าน แม้แต่คนบาดเจ็บก็ยังกุมอาวุธอีกครั้ง รู้สึกเพียงแค่ทั่วร่างมีกำลังฮึกเหิม จะออกไปประจัญบานอีกสามร้อยรอบก็ไม่ใช่ปัญหา
รองเจ้าตำหนักตะลึง ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ออกมา กล่าวเนิบนาบว่า “วาจากล่าวได้น่าฟังแท้! มิน่าคนถึงว่าเป็นมนุษย์นี่ดี ไม่เพียงพูดจาใหญ่โตได้ ยังโง่เง่าจนคิดว่าตนเองปกป้องสรรพชีวิตได้…พวกโง่เง่ามักจะรับรู้ถึงความสุขได้ง่าย”
ยังกล่าวไม่ทันจบ ก็พลันรู้สึกถึงแสงเย็นวาบแทงมา รวดเร็วราวดาวตก เขาพลิกมือใช้กระบี่รับ เสียง เคร้ง ดังขึ้น เป็นกระบี่ยาว กระบี่จิงหงที่มีชื่อเสียงในมือตงฟางชิงฉี กระบี่นั่นยืดหดได้ตามความต้องการของเจ้านาย เป็นเทพศาสตราที่หาได้ยาก ตงฟางชิงฉีเห็นว่าแทงไม่โดนก็พลันสะบัดข้อมือ กระบี่จิงหงหักงอลงเลื้อยพันกระบี่รองเจ้าตำหนัก ก่อนจะแทงเข้าที่หน้าอกเขา
รองเจ้าตำหนักหัวเราะเสียงดังยาว ถูกบีบจนไม่อาจไม่ถอย ปากก็กล่าวว่า “อย่าบีบข้าให้ลงมือ หึๆ…หรือคิดอยากตายจริงๆ?”
พลันเห็นเงาร่างสีครามแวบหนึ่ง ในใจเขาตกใจมาก ตามมาด้วยหน้าอกถูกกระแทบบาดเจ็บสาหัส เจ็บราวกระดูกหัก หากไม่ใช่กระบี่ในมือยันพื้นไว้ เขาก็แทบจะกระเด็นลอยออกไป “พี่ใหญ่!” เขาเรียกเบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง ตกใจเงยหน้ามองเห็นเจ้าตำหนักใหญ่ที่เก็บงำกลิ่นอายปีศาจยืนอยู่เบื้องหน้า สองตาเจ้าตำหนักใหญ่ดำขลับลึกยากหยั่ง จ้องมองเขาเงียบๆ ครู่หนึ่งก็หันกลับไปกล่าวว่า “สังหารคนที่นี่ให้หมดก่อน ไม่ให้รอดไปแม้แต่คนเดียว”
บรรดาศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อที่ถือกระบี่ในมือก็พากันลดกระบี่ลง ตามมาด้วยการกระทำที่ใครก็คาดไม่ถึง แต่ละคนพากันถอดเสื้อตัวบนออก เปิดสองแขน ใต้วงแขนมีไข่มุกดำวาวเรียงสองแถว เสวียนจีตกใจยิ่ง พลันนึกถึงที่ตัวอวี่ซือเฟิ่งก็มีสิ่งนี้ ข้อมือจิ้งจอกม่วงถูกปักไว้เม็ดหนึ่ง
ตอนนั้นเขาว่าอย่างไรนะ เป็นเครื่องประดับ แต่จิ้งจอกม่วงบอกว่าใช้เพื่อผนึกกลิ่นอายปีศาจ แท้จริงผู้ใดกล่าวจริงกัน นางเงยหน้ามองอวี่ซือเฟิ่ง เขาหลุบตาลง ขนตากระเพื่อมไหว สีหน้าซีดขาวราวกับโปร่งแสง
“ซือเฟิ่ง…” นางร้องเรียกขึ้นเสียงหนึ่ง ขนตาเขากะพริบทีหนึ่ง แต่ไม่กล่าวอันใดและไม่มองนาง
รองเจ้าตำหนักมองบรรดาศิษย์อย่างคาดไม่ถึง กล่าวเสียงสั่นว่า “ท่าน…ทำไมท่าน…” เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “แต่เล็กมา แผนการในใจเจ้าพวกนั้น ข้ากระจ่างชัดเจน งานใหญ่เราย่อมไม่อาจปล่อยให้เจ้าก่อเรื่อง ดูเงียบๆ”
จงหมิ่นเหยียนกำลังใจฮึกเหิม กำกระบี่แน่นกำลังจะออกตัว พลันมีคนผลักไหล่เขา หลิ่วอี้ฮวนกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “พวกเจ้าสองคน! รีบลงไปช่วยจิ้งจอกออกมา! พาเจ้าหุบเขาหรงไปหลบที่ปลอดภัย!” เขาอึ้งไป ร้อนใจกล่าวว่า “ได้อย่างไร! ทุกคนล้วนอยู่ที่นี่ ข้าจะไปก่อนได้อย่างไร!” หลิ่วอี้ฮวนคำรามในลำคอดุดันยิ่ง “เจ้าอยู่ต่อก็คอยแต่เป็นตัวถ่วง! ช่วยอะไรได้?! หากรู้สึกผิดต่อสำนักตน รู้ว่าตนเองโง่เขลา! ทำเรื่องที่ทำได้สักสองสามเรื่องเถอะ!”
จงหมิ่นเหยียนถูกเขาซึ่งเป็นคนนอกตำหนิรุนแรง ในยามนั้นแม้โมโหแต่ก็ฉุกคิดได้ พลันไหล่ลู่ลงทันที จริงๆ แล้วเขากล่าวได้ไม่ผิด เขาเองที่มองไม่ทะลุ เขาอยู่ต่อจะช่วยอะไรได้ หลิงหลงดึงแขนเสื้อเขา ทั้งสองส่งสายตาให้กัน อาศัยที่ทุกคนไม่ทันสังเกต ก็แบกเจ้าหุบเขาหรงที่ไม่ได้สติขึ้นหลัง แอบไปช่วยจิ้งจอกม่วง
วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว รู้สึกเพียงแค่ด้านหลังมีแสงทองอร่ามแผ่ไกลนับหมื่นจั้ง เกือบจะส่องประกายทั่วผืนฟ้า หลิงหลงอดหยุดหันกลับไปมองไม่ได้ จงหมิ่นเหยียนดึงมือนาง “รีบไปเร็ว! อย่าดู!” หลิงหลงวิ่งตามเขาโดดขึ้นเสาศิลายักษ์ น้ำตาพลันไหลออกมา กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าหก พวกเราจะตายกันหมดไหม ปีศาจตำหนักหลีเจ๋อพวกนั้น…” ในใจจงหมิ่นเหยียนก็สับสนเช่นกัน แต่ไม่อยากให้นางคิดมาก จึงปลอบอ่อนโยนว่า “ไม่ตายหรอก! มีมกรกับเสวียนจีอยู่ ยังมีซือเฟิ่ง ถิงหนู พี่หลิ่วอี้ฮวน…พวกเราต้องไม่ตายแน่!”
“แต่…ซือเฟิ่งเป็นคนตำหนักหลีเจ๋อ…เขาก็เป็นปีศาจด้วยใช่ไหม” หลิงหลงถามน้ำเสียงสั่น จงหมิ่นเหยียนสะดุ้ง ร้อนใจกล่าวว่า “เขาจะเป็นปีศาจได้อย่างไร! เขาเป็นคน! จะว่าไป…แม้เขาเป็นปีศาจ ก็เป็นสหายพวกเรา!” หลิงหลงไม่พูดต่อ
ทันทีที่บรรดาศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อปลดผนึกออกก็ปล่อยกลิ่นอายปีศาจ เห็นเพียงแสงทองนับไม่ถ้วนเวียนวนทั่วผืนฟ้า แสงทองแต่ละคนเหมือนกับของเจ้าตำหนักใหญ่ บนหลังมีปีกปีศาจ ปีกข้างหนึ่งแบ่งออกเป็นสามท่อน สามท่อนรวมหกก้านปีก ทั้งหมดสิบสองก้านปีก ราวกับสะบัดผงทองออกมา เป็นภาพมายางดงามที่ยากบรรยาย
ก่อนหน้าหากเป็นมารปีศาจตนเดียวก็จะถูกอาวุโสเจียงสังหารอย่างไม่เปลืองแรง ตอนนี้ท้องฟ้ามีมารปีศาจเช่นนี้หลายสิบ กล่าวว่าจะหลั่งเลือดล้างเกาะฝูอวี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่แล้ว พวกเขาทำได้จริง! นักพรตจู้สือหัวเราะขมขื่น ปลายน้ำเสียงราวสะอื้น ดูท่าคงตกอยู่ในสภาวะเสียสติไปแล้ว ธงคำสั่งในมือโบกไปมาอย่างไร้ระเบียบ ส่งเสียงขึ้นเพียงว่า “ตั้งค่ายกลๆ! ห้าสำนักใหญ่ใต้หล้าตายพร้อมกันที่นี่!” บรรดาศิษย์ที่ตั้งค่ายอยู่เห็นท่าคำสั่งธงไม่ได้การแล้ว ก็ไม่รู้ควรปรับเปลี่ยนค่ายกลเช่นไร ร้อนใจตะโกนดังเรียกเขา “เจ้าสำนัก! มารปีศาจมาแล้ว! ตั้งค่าย!”
ตะโกนจบ มารปีศาจพวกนั้นก็พุ่งลงมา ปีกทองหอบม้วนลมกระหน่ำ กลิ่นอายปีศาจฟุ้งทั่วท้องฟ้า พริบตาก็ทำค่ายกระบี่โกลาหล ศิษย์สำนักเซวียนหยวนร้องตกใจก็มี วิ่งหนีก็มี ต่อหน้ามารปีศาจพวกนี้ พวกเขาก็คงเป็นแค่กระดาษเปล่า พวกมันจับพวกเขาบี้คามือ นักพรตจู้สือยังโบกธงคำสั่งเขา เสียงดังบ้าคลั่ง “ตั้งค่าย! ตั้งค่าย! จัดการสังหารพวกเขาให้หมด!” อาวุโสสำนักเซวียนหยวนหลายคนข้างกายเริ่มทนไม่ไหว ปรี่เข้าไปชิงธง ผู้อาวุโสพวกนั้นพากันแตกตื่นโกลาหลไปหมด ยามนี้ช่างทำให้คนได้แต่ตกใจและจนใจ
สู้กันได้ไม่นาน นักพรตจู้สือก็ถูกมารปีศาจจับตรึงค้างไว้กลางอากาศ เขาถึงกับไม่รู้สึกกลัว ยังคงตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “ทุกคนต้องตายด้วยกันที่นี่” ตะโกนจบ ก็ถูกมารปีศาจกระชากออกเป็นชิ้น เลือดสดไหลนองพื้น ในค่ายกระบี่มีศิษย์หญิง ตกใจร้องเสียงหลง ร้องได้ไม่กี่คำเสียงก็หายไปในทันที
ฉู่เหล่ยมองมองสภาพน่าอนาถนี้แล้ว รู้สึกเพียงแค่สองมือสั่นเทา น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “ปีศาจชั่ว! ปีศาจชั่ว!” เหินกระบี่ขึ้นไปต่อสู้กับมารปีศาจพวกนั้น ทุกคนไม่ยอมถูกทิ้งอยู่เบื้องหลัง พากันตามไป บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์แม้ไม่ใช่คู่ต่อสู้มารปีศาจ แต่เห็นเพลงกระบี่ฉู่เหล่ยลึกล้ำ ต่อสู้กับมารปีศาจซึ่งหน้าอย่างไม่เกรงกลัว ทีเดียวกำจัดมารปีศาจสองสามตัวร่วงลงพื้น ในยามนั้นก็เริ่มฮึกเหิม แม้ว่ามารปีศาจพวกนี้ดูแล้วรูปร่างเหมือนเจ้าตำหนักใหญ่เมื่อครู่ แต่แท้จริงก็ยังอายุน้อย อานุภาพหรือกลิ่นอายปีศาจยังสู้เจ้าตำหนักใหญ่ไม่ได้ กอปรกับพวกฉู่เหล่ยก็ล้วนสู้ตาย คนหนึ่งหากสู้ตายแล้ว ก็ย่อมทุ่มเทแรงกายทั้งหมดออกไปเต็มที่ พลันพวกฉู่เหล่ยเริ่มได้เปรียบ บีบมารปีศาจพวกนั้นถอยหลังไปได้อย่างต่อเนื่อง
ในสายตาพวกเขามีเพียงมารปีศาจ ยามนี้ในสายตาเสวียนจีมีเพียงอวี่ซือเฟิ่ง นางนิ่งจ้องมองเขา หวังว่าเขาจะพูดอะไรออกมา แต่ก็ยังหวังว่าเขาอย่าพูดอะไรออกมาดีกว่า นางไม่รู้ควรใช้อารมณ์ความรู้สึกแบบใดเผชิญหน้ากับเขา
เป็นนาน เขาก็ขยับริมฝีปาก กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เสวียนจี ขอโทษ”
นางสะดุ้งสุดตัว ปล่อยมือเขา ในใจราวกับมีเสียงตะโกนดังมากมายว่าอย่าปล่อยมือ! อย่าปล่อยเขาไป! แต่กายนางราวกับไม่เชื่อฟัง สองมือค่อยๆ ทิ้งลง อวี่ซือเฟิ่งพลันเงยหน้า ยิ้มให้นางเล็กน้อย พริบตาก็เหมือนมีน้ำตาคลอ เขาหันหลังจากไป กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าจะไม่ให้พวกเขาฆ่าคนต่อ”
กล่าวจบก็ถอดเสื้อตัวนอกออก ใต้วงแขนมีไข่มุกดำวาวสองแถวฝังตัวอยู่ ราวกับเรื่องน่าขันที่มืดดำถูกเปิดโปง