ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 42 เหตุปะทุ (4)
ยามนี้อวี่ซือเฟิ่งรู้สึกเพียงแค่หน้าอกเหมือนมีดาบฟันลงมาเต็มไปหมด เจ็บปวดจนเหงื่อท่วมใบหน้า ลำคอรู้สึกถึงรสหวานคาวเหนียวข้นขึ้น เขาฝืนกลืนลงไป ในใจพลันมีความรู้สึกมากมายประเดประดัง เริ่มตั้งแต่วินาทีที่เสวียนจีปล่อยมือ
เขาเคยกล่าวว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่นึกเสียใจภายหลัง แต่บางทีในใจเขาอาจมีความหวังอยู่ดังดาวครึ่งดวงว่า บางที…นางรู้ความจริงอาจไม่เก็บมาใส่ใจ บางทีนางเองไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ หัวเราะพูดสองสามคำก็แล้วกันไป ต่อมาเขาก็เคยคิดหาโอกาสเหมาะๆ เล่าเรื่องตรงไปตรงมาทั้งหมด ไม่ว่านางรับได้หรือไม่ อย่างไรเขาก็เป็นคนโดดเดี่ยวเช่นนี้อยู่แล้ว ไม่มีอะไรต้องนึกเสียใจภายหลัง
แต่จินตนาการก็ส่วนจินตนาการ เมื่อเจอกับความจริง เขาคิดไม่ถึงว่าตนเองถึงกลับไร้ความกล้าที่จะหันกลับไปมอง
พี่หลิ่วเคยกล่าวว่า เจ้าไยต้องดีใจเสียเปล่าด้วย?
ดีใจเสียเปล่า…ดีใจเสียเปล่าจริงๆ ความระทึกใจ ความรู้สึกผูกพัน ใจเต้นแรง ทุกสิ่งอย่างนี้ดูท่าแล้วก็เหมือนภาพแผ่นหนังใหญ่ที่บอบบาง ในจอนอกจอ แต่หัวจรดปลาย มีเพียงเขาที่หวั่นไหวไปคนเดียว
อยากกลับไปถามนาง เหตุใดจึงปล่อยมือ เมื่อก่อนไม่ใช่เคยกล่าวว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไปหรือ นางกล่าวว่า ซือเฟิ่ง หากเจ้าไม่กลับมา ข้าคงจะตาย! หากเจ้าไม่สนใจว่าข้าจะตาย เจ้าก็จากไปสิ!
เยี่ยมมาก เยี่ยมจริง จริงๆ แล้วที่คงจะตายก็คือเขา ไม่ใช่นางตลอดไป
ในอกราวกับถูกคนแหวกออก ก่อนจะยัดพริกเผ็ดร้อนลงไปจนเต็มแน่น ความเจ็บแสบปวดร้อนราวกับจะฉีกออก ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ค่อยๆ ครางขึ้น เม้มปากจนโลหิตไหลออกจากมุมปาก ค่อยๆ ไถลตัวลื่นลง
คนที่หิ้วปีกเขาหนีก็พลันหยุดลง เขาถูกคนอุ้มขึ้นเบาๆ พิงที่เข่าคนผู้นั้น มือคนผู้นั้นลูบแก้มเขาอย่างอ่อนโยน เช็ดคราบเลือดที่มุมปากเขา
ในใจอวี่ซือเฟิ่งดีใจแทบคลั่ง พึมพำร้องดังขึ้นว่า “เสวียนจี…เสวียนจี!”
คนผู้นั้นถอนหายใจ น้ำเสียงทุ้ม เป็นผู้ชาย เขากล่าวว่า “นางคือมารของเจ้า เจ้ามารแทรกลึกเกินไปแล้ว ลูกเอ๋ย”
อาจารย์! อวี่ซือเฟิ่งพยายามลืมตามองใบหน้าเจ้าตำหนักใหญ่ระยะใกล้ สายตาเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดและเมตตา สายตาเช่นนี้เขาคุ้นเคยยิ่ง ตอนเด็กหากเขาทำผิดอะไร โดนลงโทษโบยจนเขียวช้ำม่วงดำไปทั้งตัว อาจารย์ก็จะใส่ยาให้เขาและก็จะมองเขาด้วยสายตาเช่นนี้
“อาจารย์…” เขาหลับตาลง กล่าวเบาๆ “ข้าจะตายแล้วใช่ไหม”
เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวอ่อนโยนว่า “เจ้าวางใจ ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าตายแน่ นี่คือแรงสะท้อนจากคำสาปคู่รักเท่านั้น ซือเฟิ่ง กล่าวตามจริง จริงๆ แล้วตั้งแต่ต้นเจ้าก็ไม่ได้เชื่อใจในรักของแม่นางนั่นใช่ไหม”
อวี่ซือเฟิ่งเปลือกตากระตุก ไม่กล่าวอันใด เจ้าตำหนักใหญ่ถอนใจกล่าวว่า “เวรกรรม…เช่นนี้แม้เจ้าทุ่มเทหมดหน้าตักก็ไม่อาจทำอะไรได้ ได้แต่กล่าวว่า ทุ่มเทฝ่ายเดียว ในเมื่อสงสัยในรักนาง เหตุใดยังฝืนทนมาตลอด ฟังคำอาจารย์ ลืมนางเสีย ทิ้งนางไปให้หมดจากความทรงจำ วันหน้าอย่าได้คิดถึงอีก อาจารย์จะช่วยเจ้าแก้คำสาปคู่รักเอง วันหน้าทุกเรื่องจะมีอาจารย์จัดการแทนเจ้า เจ้าไม่ต้องปวดหัวกับอะไรทั้งนั้น”
อวี่ซือเฟิ่งรู้สึกเพียงแค่ความเจ็บปวดตรงหน้าอกราวกับลามไปทั่วร่าง เขาพลันรู้สึกร้อนดังไฟแผดเผา พักหนึ่งก็ราวกับตกลงในบ่อน้ำแข็งพันปี ในใจก็เริ่มว่างเปล่า ว่างเปล่า อะไรก็ล้วนว่างเปล่า เขาไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ
เขากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “อาจารย์…นางว่าไม่อาจจากข้าไปได้ หากข้าไป นางก็คงจะตาย”
เจ้าตำหนักใหญ่เสียดสีขึ้น “เจ้ายังหลอกตัวเองอีกหรือ คนที่ตายไม่ใช่นาง มีเพียงเจ้าที่โง่เง่าเท่านั้น”
อวี่ซือเฟิ่งตัวสั่นเทาเล็กน้อย ใต้ขนตายาวมีน้ำตาเย็นเยียบสองหยดหยดลงมาตกลงบนฝ่ามือเจ้าตำหนักใหญ่ ความเย็นทำให้เขาสะดุ้ง ทำให้เขางุนงงเล็กน้อย พริบตาราวกับคิดถึงความหลังนานมาแล้วขึ้นมาได้
“อาจารย์ ตำหนักหลีเจ๋อ…อยู่เบื้องหลังทุกสิ่งจริงหรือ”
คำถามอวี่ซือเฟิ่งทำให้เขาพรั่งพรูความรู้สึกลึกๆ ภายในออกมาทั้งหมด เขาหัวเราะ “ฮึ” กล่าวอย่างทะนงตนว่า “ใช่ ทุกอย่างล้วนอาจารย์เจ้าทำ มนุษย์ธรรมดาพวกนั้นเพ้อฝันจะบำเพ็ญเซียน กำหนดระเบียบบ้าบออะไรไว้ตั้งมากมาย ข้าจะสอนให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาเองน่าขันเพียงใด!”
อวี่ซือเฟิ่งหอบหายใจสองสามที จึงได้กล่าวว่า “ท่าน…ท่านอย่า…อาจารย์! พวกเขา…ไม่ได้ขัดขวางท่าน…”
เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวน้ำเสียงนิ่งว่า “ไม่ได้ขัดขวาง? พวกเขาทำความผิด หลักฐานมากมายก่ายกอง! วันๆ เอาแต่พูดอ้างคุณธรรม ชี้มือชี้ไม้สั่งผู้อื่น ผิดนิดหน่อยก็ตำหนิรุนแรง ผิดรุนแรงก็ลงโทษเหี้ยมโหด! ไม่ได้ขัดขวางหรือ หากไม่ได้ขัดขวาง เช่นนั้นท่านแม่เจ้าตายได้อย่างไร!”
อวี่ซือเฟิ่งตัวสั่นเทา มองเขาอย่างคาดไม่ถึง น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ท่าน…ท่านว่าอะไร ท่านแม่ข้า…?”
เจ้าตำหนักใหญ่ราวกับรู้สึกว่าตนเองพูดผิดไป เงียบงันไปนาน เป็นนานก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เรื่องคำสาปคู่รัก เจ้าไม่ต้องกังวล เจ็บปวดก็ไม่นาน อาจารย์จะรีบพาเจ้ากลับตำหนักหลีเจ๋อ ไม่ช้าก็หาย”
“อาจารย์!” อวี่ซือเฟิ่งร้องเรียกขึ้นเสียงหนึ่ง
เจ้าตำหนักใหญ่ยากจะเผยสีหน้าเก้กัง เป็นนานก่อนจะกล่าวว่า “มีบางเรื่อง ข้าไม่ได้บอกเจ้า ตอนนี้เจ้าโตแล้ว ก็ควรบอกเจ้าได้แล้ว แต่ข้ามีเงื่อนไข เจ้าต้องกลับตำหนักหลีเจ๋อกับข้า และรับปากข้าว่าจะไม่พบนางหนูนั่นอีกตลอดไป”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเสียงเศร้าสลดว่า “อาจารย์…ข้า…ไม่อาจ…”
เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ถึงตอนนี้เจ้ายังคิดถึงนังหนูเลือดเย็นไร้ใจอีก! หากนางใส่ใจเจ้าจริง เหตุใดไม่ตามมา เหตุใดรู้ว่าเจ้าเป็นปีศาจแล้วก็ทอดทิ้งเจ้า?! เจ้ากำลังจะตายตรงหน้านาง นางก็ไม่เสียใจให้เจ้าหรอก! ไม่แน่ในใจยังอาจแอบดีใจ เจ้าปีศาจตายไปเสียได้ก็ดี!”
คำพูดเขาจริงๆ แล้วไม่มีมูลแม้แต่น้อย แต่อวี่ซือเฟิ่งกำลังเสียใจสิ้นหวัง เขากล่าววาจายากรับฟังแทงใจดำอีก ก็เหมือนอยู่ไม่สู้ตายจริงๆ การสะท้อนกลับของคำสาปคู่รักราวกับรุนแรงยิ่งขึ้น อวี่ซือเฟิ่งรู้สึกเพียงแค่ทั้งร่างถูกมีดคมขุดเป็นรู เจ็บปวดจนสะลึมสะลือแทบไม่ได้สติ
เจ้าตำหนักใหญ่อุ้มเขาขึ้น กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เด็กดี ตามอาจารย์กลับไป ความเจ็บปวดย่อมหมดไป”
อวี่ซือเฟิ่งทั้งร้อนใจทั้งเจ็บปวด หายใจไม่ทัน สลบไปทันที
เขาเดินไปสองสามก้าว รองเจ้าตำหนักที่ยืนนิ่งเงียบข้างๆ พลันกล่าวว่า “ท่านจะพาเขากลับตำหนักหลีเจ๋อ? ความผูกพันไม่ได้จัดการกันเช่นนี้! ใจเขาไม่ได้อยู่ที่นี่! ท่านฝืนพากลับไป ก็มีแต่ยิ่งวุ่นวายขึ้นไปอีก!”
เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เรื่องของข้าไม่ต้องให้เจ้ามายุ่ง ในใจเจ้าคิดอะไร คิดว่าข้าไม่รู้หรือ” เขามองรองเจ้าตำหนักไม่ยอมพูด ก็ยิ้มเยียบเย็น กล่าวว่า “เจ้าฉวยโอกาสที่ข้าไม่ระวังตัวจะทำเรื่องชั่วอะไร?”
รองเจ้าตำหนักรีบแบมือออก ยิ้มเฝื่อนว่า “พี่ใหญ่! ท่านก็ใจดำเกินไป!”
ทันทีที่กล่าวจบ ทั้งสองพลันรู้ตัวโดดถอยหลังไปพร้อมกัน หันกลับไปมอง เห็นเสวียนจีกับหลิ่วอี้ฮวนไล่ตามมาแต่ไกล เจ้าตำหนักใหญ่ “ชิ” ขึ้นเสียงหนึ่ง รองเจ้าตำหนักยิ้มกล่าวว่า “ทำไม ท่านกลัวแม่หนูน้อยนั่น? ก็จริงนะ ก่อนหน้ายังแพ้ให้นางนี่…”
“หุบปาก” เจ้าตำหนักใหญ่สีหน้าดำคล้ำ ขณะที่พูด สองคนนั้นก็ไล่ตามมาใกล้
เสวียนจีมองเห็นอวี่ซือเฟิ่งแต่ไกลว่าเหมือนใกล้ตาย กำลังอยู่ในอ้อมกอดเจ้าตำหนักใหญ่ ไฟโมโหในใจไม่อาจระงับ น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “เจ้าวางเขาลง!” กล่าวจบก็ชักกระบี่ออกมาพุ่งเข้าไป กลับถูกหลิ่วอี้ฮวนดึงรั้งไว้เต็มแรง
“อย่าวู่วาม” หลิ่วอี้ฮวนเขย่ามือ นางหันไปมองเจ้าตำหนักใหญ่ นิ่งเงียบเป็นนานจึงได้กล่าวว่า “หากข้าจำไม่ผิด วันนั้นตอนไปตำหนักหลีเจ๋อ พวกเราพูดกันกระจ่างมากแล้วนะ อวี่ซือเฟิ่งไม่ใช่คนตำหนักหลีเจ๋ออีก ท่านถือสิทธิ์อะไรมาแย่งเขาไป”
เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “พวกเจ้าไม่ใช่ญาติซือเฟิ่ง ถือสิทธิ์อะไรมาแย่งเขาไป”
หลิ่วอี้ฮวนยิ้มกล่าวว่า “เจ้าตำหนักเล็กๆ ปากคอไม่เลว! ข้าบอกเจ้านะ อวี่ซือเฟิ่งเนี่ย ตกลงร่วมกับแม่นางฉู่แล้ว สำนักเส้าหยางทุกคนล้วนรู้ เจ้าไม่มีเหตุผลจะพรากคู่สามีภรรยากระมัง”
เสวียนจีอึ้งไป ร้อนใจกล่าวว่า “พี่หลิ่ว…” นางไปตกลงร่วมกันตอนไหน
“เสวียนจี พี่หลิ่วกล่าวได้ถูกต้องไหม” หลิ่วอี้ฮวนถามเสียงดัง แอบยักคิ้วให้นาง เสวียนจีสูดลมหายใจเฮือก ได้สติทันที รีบพยักหน้า “ใช่…ใช่แล้ว!” อย่างไรก็ยังเป็นเด็กผู้หญิง เขินอายจนใบหน้าแดงก่ำไปหมด
เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ข้อตกลงร่วมกันก็ต้องให้ผู้อาวุโสสองฝ่ายให้การยอมรับ ข้าจำไม่ได้ว่าเคยให้การยอมรับ”
หลิ่วอี้ฮวนร้องดังขึ้นว่า “เจ้ามันอาวุโสอุจจาระอะไร! อวี่ซือเฟิ่งไม่ใช่คนตำหนักหลีเจ๋อนานแล้ว! ข้านับว่าเป็นบิดาเขาครึ่งหนึ่ง ข้าจึงจะเป็นอาวุโสแท้จริงของเขาไหม เรื่องเขาสองคน ข้าตกลงกับเจ้าสำนักฉู่แล้ว เจ้ามีวาจาผายลมใดจะกล่าวอีก?!”
เจ้าตำหนักใหญ่เงียบเป็นนานไม่กล่าวอันใด ราวกับเริ่มหวั่นไหวเล็กน้อย ครู่หนึ่งจึงได้กล่าวว่า “ผู้อาวุโสมีบุญคุณเมตตาซือเฟิ่ง ข้าขอบคุณด้วยใจจริง”
“ข้าไม่ได้อยากได้คำขอบคุณ! คำเดียว คืนเขาให้ข้า!” หลิ่วอี้ฮวนถลึงตาจ้อง
รองเจ้าตำหนักพลันหลุดขำพรืดออกมา กล่าวอย่างสบายอารมณ์ว่า “บิดาตัวจริงยังไม่กล่าวอันใด บิดาตัวปลอมอย่างเจ้าโดดออกมาอวดเบ่งอันใด”
หลิ่วอี้ฮวนมองเขาอย่างไม่ถูกชะตา ด่าทันทีว่า “ไสหัวเจ้าไปซะ! ข้าพูดอยู่ ไม่ให้คนไม่หญิงไม่ชายเช่นเจ้ามากล่าวแทรก?! มีบิดาตัวจริง? เขาเคยเรียกบิดาสักคำไหม?!”
รองเจ้าตำหนักถูกเขาด่าก็โมโหขึ้นมา กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เจ้าพูดจามีมารยาทหน่อย! เขาไม่เคยเรียกเจ้าเป็นบิดาเหมือนกัน! เรื่องข้อตกลงร่วมกันก็ควรพ่อแม่ตัดสิน ไร้สถานะก็เท่ากับโมฆะ!”
เขากล่าวเช่นนี้ก็เท่ากับด่าเสวียนจีไปด้วย สีหน้านางในยามนั้นซีดเผือด ไม่รู้จะยืนตรงไหนดี
เจ้าตำหนักใหญ่พลันกล่าวว่า “คุณหนูฉู่ ขอบคุณเจ้าที่ใส่ใจซือเฟิ่งเช่นนี้ แต่เรื่องข้อตกลงร่วมกัน ข้าไม่เห็นด้วย เจ้าก็รู้ ซือเฟิ่งเป็นปีศาจ คนกับปีศาจมักจะไม่อาจเดินเส้นทางเดียวกัน ปล่อยมือเร็วหน่อย ดีกับเจ้าและเขา เจ้าเป็นคนดีเช่นนี้ วันหน้าคงไม่ขาดแคลนศิษย์สำนักอื่นมาสู่ขอเจ้า ซือเฟิ่งไม่คู่ควรกับเจ้า”
ริมฝีปากเสวียนจีสั่นเทา ค่อยๆ กล่าวว่า “แต่เขารับปากข้า…พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป…”
เจ้าตำหนักใหญ่ยิ้มกล่าวว่า “หนุ่มสาวใจร้อน ผู้ใดก็ย่อมทำผิดพลาดได้ คำสัญญาพวกนี้ไยต้องจริงจัง”
เสวียนจีราวกับไม่รู้จักเขา เอาแต่จ้องมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า พลันหรี่ตามองรอยแผลที่ข้อมือเขา สะดุ้งกล่าวน้ำเสียงสั่นว่า “ท่าน…ช้าก่อน! ท่านยื่นมือ…ให้ข้าดูหน่อย!”
เจ้าตำหนักใหญ่ก้มหน้า มองรอยแผลบนข้อมือตน สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย สุดท้ายยังคงเงยหน้ายิ้มกล่าวว่า “สายตาไม่เลว ถูกเจ้าจำได้แล้ว”
เสวียนจีค่อยๆ ชักกระบี่เปิงอวี้ออกมา ชี้คมกระบี่ไปที่ใบหน้าเขา กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าก็คือเฮ่าเฟิ่ง! เจ้าตำหนักถึงกับปลอมตัวเป็นศิษย์!”
หลิ่วอี้ฮวนร้องเสียงหลงดังขึ้นว่า “อะไรนะ?…ช้าก่อน ช้าก่อน! เสวียนจีน้อย! เจ้าบอกว่าเขาก็คือไอ้คนชั่วที่เลี้ยงเทาเที่ย?!”
เจ้าตำหนักใหญ่กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ข้าเอง เดิมข้าคิดอาศัยงานชุมนุมปักบุปผากำจัดเจ้าทิ้ง คุณหนูฉู่ ทิ้งเจ้าไว้มีแต่เป็นภัย ภัยมหันต์ ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ล้วนขวางทางพวกเรา แต่น่าเสียดาย เจ้าเลี้ยงสัตว์ภูตไม่เลว…แม้แต่ร่างเดิมข้าก็ทำอะไรเขาไม่ได้ แผนการล้างเกาะฝูอวี้ด้วยเลือดก็ล้มเหลวสิ้น เจ้าเยี่ยมมาก! เจ้าเป็นใครกันแน่”
กระบี่เสวียนจีสั่นไหวทีหนึ่ง ฝืนกล่าวว่า “ข้าไม่เป็นใครทั้งนั้น! สรุปว่า…เจ้าห้ามพาซือเฟิ่งไป!”
วาจากล่าวจบ ก็ได้ยินอวี่ซือเฟิ่งครางขึ้นเสียงหนึ่ง ฟื้นขึ้นมาแล้ว
เขากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เสวียนจี…” เสวียนจีตกใจและดีใจ ก้าวเข้าไปอย่างเร็ว คิดจะมองเขา กลับถูกรองเจ้าตำหนักกันไว้ “อย่าเข้าใกล้! นอกจากเจ้าอยากให้เขาตาย!” เสวียนจีตวัดกระบี่คิดจู่โจม ได้ยินเสียงหลิ่วอี้ฮวนน้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “เชื่อฟัง! เสวียนจีเจ้าอย่าเข้าไป! เขากำลังโดนแรงสะท้อนจากคำสาปคู่รัก!”