ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 44 เหตุปะทุ (6)
ก่อนจะตื่นขึ้น เสวียนจีสะลึมสะลือฝันไปมากมาย เหมือนตั้งแต่รู้จักอวี่ซือเฟิ่งมา สิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดราวกับสายน้ำไหลผ่านหน้าไป
ตอนนั้นนางยื่นมือไปคว้าเสี่ยวอิ๋นฮวา เกือบบีบมันตาย ทำให้อวี่ซือเฟิ่งโมโหมาก เอาแต่เรียกนางว่าหญิงชั่วร้าย ตอนนั้นพวกเขาสองคนต่างก็ไม่ถูกชะตากัน แต่ตอนนี้คิดๆ ดูแล้ว เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับเด็กผู้หญิง คงต้องรู้สึกตื่นตกใจและไม่รู้ว่าควรรับมือเช่นไร เขาไม่เคยรังเกียจนางจริงๆ เพียงแต่ชายหนุ่มอายุยังน้อยใช้วาจาดุร้ายเพื่อปิดบังความเขินอายของตนเอง
พวกเขาไปเขาลู่ไถซานด้วยกัน ช่วยถิงหนูออกมาด้วยกัน จัดการอูถงด้วยกัน…เขาอยู่ข้างกายนางมาตลอด อยู่ไม่ห่างกายนาง หันกลับมองก็จะได้เห็นหนุ่มน้อยร่างผอมสูงกับดวงตาดำขลับส่งยิ้มบางให้นางเสมอ
อาจเพราะความอ่อนโยนของเขาได้มาอย่างง่ายดาย ของที่ได้มาง่ายๆ มักจะไม่รู้จักทะนุถนอม สี่ปีที่ไปยอดเขาเสี่ยวหยาง นางแทบไม่ได้นึกถึงเขาเลย บางครั้งฝึกวิชาหนักจนเหนื่อยมาก พิงเตียงอยู่ไม่ค่อยได้สติ ก็มีนึกถึงหนุ่มน้อยเลี้ยงงูสีเงินอยู่บ้าง ในใจรู้สึกบอกไม่ถูก หวาดกลัวเล็กน้อย หลบเลี่ยงเล็กน้อย ก็เพราะเขาดีกับนางมาก แต่นางกลับลืมเขียนจดหมาย ลืมเขาทั้งคนไปเสียสนิท
เพราะไม่อาจดีได้เท่ากับที่เขาทำให้นาง ดังนั้นในใจนางจึงยอมห่างไกลเขา ลืมแล้วก็ลืมเลยแล้วกัน
แต่ต่อมาพอได้พบกันอีก นางไม่เคยรู้ว่าเพราะตอนเด็กนางมีเหตุโต้เถียงเอาแต่ใจ ทำให้ต่อมาเขาต้องมีชีวิตที่ลำบากมาก หากแต่ไรมาเขาไม่เคยต่อว่านาง เขาดีกับนางมากจริงๆ ดีจนนางกลัว บางครั้งยังแอบรู้สึกว่านางยอมโต้เถียงกับจงหมิ่นเหยียนดีกว่าอยู่กับเขา
นางยังชอบเขาเหมือนชอบหลิงหลง หมิ่นเหยียน ท่านพ่อ ท่านแม่ ในใจนางทุกคนล้วนเป็นกลุ่มเดียวกัน ผู้ใดก็ไม่อาจจากผู้ใดไป แต่ที่อวี่ซือเฟิ่งต้องการไม่ใช่ทั้งกลุ่ม เขาต้องการเป็นเพียงหนึ่งเดียว นานวันเข้า ความขัดแย้งในใจนี้ก็ยิ่งมาก
ตอนนี้นางจะไม่กล่าวว่านางไม่เข้าใจว่าสองสิ่งนี้ต่างกันตรงไหนอีกแล้ว
นางรู้แล้วว่าอวี่ซือเฟิ่งต้องการอะไร เพียงแต่ไม่เข้าใจจิตใจตนเอง นางรักเขาหรือไม่ เหมือนที่เขารักนางไหม มองเห็นเขาเป็นหนึ่งเดียวในโลกทั้งใบนี้ไหม เขาบอกว่ารักใครสักคนก็ต้องร่วมเป็นร่วมตาย เพื่อคนคนหนึ่ง จะไม่ลังเลแม้ต้องไปตายแม้แต่น้อย ความรู้สึกนี้เป็นเช่นไร การได้กอดกับคนที่ตนรักนั้นเป็นความสุขเช่นไรกัน
ตอนเด็กนางชอบคนขายขนมน้ำตาลที่เชิงเขา รู้สึกว่านั่นคือโลกที่งดงามที่สุด แต่พอโตมาก็ไม่ชอบแล้ว
นางยังเคยชอบจงหมิ่นเหยียน รู้สึกเขาเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในโลก แต่อวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่ายังมีดียิ่งกว่า ยิ่งกว่านั้นคือผู้ใด ตอนนั้นนางมองเขาอย่างไม่เข้าใจ ชายหนุ่มไม่กล่าวอันใด เอาแต่หน้าแดง
ตอนนี้นางเข้าใจแล้ว ที่ดียิ่งกว่าก็คือเขา พอโตมาไม่ชอบคนขายขนมน้ำตาล เช่นนั้นนางใช่ว่าต้องเติบโตกว่านี้อีกหน่อยไหม จึงจะเข้าใจว่าที่ตนเองชอบจริงๆ นั้นคืออะไร นางต้องทำอย่างไรจึงจะเติบโต
เรื่องเติบโตเป็นเรื่องที่ทำให้คนเราคิดแล้วก็รู้สึกปวดหัวเสมอ อนาคตเหมือนหุบเขาวงกตที่มีเส้นทางนับหมื่นพันกองอยู่ร่วมกัน เจ้าไม่มีวันรู้เส้นทางเดินของตนเองนั้นถูกหรือผิด แต่ทว่าทุกคนล้วนต้องเดินไปเช่นนี้ นางเองก็ต้องใจกล้าก้าวเดินต่อไป เดินต่อไปเรื่อยๆ…
เสวียนจีค่อยๆ กะพริบเปลือกตาลืมตาขึ้น เบื้องหน้าปรากฏใบหน้าซีดเหลือง นางตกใจไม่ทันตั้งตัวก็ฟาดฝ่ามือออกไป มกรเจ็บจนร้องเสียงหลง แทบกระโดดตัวลอย สบถด่าว่า “นังหญิงหน้าเหม็น พอตื่นมาก็ฟาดคนอื่นเลย! ไม่รู้ดีชั่ว!”
เสวียนจีผุดลุกขึ้น เห็นว่าที่นี่เป็นห้องพักแขกเกาะฝูอวี้ หลายคนล้อมอยู่รอบกายนาง ล้วนพากันจ้องมองนาง อยากจะพูดแต่ก็ไม่พูด นางเห็นสาวงามชุดม่วงงดงามนั่งอยู่ข้างเตียง ขอบตาแดงมองตนเองอยู่ ก็อดไม่ได้เรียกขึ้นเบาๆ “จิ้งจอกม่วง…”
จิ้งจอกม่วงพยักหน้าก่อนจะตามมาด้วยอาการทนไม่ไหวอีกต่อไป ร้องไห้โฮขึ้นทันที กล่าวสะอึกสะอื้นว่า “เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม ทำให้ข้ากังวลแทบตาย! เจ้าโจรน้อยแล้งน้ำใจนั่น เจ้าก็อย่าได้คิดถึงอีก! ผู้ชายล้วนไม่ใช่ของดี!”
หลิ่วอี้ฮวนด้านหลังนิ่วหน้าร้องดังขึ้นว่า “นี่ นี่! จิ้งจอกน้อย วาจาเจ้ากล่าวได้เกินไปหน่อยมั้ง! อะไรว่าผู้ชายไม่ใช่ของดี”
จิ้งจอกม่วงโมโหกล่าวว่า “เจ้านี่หรือของดี เจ้าก็คือของที่เลวร้ายที่สุด! มารดาเจ้าพูดอยู่ เจ้าพูดขัดอะไร!”
หลิ่วอี้ฮวนงึมงำไม่ต่อความ น่าจะเพราะนางเป็นสาวงาม ชายชาตรีเช่นเขาย่อมไม่ทะเลาะกับสตรี ถิงหนูถอนใจกล่าวว่า “ยามนี้แล้ว พวกเจ้าทะเลาะอะไรกัน เสวียนจี ร่างกายเจ้าสบายดีไหม จะดื่มน้ำไหม”
เสวียนจียันศีรษะขึ้นพยักหน้าอย่างอ่อนแรง ถิงหนูรีบเทน้ำชาอุ่นถ้วยหนึ่งจ่อไปที่ปากนาง กล่าวอ่อนโยนว่า “เจ้าอย่าคิดมาก ข้าว่าซือเฟิ่งไม่ใช่คนไร้จิตใจเช่นนั้น ยิ่งคงไม่เพราะเข้าใจผิดแล้วจากไปอย่างเอาแต่ใจ อีกสองวันก็กลับมาแล้ว”
นางค่อยๆ ส่ายหน้า น้ำเสียงแหบพร่ากล่าวว่า “ข้ารู้ดี เขาจะไม่กลับมาอีก พวกท่าน…ไม่ต้องปลอบใจแล้ว ข้าไม่เป็นไร ซือเฟิ่ง…หาเรื่องที่เขาชอบทำยิ่งกว่าได้ ข้าควรดีใจกับเขา”
ทุกคนในห้องสบตากัน ทุกคนล้วนคิดว่านางตื่นมาต้องร้องไห้จะเป็นจะตาย ผู้ใดจะรู้ว่าถึงกับนิ่งสงบเช่นนี้ จิ้งจอกม่วงอังมือที่หน้าผากนางท่าทางงุนงง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ได้ป่วยนี่…เสวียนจี เจ้าไม่เป็นไรจริง?”
เสวียนจีดื่มน้ำชาหมดถ้วย เช็ดปากแล้วก็หันไปมองรอบๆ ถามว่า “จิ้งจอกม่วงเจ้าออกมาแล้ว? ไม่มีคนหาเรื่องเจ้าอีก?”
จิ้งจอกม่วงพยักหน้ากล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร พี่สาวเจ้ากับศิษย์พี่เจ้าปล่อยข้าออกมา ขอบคุณพวกเขาจริงๆ กว่าจะเปิดกรงออกได้ก็ตั้งนาน ยามนี้คนเกาะฝูอวี้ทุกคนล้วนยุ่งกับการดูแลคนเจ็บ ไม่มีคนมาสนใจข้า”
“บาดเจ็บ…ใช่แล้ว ทุกคนสบายดีไหม ตอนนั้นข้า…ไม่อยู่ ต่อมาไม่ได้เกิดเรื่องอีกใช่ไหม”
จิ้งจอกม่วงส่ายหน้า “สบายดีทุกคน ไม่ได้เกิดเรื่องอะไร มีแต่เจ้า ถูกชายชั่วร้ายนั่นแบกกลับมา สีหน้าราวกับคนตาย ทำพวกเราตกใจแทบตาย”
เสวียนจียิ้มขื่น ครู่หนึ่งก็พลันรู้สึกมีอะไรผิดปกติ กล่าวอย่างแปลกใจว่า “หลิงหลงล่ะ ท่านพ่อข้าล่ะ ทำไมพวกเขาไม่อยู่ที่นี่”
สี่คนในห้องราวกับอึ้งไป จากนั้นถิงหนูถอนหายใจยาว กล่าวว่า “เสวียนจี เจ้าอย่าวู่วาม ข้าบอกเจ้า พอเจ้าไล่ตามออกไป อยู่ๆ วิหคเทพหงหล่วนก็ปรากฎเหนือเกาะฝูอวี้ ที่ขาพันเศษผ้าผืนหนึ่ง บนเศษผ้ามีอักษรโลหิตว่า เส้าหยางมีภัย พวกท่านพ่อเจ้าไม่กล้ารอช้า รีบเดินทางกลับเส้าหยางแล้ว ข้ากับจิ้งจอกม่วงเป็นห่วงเจ้า แต่ว่าแม้ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ดังนั้นจึงอยู่ที่นี่รอเจ้าฟื้น”
เสวียนจีตกใจยิ่ง รีบโดดลงจากเตียง รองเท้าไม่ทันได้สวม คว้ากระบี่เปิงอวี้จะวิ่งออกไปทันที จิ้งจอกม่วงรีบกอดนางไว้ ร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าอย่าใจร้อน! พวกเขาไปได้สักพักแล้ว! ในตอนนี้ไม่ต้องรีบ เจ้าสวมรองเท้าก่อน แต่งตัวก่อน กินอะไรก่อนนะ! สีหน้าเจ้าไม่ดีเลย!”
เสวียนจีไม่ตอบแต่หันกลับไปสวมรองเท้า รวบผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง ก่อนจะรีบผลักประตูจะออกไป พวกหลิ่วอี้ฮวนได้แต่ตามไป ผู้ใดจะรู้ว่าพอผลักประตูออกไป ตงฟางชิงฉีกับเจ้าหุบเขาหรงก็มายืนอยู่หน้าประตู หลายคนกำลังจ้องมองกันไปมา อึ้งอยู่เป็นนาน ตงฟางชิงฉีจึงกล่าวว่า “เสวียนจีน้อยรีบร้อนจนผมยุ่งไปหมดแล้ว เรื่องสำนักเส้าหยางตอนนี้ยังไม่รีบ เจ้าใจเย็นหน่อย”
เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “ไม่! ท่านอาตงฟาง ข้าต้องรีบกลับ! ข้า…ข้ารอไม่ได้!”
ตงฟางชิงฉีดันนางกลับเข้าห้อง น้ำเสียงอ่อนโยนหากก็เข้มงวด กล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องรีบ จัดการตนเองให้ดีก่อน ข้ากับเจ้าหุบเขาหรงไปเป็นเพื่อนเจ้า! ผมเผ้ายุ่งเหยิงนี่ใช้ได้ที่ไหน”
เสวียนจีไม่รู้ควรทำเช่นไร ได้แต่ออกไปกับจิ้งจอกม่วง ยกน้ำมาล้างหน้าหวีผม พอกลับมาก็ได้ยินเจ้าหุบเขาหรงเล่าว่า “…ก่อนหน้ารู้สึกชื่อนั้นคุ้นเคยมาก ตอนนี้นึกออกแล้ว หุบเขาเตี่ยนจิงเคยมีศิษย์หญิงใช้ชื่อนี้ พูดถึงนางก็เหมือนเป็นสตรีประหลาดอยู่…”
นางผลักประตูเข้าไปฟังเขาเล่าต่อว่า “นึกไปนึกมา เด็กนั่นน่าจะเป็นคนรู้จักของคนผู้นั้น ไม่อย่างนั้นทำไมจงใจนำมาใช้เป็นชื่อปลอมเข้าร่วมงาน หุบเขาเตี่ยนจิงมีศิษย์เช่นนี้ก็ทำให้บรรพจารย์เสียหน้ามาก”
ตงฟางชิงฉีกล่าวว่า “ศิษย์หญิงนั่นทำความผิดร้ายแรงอันใดหรือ”
เจ้าหุบเขาหรงส่ายหน้าถอนใจกล่าวว่า “นั่นก็เรื่องเก่านมนานแล้ว ศิษย์นั่นตายไปแล้ว ข้าก็แค่อยู่ๆ นึกขึ้นมาได้ ก็ได้แต่ทอดถอนใจ”
ในใจเสวียนจีกระตุกวูบ รีบถามว่า “เจ้าหุบเขาหรง ศิษย์หญิงที่ท่านกล่าวถึงก็คือเฮ่าเฟิ่ง?”
เจ้าหุบเขาหรงพยักหน้ากล่าวว่า “ใช่…นางแซ่อวี๋…บางทีอาจแซ่อี๋ ข้าจำไม่ค่อยได้แล้ว”
เสวียนจีพึมพำกล่าวว่า “แต่งานครั้งนี้เฮ่าเฟิ่งไม่ใช่ศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อ เป็นเจ้าตำหนักหลีเจ๋อ…หรือว่าระหว่างเขากับศิษย์หญิงนั่น…”
แซ่อวี๋…แซ่อวี๋ อวี๋…ซือเฟิ่งแซ่อวี่ รองเจ้าตำหนักกล่าวว่าท่านพ่อตัวจริงยังไม่กล่าวอันใด ท่านพ่อตัวปลอมมาอวดเบ่งอะไร…หรือว่า…หรือว่าเจ้าตำหนักใหญ่คือท่านพ่อซือเฟิ่ง หรือว่าท่านแม่ซือเฟิ่งก็คือศิษย์หญิงผู้นั้น?!
“เสวียนจีน้อยเสร็จหรือยัง มัวพึมพำอะไรน่ะ ไม่คิดกลับเส้าหยางแล้วหรือ” เสียงตงฟางชิงฉีเรียกสตินางคืนมา นางรีบกล่าวว่า “ไม่! พวกเรา…รีบไปกันเลย! ซือ…” นางหลุดเรียกซือเฟิ่งออกมา พลันนึกได้ว่าเขาไม่อยู่ที่นี่แล้ว ในใจก็พลันดับวูบ กัดริมฝีปาก รู้สึกเพียงแค่ในใจเจ็บปวดอย่างที่สุด