ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 47 เหตุปะทุ (9)
หลิงหลงกับจงหมิ่นเหยียนตกใจจนขวัญเสีย พลันเห็นหลิ่วอี้ฮวนแบกถิงหนูไว้บนบ่าลอยตัวลงตรงหน้า เขาเอ่ยเรียก “พวกเจ้ารีบเข้ามา!” บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ยังไม่ทันตั้งสติ ก็ถูกหลิ่วอี้ฮวนผลักทีเดียวก็เข้าไปสองคน
ถิงหนูกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “ตังคัง วาดอาณาเขตเวท” ที่เท้าเขามีสุกรน้อยราวสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งปรากฏขึ้น ร้องรับคำสั่ง พลันเปล่งแสงสีเขียววาดอาณาเขตเวทครอบบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์เอาไว้ หลิงหลงกับจงหมิ่นเหยียนเคยเห็นมาก่อน ไม่ได้แปลกใจอันใด แต่บรรดาศิษย์อื่นๆ เห็นการวาดอาณาเขตเวทกันครั้งแรกก็พากันตกใจสุดขีด ตวนหรุ่ยใช้นิ้วมือลองจิ้มดูราวกับเด็กน้อย จิ้มทะลุออกไปไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย นางที่เดิมน้ำตานองหน้าตอนนี้ก็ถึงกับยิ้มออก
ถิงหนูกล่าวอ่อนโยนว่า “ทุกคนอยู่ในอาณาเขตเวท อย่าออกไป อาณาเขตเวทจะปกป้องทุกคนไม่ให้บาดเจ็บได้”
กล่าวจบ เขาก็หันมองเสวียนจีแวบหนึ่ง นางกระโดดลงจากกระบี่ สะบัดกระบี่เปิงอวี้เล็กน้อย กล่าวว่า “ท่านพ่อ อาจารย์ อาจารย์ลุง พวกท่านไปอยู่ด้านหลังก่อน อย่าออกมา” ฉู่อิ่งหงร้อนใจกล่าวว่า “เสวียนจี!…เจ้าระวัง ไฟปีศาจนั่นร้ายกาจมาก!” เดิมนางก็คิดเรียกนางให้เข้ามาหลบ แต่พลันนึกถึงเรื่องที่เกาะฝูอวี้ขึ้นมาได้ วาจาคิดปกป้องก็กลืนลงท้องไปทันที
ขณะที่กล่าวกันอยู่นั้น มกรก็สยายปีกเพลิงออกไล่ต้อนมารปีศาจสี่ทิศแล้ว มารปีศาจพวกนี้รับมือง่ายกว่าพวกครุฑตำหนักหลีเจ๋อ เผาทีไม่ตายก็เจ็บหนัก ไม่นานมารปีศาจส่วนใหญ่ก็ถูกเขาเผาตายหมด มารปีศาจบางตัวลองเอาไฟปีศาจนกปี้ฟางขาเดียวมาเผาเขา ผู้ใดจะรู้ว่าไฟเขียวนั้นพอเผาร่างเขาก็แค่แสบคัน ทำอะไรไม่ได้แม้แต่ปลายเสื้อเขา มกรหัวเราะดังลั่นกล่าวว่า “พบบรรพชนปล่อยพลังไฟเข้าแล้วอย่างไร ไฟแม่ไก่เจ้าพวกนี้จิ๊บจ๊อยน่า!” ขณะพูดก็กระพือปีก ก็ไม่รู้นกปี้ฟางขาเดียวล้ำค่าถูกเขาเผาทิ้งไปเท่าไร
ฉู่เหล่ยเห็นมารปีศาจส่วนใหญ่ถูกมกรเผาตาย ที่เหลือก็กระจัดกระจาย ไม่อาจรวมตัวอาละวาดได้อีก จึงได้วางใจลง หันกลับไปมองใบหน้าภรรยาตนที่ฉายแววเป็นห่วงอยู่ตรงประตูเหล็กนิล ยิ้มให้นางเล็กน้อย กล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
เหอตันผิงน้ำตาริน กล่าวอ่อนโยนว่า “ข้าไม่เป็นไร…ทำท่านพี่เป็นห่วงแล้ว”
ฉู่เหล่ยส่ายหน้า ทุกคนเห็นเหอหยางข้อมือขาดเลือดไหลไม่หยุดก็พากันร้อนใจเข้าไปตรวจดู ฉู่อิ่งหงปกตินิ่งสุขุมมาก ยามนี้สองมืออดสั่นเทาไม่ได้ ค่อยๆ แก้ผ้ารัดข้อมือเขาออก เกรงว่าแตะโดนจะทำให้เขาเจ็บอีก
เหอหยางหน้าซีด เหงื่อท่วมใบหน้า แต่กลับฝืนยิ้มเล็กน้อย “…รีบใส่ยาเร็ว ไปตรวจดูรอบๆ ว่ามีมารปีศาจเหลืออยู่ไหมสำคัญกว่า”
ฉู่อิ่งหงสะอื้นกล่าวว่า “ท่านบาดเจ็บเช่นนี้ จะไปได้อย่างไร ตั้งใจให้ข้าต้องเจ็บปวดใจหรือ”
เหอหยางยกอีกมือลูบศีรษะนางเบาๆ นี่เป็นการกระทำประจำตอนพวกเขายังเป็นหนุ่มสาวกัน ตอนนี้ฉู่อิ่งหงเป็นสตรีอายุใกล้สี่สิบแล้ว เขายังเห็นนางเป็นเด็กน้อยที่เอาแต่ใจดังเช่นหลายปีก่อน กล่าวอ่อนโยนว่า “เรื่องใหญ่สำคัญ ขาดไปมือหนึ่งไม่เป็นไร ข้าไม่ใช่ยังเหลืออีกมือไว้จับกระบี่หรือ”
ฉู่อิ่งหงส่ายหน้าน้ำตาร่วงรดปกเสื้อ น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “หากจะขาดก็ควรเป็นมือข้า!”
“เด็กโง่” เหอหยางหัวเราะเบาๆ
เสวียนจีอึ้งมองพวกเขาสองคน ในใจพลันรู้สึกเวิ้งว้าง เหตุใดอาจารย์บอกว่าควรเป็นมือตนเองขาด ทำไมกัน สิ่งที่พวกเขาใส่ใจย่อมต้องไม่ใช่ตนเองเสมอ หากเป็นอีกฝ่าย? นี่คือสิ่งที่เรียกว่ารักกัน? เห็นอีกฝ่ายสำคัญยิ่งกว่าตนเอง เช่นนี้หรือ
จิ้งจอกม่วงเห็นนางนิ่งไม่ขยับ ก็เข้าไปใกล้กล่าวเบาๆ ว่า “หากเป็นข้า ก็ยอมให้คนที่ตายเป็นข้า ขอเพียงอู๋จือฉีมีชีวิตที่ดี เสวียนจี เจ้ายังเด็ก ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้กระมัง”
นางส่ายหน้าช้าๆ รู้สึกเพียงแค่ในใจสับสนจนพูดไม่ออก
ฉู่เหล่ยเห็นทุกคนบาดเจ็บไม่น้อย เกรงว่าไม่อาจออกสำรวจพวกมารปีศาจได้ในตอนนี้ จึงกล่าวว่า “ตันผิง พวกเจ้าอยู่ที่นี่ก่อน อย่าเพิ่งออกไป ใส่ยาให้พวกบาดเจ็บก่อน”
เหอตันผิงตกใจ “ท่านพี่ล่ะ? ท่านเองก็บาดเจ็บ!”
ฉู่เหล่ยส่ายหน้า กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไปดูว่ายังมีพวกชั่วหลงเหลืออยู่อีกไหม พวกเจ้าอยู่ในนี้ดีๆ”
เหอตันผิงร้อนใจกล่าวว่า “ไม่! ท่านอย่าไป! อันตรายมาก! ทุกคน…ล้วนพักรักษาตัวอยู่ที่ทั้งหมด!ผู้ใดก็ห้ามออกไป!”
ฉู่เหล่ยถอนใจกล่าวว่า “ข้าเป็นเจ้าสำนัก นี่คือสิ่งที่ข้าควรทำ ตันผิง หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
“ท่านพี่!” เหอตันผิงร้องเรียกขึ้นเสียงหนึ่ง ฉู่เหล่ยไม่ตอบ หันหน้าจะเดินออกไป พลันได้ยินเสวียนจี กล่าวว่า “ข้าไปสำรวจเอง ข้าไม่ได้บาดเจ็บ ท่านพ่ออย่าไป”
ฉู่เหล่ยอึ้งไป กล่าวอย่างแปลกใจว่า “เจ้า…เจ้าไหวหรือ”
ในใจเสวียนจีสับสนมาก ชักกระบี่เปิงอวี้ออกมากระชับแน่นในมือ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไหว!ข้า…จะต้องหาอะไรทำสักหน่อยเพื่อให้ข้าได้สงบลงบ้าง…” หากต้องยืนอยู่ตรงนี้ต่อไป นางรู้สึกตนเองอาจทำเรื่องน่ากลัวออกมาได้ ในใจราวกับเก็บซ่อนคลื่นทะเลไว้มากมาย แต่ละคลื่นกระแทกระลอกแล้วระลอกเล่า ราวกับมีเสียงมากมายพูดกันไม่หยุด ยังราวกับกำลังจะตระหนักรู้ถึงอะไรสักอย่าง
ใจนางสับสนมาก ไม่รอฉู่เหล่ยรับปากก็เหินกระบี่ขึ้นไปทันที พริบตาก็หายไป
“อันตรายอย่างนั้น ทำไมท่านให้นางไปคนเดียว! เจ้าลูกคนนี้…มีอะไรในใจกัน” เหอตันผิงเป็นแม่วินาทีแรกก็สัมผัสถึงความปกติของนางได้ทันที อดถามฉู่เหล่ยไม่ได้ “งานชุมนุมปักบุปผาเป็นอย่างไรบ้าง นางแพ้มาเลยอารมณ์ไม่ดีหรือ”
ฉู่เหล่ยเองก็ไม่เข้าใจมากนัก ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ นางชนะ…งานชุมนุมปักบุปผาเกิดเรื่องมากมายที่พวกเจ้ายังไม่รู้…”
เขาเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนเกาะฝูอวี้อย่างกระจ่างชัดเจน ทุกคนฟังจบก็ล้วนเงียบกริบ เป็นนานกว่าที่เหอตันผิงจะกล่าวขึ้นแผ่วเบาว่า “กล่าวเช่นนี้ ซือเฟิ่งนั่นก็คือ…เขาถึงกับปิดบังเสวียนจีมาตลอด?” ฉู่เหล่ยถอนหายใจกล่าวว่า “ก็ไม่อาจตำหนิเขา เรื่องความรู้สึกคงไม่อาจยอมรับได้ในทันที เสวียนจีเป็นเช่นนี้ก็คงเป็นเพราะเขา…”
เหอตันผิงกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เขาเป็นปีศาจ ลูกสาวเราจะอยู่กับเขาได้อย่างไร”
ฉู่เหล่ยกล่าวว่า “ปีศาจก็ไม่เห็นเป็นไร ตามความเห็นข้า ที่มาของเสวียนจีเองก็แปลกไม่น้อย เจ้ายังจำตอนนางยังเด็กได้ไหม นางไม่เป็นอะไรสักอย่าง เวลาสั้นๆ แค่สี่ปี นางถึงกับร้ายกาจได้เช่นนี้ เก่งเกินศิษย์ทั่วไป คนเช่นนาง เจ้าและข้าต่างไม่เคยเห็นมาก่อน ในวันนั้น ก่อนเจ้าคลอดนาง ข้าฝันบางอย่าง ตอนนี้คิดแล้ว หรือว่าเป็นลางบอกเหตุล่วงหน้า”
สีหน้าเหอตันผิงแปรเปลี่ยน ร้อนใจกล่าวว่า “ท่านหมายความว่าอย่างไร! เสวียนจีจะเป็นปีศาจได้อย่างไร!”
“ข้าไม่ได้ว่านางเป็นปีศาจ ความหมายข้าคือ…” ฉู่เหล่ยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “บางทีอาจเป็นดาวเทพสวรรค์ลงมาผ่านเคราะห์ บางทีอาจเป็นเทพเซียนใด…อย่างไรต้องไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ตอนนี้นางร้ายกาจมากว่าเจ้าและข้าหลายเท่า…ไม่สิ หลายสิบเท่า อาจจะหลายร้อยเท่า…”
เหอตันผิงมองเขา ขณะที่พูดไม่ได้มีน้ำเสียงดีใจหรือชื่นชมแต่อย่างใด กลับหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับมีเรื่องในใจหนักหนาสาหัส กล่าวว่า “ท่านนี่จริงๆ เลย…บุตรสาวร้ายกาจขึ้นมา ทำไมไม่ดีใจ สำนักเส้าหยางบำเพ็ญวิถีเซียนมาตลอด ในที่สุดตอนนี้ก็มีเทพเซียนจริงๆ ยังเป็นถึงบุตรสาวเจ้าสำนักฉู่ นี่คือวาสนา”
ฉู่เหล่ยกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “กลัวก็แต่นางเป็นเซียนจริง…ข้าว่าช่วงนี้นางผิดปกติมาก พละกำลังราวกับกำลังจะระงับไม่อยู่ อาจเป็นลางบอกเหตุเตือนก่อนจิตตื่น พอจิตตื่นขึ้นมา นางอาจไม่ใช่บุตรสาวเจ้าและข้าแล้ว ตันผิง นางจะไม่ใช่เสวียนจีคนเดิมอีกต่อไป”
ในที่สุดเหอตันผิงก็พูดไม่ออก บุตรสาวคนเล็กที่เอาแต่เกียจคร้าน วันๆ เอาแต่ทำให้บิดามารดาโมโห จะไม่มีอีกแล้วจริงหรือ ยามนี้นางจึงได้เข้าใจความกังวลของฉู่เหล่ยแล้ว นางยอมให้ชั่วชีวิตเสวียนจีเกียจคร้านต่อไป ก็อย่าได้กลายเป็นเซียนหญิงอะไรนั่นเลย
“รอให้จบเรื่องพวกนี้ก่อน ข้าจะไปคุยกับนาง” เหอตันผิงก็ยังไม่รู้ว่าจะไปคุยอะไรกับนางดี ในใจนางเองก็ไม่รู้เช่นกัน
******
หนังศีรษะหลิงหลงถลอกออกไปเล็กน้อย ไม่ใช่บาดแผลใหญ่ แต่เลือดออกมาก เมื่อครู่ตอนที่มารปีศาจกำลังโจมตี นางยังทนได้ ตอนนี้พอเรื่องสงบ นางก็เข่าอ่อนยวบ ขดตัวอยู่ในอ้อมกอดจงหมิ่นเหยียนเอาแต่ส่งเสียงอ้อนร้องเจ็บปวด
จงหมิ่นเหยียนยิ้มกล่าวว่า “โอ๋ๆ…เด็กดี ข้าดูหน่อย จะรีบใส่ยาให้เจ้าเลย เดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้วนะ”
หลิงหลงยู่ปากกล่าวว่า “หนังศีรษะหายไป ตรงส่วนนั้นจะหัวล้านไหมนะ เจ้าหก ข้าไม่เอานะ! น่าเกลียดตายเลย!”
จงหมิ่นเหยียนเลิกผมหนาของนางออกตรวจดูบาดแผลอย่างระมัดระวัง บาดแผลเล็กแค่หัวแม่มือ แต่ก็ไม่ได้เล็กนัก ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจหัวล้านตรงส่วนนั้นจริงๆ หลิงหลงแต่ไรมาก็รักสวยรักงาม เขาไม่อยากให้นางเสียใจเลยจริงๆ จึงได้ปลอบใจว่า “แผลเล็กเท่าเล็บมือเอง ผมปิดก็ไม่เห็นแล้ว จะว่าไป เจ้าหัวล้านจริงข้าก็ยังชอบเจ้า”
“เจ้าสิหัวล้าน!” หลิงหลงวาจาสะดิ้งออเซาะ จากนั้นก็พลันคิดถึงช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายที่ทั้งสองกุมมือกันแน่น ในใจนางพลันรู้สึกหวานล้ำยิ่ง อาศัยจังหวะที่จงหมิ่นเหยียนใส่ยาให้นาง นางกล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าหก หลังจบเรื่องนี้ เจ้า…เจ้าจะไป…เอ่อ…กับท่านพ่อ……” นางหน้าบาง วาจาต่อมาถึงกับพูดไม่ออก อัดอั้นจนหน้าแดง
จงหมิ่นเหยียนอึ้งไป ก่อนจะเริ่มเข้าใจในทันที ในใจเต้นโครมคราม เป็นนานจึงได้กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้า…เจ้า หากเจ้าไม่โกรธ คืนนี้ข้าก็จะไปสู่ขอเจ้ากับท่านเลย”
“ผู้ใดจะแต่งกับเจ้า!” หลิงหลงถูกเขาพูดโดนใจก็อายม้วนขึ้นมาทันที
จงหมิ่นเหยียนยิ้มกล่าวว่า “เจ้าไม่แต่งกับข้า ยังแต่งกับผู้ใด มีแต่ข้าที่ทนรับนิสัยคุณหนูของเจ้าได้”
หลิงหลงออกอาการเอาแต่ใจยิ่งขึ้น ผลักเขาเต็มแรง ทำโมโหกล่าวว่า “ผู้ใดให้เจ้ามาทนรับกัน! เจ้าจะไปไหนก็ไปเลย!”
จงหมิ่นเหยียนร้อง “โอยโย” ขึ้นเสียงหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า “อย่าผลักๆ ยาหกหมดแล้ว! ได้ๆ ไม่ใช่คุณหนูใหญ่ เป็นแม่นางแสนดี”
ทั้งสองมีเรื่องถกเถียงกันเล็กๆ ก็ทำให้ในใจรู้สึกอบอุ่นมีความสุข จงหมิ่นเหยียนใส่ยาให้นาง จากนั้นก็กุมมือนางไว้กล่าวเบาๆ ว่า “หลิงหลง พวกเราจะไม่แยกจากไปตลอดชีวิต” หลิงหลง “อืม” ขึ้นเสียงหนึ่ง ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “เสวียนจีนาง…”
จงหมิ่นเหยียนได้ยินนางเอ่ยถึงชื่อนี้ออกมาก็อดสะดุ้งไม่ได้ ไม่รู้ทำไม ในใจลึกๆ รู้สึกเวิ้งว้างอยู่บ้าง หลิงหลงกล่าวต่อว่า “เสวียนจีต้องเสียใจมากแน่ ซือเฟิ่งถูกคนตำหนักหลีเจ๋อชิงตัวไป นางไม่ได้ตามไป เมื่อครู่ข้าเห็นนางสีหน้าเปลี่ยนไป…เจ้าว่า พวกเราก็คิดหาทางช่วยนางชิงตัวซือเฟิ่งกลับมาให้นางดีไหม”
จงหมิ่นเหยียนอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “…ได้ เสร็จเรื่องที่นี่แล้ว พวกเราไปเขาปู้โจวซานด้วยกัน ทำลายรังมารปีศาจกลุ่มนั้น ช่วยซือเฟิ่งออกมา”
หลิงหลงพยักหน้า พลันหน้านิ่วคิ้วขมวดกล่าวเบาๆ ว่า “แต่เขาก็เป็นปีศาจ…ข้าเกรงว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะเสียใจ…เอ๋ จะไปสนใจคนอื่นทำไม! ผู้ใดกำหนดว่ามนุษย์กับปีศาจไม่อาจอยู่ร่วมกัน! หากท่านพ่อท่านแม่คัดค้าน พวกเราก็ร่วมใจเป็นหนึ่ง พาเสวียนจีกับซือเฟิ่งไปจากที่นี่!”
ใจจงหมิ่นเหยียนไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หากก็รับคำขึ้นเสียงหนึ่ง กำลังคิดเปลี่ยนบทสนทนา อย่าเอาแต่เอ่ยถึงเสวียนจี พลันด้านหลังเหมือนมีอะไรปาโดนเขาทีหนึ่ง เขารีบหันกลับไป เห็นเพียงที่พื้นมีหินก้อนเล็กๆ กลิ้งอยู่ เขาคิดว่าเศษหินด้านบนร่วงลงมา ไม่ได้สนใจ หันไปคุยกับหลิงหลงต่อ ผู้ใดจะรู้ว่ามีหินอีกก้อนปามาอีก
เขาหันกลับไปมองอย่างสงสัย พลันเห็นหลังกิ่งไม้เหนือก้อนหินมีคนแอบอยู่ เอาแต่จ้องมองเขา คนผู้นั้นสวมชุดครามพร้อมหน้ากากอสุรา เป็นรั่วอวี้ที่เขาไม่ได้พบนานแล้ว!
จงหมิ่นเหยียนสะดุ้งในใจ รั่วอวี้กวักมือเรียกเขา จากนั้นกระโดดออกไป เขารีบลุกขึ้นจะไล่ตาม หลิงหลงกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เจ้าไปไหน” เขาฝืนกล่าวว่า “ข้า…ราวกับกินอะไรผิดสำแดง ปวดท้องมาก” หลิงหลง “อุ๊บ” ออกมาเสียงหนึ่ง หน้าแดงกล่าวว่า “รีบไปสิ! อย่าไปไกลนะ ข้าเป็นห่วง”
จงหมิ่นเหยียนพยักหน้า กระโดดขึ้นผาหินไป พริบตาก็มองไม่เห็นอีก หลิงหลงเห็นเขาไปอย่างรีบร้อนเช่นนี้ ก็อดรู้สึกขำไม่ได้ ดูท่าเขาคงรีบร้อนมาก