ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 49 เหตุปะทุ (11)
ฉู่เหล่ยพูดคุยกับเหอตันผิงพักหนึ่ง หันกลับไปเห็นพวกหลิ่วอี้ฮวนกำลังทำแผลให้พวกศิษย์อายุน้อย หลิงหลงอยู่คนเดียว เอาแต่ลูบแผลบนศีรษะไม่หยุด เหอตันผิงเดินลอดออกจากประตูเหล็กนิลไปโอบกอดนางไว้ กล่าวอ่อนโยนว่า “ให้แม่ดูหน่อย…อืม บาดแผลไม่มาก อย่าไปลูบมันมาก”
หลิงหลงหน้าบึ้งกล่าวว่า “ท่านแม่ ข้าจะหัวล้านไหม นั่นมันน่าเกลียดตายเลยนะ!”
เหอตันผิงทั้งขำทั้งฉุน กล่าวว่า “เหลวไหล! แผลเล็กๆ จะหัวล้านได้อย่างไร! ทำไมเจ้ามาอยู่นี่คนเดียว หมิ่นเหยียนล่ะ”
หลิงหลงยิ้มกล่าวว่า “เขาน่ะหรือ ท้องเสียไปแล้ว…ก็ไม่รู้กินอะไรเข้าไป ถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา”
เหอตันผิงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “เด็กนี่ ยังคงทำอะไรไม่รู้เรื่องรู้ราวเหมือนเดิม…หลิงหลง แม่ได้ยินท่านพ่อเจ้าเล่าแล้ว เจ้ากับหมิ่นเหยียนไม่อยากเป็นศิษย์เส้าหยางแล้ว?”
หลิงหลงสีหน้าขรึมลง เป็นนานก่อนจะพยักหน้า “อืม…อย่างไรท่านพ่อก็จะไล่เจ้าหกออกแล้ว ข้าไม่อาจจากเขาไปได้ เขาก็จากข้าไปไม่ได้ ไม่ว่าเขาไปไหน ข้าก็จะตามไปด้วย ท่านแม่ ข้าตัดสินใจแล้ว ท่านแม่อย่าได้กล่อมข้า”
เหอตันผิงกล่าวอ่อนโยนว่า “แต่เล็กเจ้าก็มักจะเอาแต่ใจจนถึงที่สุดเสมอ เจ้าตามเขาไปอย่างเอาแต่ใจ คนอื่นเขาจริงใจกับเจ้าหรือเปล่า เจ้าแน่ใจหรือ”
หลิงหลงร้อนใจกล่าวว่า “ท่านแม่! ทำไมท่านกล่าวเช่นนี้! เจ้าหกเป็นคนอย่างไร หรือว่าท่านแม่ไม่กระจ่าง”
เหอตันผิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนใจกล่าวว่า “เอาละ ถือว่าแม่พูดผิดไป เช่นนั้นเจ้าคิดอีกที พวกเจ้าสองคนยังหนุ่มยังสาว นอกจากบำเพ็ญเซียนแล้วเก่งอะไรอีก จากสำนักเส้าหยางไป จะดำรงชีวิตอย่างไร หลิงหลง เจ้าเป็นเด็กผู้หญิงอายุแค่นี้ก็ย่อมชื่นชอบภาพฝันงดงามพวกนั้น แม่เข้าใจ แม่เองก็เคยผ่านช่วงเวลานี้มา แต่คนเรามีชีวิตอยู่ก็มักต้องการที่พักพิงมั่นคง มีเรื่องก็ไปจัดการ พวกเจ้าวู่วามลงจากเขาไป หรือคิดจริงๆ ว่าชีวิตนี้จะร่อนเร่พเนจร”
หลิงหลงไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้เลย แต่นิสัยนางเดิมก็เป็นคนคิดอะไรตรงไปตรงมา รายละเอียดเรื่องพวกนี้ไม่ค่อยได้คิดถึงมากนัก จึงกล่าวทันทีว่า “เรื่องวันหน้าก็ค่อยพูดกันวันหน้า! ไม่อาจเอามาคิดในวันนี้ ขอแค่วันนี้มีความสุขก็พอแล้วไม่ใช่หรือ ท่านแม่ชอบชีวิตมั่นคง แต่บางคนก็ชอบมีชีวิตทุกวันที่ไม่เหมือนกัน ในเมื่อข้าตัดสินใจอยู่ร่วมกับเจ้าหกแล้ว ไม่ว่าวันหน้าจะลำบากเพียงใด ข้าก็ยินยอมพร้อมใจ”
เหอตันผิงตกใจเล็กน้อย จ้องมองใบหน้านาง นี่คือหลิงหลงหรือ คุณหนูเอาแต่ใจวู่วามคนนั้นหรือ นางมีความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวเช่นนี้ นางเป็นแม่ก็ควรดีใจหรือเสียใจกันแน่ นางพลันคิดถึงวาจาฉู่เหล่ยว่าเด็กๆ โตแล้ว มีความคิดตนเอง พวกเราแก่แล้วไม่อาจทำให้คนเขารังเกียจ
ใช่แล้ว เด็กน้อยที่เคยร้องไห้กระจองอแงในอ้อมกอดก่อนหน้า พริบตาก็โตเป็นสาวน้อยงดงงามอรชรแล้ว พวกนางล้วนโตแล้ว มีความคิดของตนเอง และมีสิ่งที่ตนเองต้องการไขว่คว้า เหอตันผิงลูบผมนาง กล่าวอ่อนโยนว่า “ดีมาก เช่นนั้นแม่ก็จะสนับสนุนเจ้า แต่มีเรื่องหนึ่งเจ้าต้องฟังแม่ ก่อนจากสำนักเส้าหยางไปกับเขา ต้องแต่งงานให้เรียบร้อยก่อน”
หลิงหลงหน้าแดง เสียงสั่นอึกอักกล่าวว่า “แต่ง…แต่งงานอะไรเล่า…ท่านแม่ทำไมต้องพูดเสียงดังขนาดนั้นด้วย…”
เหอตันผิงหัวเราะขึ้นเบาๆ ในใจพลันยินดีปนปวดใจ ยินดีที่หลิงหลงเป็นฝั่งเป็นฝา ปวดใจเรื่องเสวียนจีบุตรสาวคนเล็ก อวี่ซือเฟิ่งเป็นปีศาจ นางกับฉู่เหล่ยแม้จะเปิดใจอย่างไร ก็ไม่อาจยอมมอบอีกครึ่งชีวิตของบุตรสาวให้อยู่ในมือปีศาจได้ แต่ยามนี้ที่ทำให้นางกังวลที่สุดไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็นเสวียนจีเอง วาจาฉู่เหล่ยวิ่งวนอยู่ในใจนางจนไม่อาจลบไปจากใจ นางไม่หวังว่าเสวียนจีจะเป็นเซียนอะไร เสวียนจีเป็นบุตรสาวนาง แม้ว่านางเกียจคร้าน ไร้ประโยชน์ จะไม่เอาไหนอย่างไรก็ดีกว่ากลายเป็นเซียนสูงส่งที่แปลกหน้า
นางว่าจะตามเสวียนจีมาคุย แต่จะคุยอะไรเล่า นางเองก็ไม่รู้ หรือว่าเอ่ยปากถามนาง เจ้าใช่ดาวเทพสวรรค์ลงมาผ่านเคราะห์กรรมใช่หรือไม่ สำหรับเสวียนจี แต่ไรมานางได้แต่ให้ความรัก แต่จริงๆ แล้วก็ไม่รู้จะอยู่ร่วมกับเสวียนจีอย่างไร แต่เล็กก็เป็นเช่นนี้ หลิงหลงมักจะบอกความในใจทั้งหมดกับนาง แม่ลูกพูดจาสนทนาสนิทสนมใกล้ชิด แต่เสวียนจีแต่ไรมาไม่เป็นเช่นนี้ เรื่องทั้งหมดของนางล้วนเอาแต่เก็บไว้ในใจ ไม่กล่าวสักคำ
ดูท่า ชะตาพวกเขาสองสามีภรรยาคงกำหนดให้ต้องเป็นกังวลกับบุตรสาวคนเล็กไปเช่นนี้แล้ว
ฉู่เหล่ยมองพวกหลิ่วอี้ฮวนช่วยทำแผลใส่ยาให้บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ก็เข้าไปช่วยพลางเอ่ยขอบคุณถิงหนูกับหลิ่วอี้ฮวน “สำนักเส้าหยางประสบภัย ทั้งสองท่านให้ความช่วยเหลือ ข้าซาบซึ้งใจยิ่ง”
ถิงหนูตอบกลับตามมารยาทด้วยความสุภาพ หลิ่วอี้ฮวนกลับยิ้มกล่าวว่า “เจ้าสำนักฉู่เกรงใจไปแล้ว! ใช่แล้ว เจ้าเกาะตงฟางกับเจ้าหุบเขาหรงฝากวาจาให้ข้ามาบอกท่าน พวกเขาเดิมว่าจะมาช่วยสำนักเส้าหยางพร้อมกับเสวียนจี แต่อยู่ๆ บนเกาะมีเรื่องจนไม่อาจละทิ้งมาได้ รอให้จัดการเรื่องราวเรียบร้อย เขาสองคนจะรีบมา”
ฉู่เหล่ยพยักหน้า ถอนใจกล่าวว่า “จริงๆ แล้ว…ก็ไม่กล้ารบกวนพวกเขาสองคน”
หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะดัง “อย่างไรกัน พวกท่านบอกว่าดังพี่น้องท้องเดียวนี่นะ…จะว่าไป นี่ก็ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวสำนักเส้าหยาง เรื่องโซ่หมุดทะเลเป็นเรื่องสำคัญฟ้าดิน ผู้มีความสามารถควรลงแรงช่วยเหลือเป็นหลัก”
ฉู่เหล่ยรู้ว่าเขามีดวงตาสวรรค์ รู้เรื่องที่คนทั่วไปไม่รู้ ในเมื่อกล่าวเช่นนี้ คิดว่าคงรู้เรื่องอะไรมากกว่านี้ อดขอคำแนะนำไม่ได้ หลิ่วอี้ฮวนเป็นคนที่รู้อะไรหน่อยก็ขยายเสียใหญ่โตเหมือนมีสีสามส่วนก็อยากเปิดร้านย้อมผ้าอะไรพวกนั้น พอถูกคนขอคำแนะนำก็รู้สึกมีหน้าจนหน้าเชิดแทบชี้ฟ้า ลากเขาไปเล่าจนน้ำลายแตกฟอง ตอนนั้นตนเองไปขโมยดวงตาสวรรค์ได้ยินความลับหนึ่ง
ที่แท้ตอนนั้นบุตรสาวเขาตายไป นึกเสียใจภายหลังอย่างที่สุด คิดแต่จะดูว่านางไปเกิดที่ไหน จะได้ไปทำหน้าที่บิดาของตนเองเสียใหม่ ต่อมาได้ยินคนว่าเบื้องบนมีของวิเศษชื่อดวงตาสวรรค์ หากมีมันก็มองเห็นทุกสิ่งได้ สรรพสิ่งใต้หล้าไปเกิดเวียนว่าย เหตุต้นผลกรรมพริบตาก็กระจ่าง เขาจึงคิดครอบครองทันที
พูดไปแล้วก็แปลก ตอนนั้นเขามีความกล้าไม่กลัวตาย มาถึงตอนนี้ หากให้เขาแล่นไปแดนสวรรค์ขโมยอะไรอีก ให้ตายก็ไม่กล้าไปแล้ว แต่ตอนนั้นเขามีความดึงดันแอบขึ้นเขาคุนหลุน ฉวยโอกาสฟ้าแผ่แสงปล่อยบันไดลงมา จึงได้ปีนขึ้นไป
บางทีโชคชะตาอาจลิขิตให้เขาได้ดวงตาสวรรค์ แดนสวรรค์ใหญ่เพียงนั้น เขาวิ่งมั่วไปมา ก็ไม่รู้ได้เจอกับเทพเซียนเท่าไร ผู้ใดก็ไม่สนใจถามหรือไล่จับเขา แต่ละท่านล้วนทำเหมือนไม่เห็น สุดท้ายเขาใจกล้าขึ้นมา ถึงกับคลำทางไปจนเจอดวงตาสวรรค์ที่หอเล็กแห่งหนึ่ง ได้ยินคนบอกว่าดวงตาสวรรค์หากได้ลิ้มโลหิตก็จะแนบประสาน เขากลัวว่านำติดตัวไปจะถูกพบเข้า จึงได้กรีดหน้าผากตนเป็นแผลหนึ่ง ใส่ดวงตาสวรรค์เข้าไป
เดิมยังคิดว่าอาจมีฟ้าผ่าฟ้าแลบ เหตุสะเทือนฟ้าดิน ผู้ใดจะรู้ว่าดวงตาสวรรค์ใส่เข้าไปในหน้าผากแล้วก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอันใดอีก แตะถูกก็เฉยๆ ไร้ความรู้สึก เขาไม่กล้ารอช้า กุมหน้าผากจากมาทันที ผู้ใดจะรู้ว่าพอใส่ดวงตาสวรรค์เข้าไปที่หน้าผากแล้ว ดวงตาและหูก่อนหน้าของเขาล้วนอ่อนไหวมาก นอกหอเล็กไม่รู้ที่ออกไปไกลเท่าไร มีสองเซียนคุยกัน เขาได้ยินกระจ่างชัดเจน
“เจ้าสำนักฉู่ ตอนนั้นข้าได้ฟังสองเซียนคุยกันจึงได้เข้าใจ อู๋จือฉีถูกขังในแดนปรภพย่อมมีเหตุของเขา หากมีคนคิดทำลายโซ่หมุดทะเลช่วยเขาออกมา ก็ย่อมละเมิดวิถีฟ้า เบื้องบนย่อมส่งเทพลงมาลงโทษ แม้ข้าไม่รู้ว่าการลงโทษของบรรดาเทพจะรุนแรงอย่างไร แต่วันนั้นมารปีศาจอันดับหนึ่งใต้หล้าถูกพวกเขาจองจำไว้ในแดนปรภพ คิดว่ามนุษย์ธรรมดากับมารปีศาจธรรมดาย่อมไม่ควรข้องเกี่ยว ตำหนักหลีเจ๋อก็ดี เขาปู้โจวซานก็ดี เรื่องที่พวกเขาทำนั้นละเมิดวิถีฟ้า ช้าเร็วย่อมทำให้เทพเซียนลงมาจัดการ ดังนั้นท่านวางใจได้ แม้พวกท่านจัดการมารปีศาจเหล่านั้นไม่ได้ วันหน้าราชันสวรรค์ก็ย่อมช่วยพวกท่านจัดการเอง”
ฉู่เหล่ยบำเพ็ญวิถีเซียนมาหลายปี เป็นครั้งแรกที่รู้ว่ามีคนขึ้นแดนสวรรค์ได้ ความดีใจทำให้ไม่กลุ้มใจเรื่องโซ่หมุดทะเลแล้ว ลากเขามาซักถามเรื่องแดนสวรรค์ไม่หยุด ภาพเป็นเช่นไร เซียนใช่ลงมายังแดนมนุษย์บ้างใช่หรือไม่
หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะแหะๆ กล่าวว่า “เจ้าสำนักฉู่อย่าตำหนิที่ข้าพูดตรง บำเพ็ญวิถีเซียนของมนุษย์ธรรมดาไม่อาจบำเพ็ญสำเร็จ แต่โบราณมาผู้สำเร็จผลน้อยยิ่งกว่าน้อย นับประสาอันใดกับเรื่องมาถึงตอนนี้ ก็เดินสู่ทางอ้อมแล้ว สรรพสิ่งเวียนว่ายตามเหตุกรรม ไม่เช่นนั้นไยมีสิ่งที่ข่มกัน อย่าได้คิดว่าการสังหารมารปีศาจยิ่งมาก ก็นับว่าเป็นการบำเพ็ญเซียนยิ่งมากเด็ดขาด”
ฉู่เหล่ยบำเพ็ญวิถีเซียนหลายสิบปี ความสงสัยเช่นนี้ใช่ว่าไม่เคยมี แต่บรรพจารย์แต่ละรุ่นก็สั่งสอนมาเช่นนี้ เขาเองก็ได้แต่ปฏิบัติตามเคร่งครัด เขากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “สำเร็จผลเป็นเซียนย่อมเป็นความหวังสูงสุดของเราผู้บำเพ็ญเซียน แต่เส้นทางคุณธรรมของข้าก็เพื่อรักษาความปลอดภัยให้ปวงชนเป็นหน้าที่ วาจาท่านหลิ่ว ข้าเข้าใจแล้ว แต่ว่าแม้วิธีนี้ไม่ใช่ทางตรงแห่งการบำเพ็ญเซียน พวกข้าก็คงได้แต่ปกป้องความสงบสุขโลกนี้แทน เป็นคนก็ต้องถามใจตนได้อย่างไม่ละอาย”
หลิ่วอี้ฮวนได้แต่ยิ้ม เป็นนานจึงกล่าวว่า “หากถามใจตนได้อย่างไม่ละอายจริง เช่นนั้นก็ดีมาก ดีมากๆ เหอๆ…”
ฉู่เหล่ยยังคงซักถามถึงเรื่องข้างบนต่อ พลันได้ยินถิงหนูร้อนใจกล่าวว่า “มีกลิ่นอายปีศาจ! กลิ่นอายปีศาจมารวมตัวกันแล้ว! มารปีศาจมากมาย!”
ฉู่เหล่ยพุ่งออกไป พลังวัตรเขาหนักแน่น รู้สึกได้ถึงคลื่นไม่ปกติสายหนึ่งมากับสายลม ท้องฟ้าเหนือศีรษะราวกับเริ่มมืด เขาจึงตะโกนดังขึ้นทันทีว่า “ทุกคนเข้าถ้ำแสงฉานไปเดี๋ยวนี้! อย่าออกมา!” บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไร มองเขาอึ้งไป ฉู่เหล่ยหน้านิ่วกล่าวว่า “รีบไปเร็ว!” เสียงเฉียบขาดมาก เมื่อก่อนเขาเห็นศิษย์ไม่เอาไหนก็มักใช้น้ำเสียงเช่นนี้ ทำเอาบรรดาศิษย์ตกใจรีบพยักหน้ารับคำ ไม่กล้าส่งเสียงค้านสักคำ หันหลังลอดเข้าช่องประตูเหล็กนิลเข้าถ้ำแสงฉานไปทันที
เหอตันผิงกังวลกล่าวว่า “ท่านพี่ เกิดอะไรอีกหรือ”
ฉู่เหล่ยไม่กล่าวอันใด เพียงเหินกระบี่ขึ้นไปมองไปยังเงาดำที่กดทับเส้าหยางอยู่ในมุมสูง มีมารปีศาจชุดดำมากมายนับไม่ถ้วน เขาตกใจยิ่ง พริบตาก็เข้าใจว่ามารปีศาจที่มาถ้ำแสงฉานก่อนหน้าพวกนั้นเพียงแค่แนวหน้า กองกำลังแท้จริงตามมาทีหลัง มารปีศาจที่มาย่อมไม่เป็นรองจำนวนคนทั้งเส้าหยาง ถึงกับอาจจะยังมากยิ่งกว่า อูถงนั่นทุ่มเทกำลังทั้งหมดมาแก้แค้นดังคาด!
เขาเห็นมารปีศาจพวกนั้นลอยอยู่กลางอากาศราวกับกลุ่มเมฆดำก้อนใหญ่มาก เหินตรงมายังยอดเขาอรุณ เขาตกใจจนแทบร่วงจากกระบี่ ฉู่เหล่ยมีชีวิตมาค่อนชีวิต เห็นฝูงชนมากมายมานับไม่ถ้วน แต่ไรมาไม่เคยมีครั้งไหนที่จะทำให้เขาต้องหวาดกลัวเช่นครั้งนี้
เขาต้องทำเช่นไร บุกฝ่าออกไปรับมือจัดการรั้งมารปีศาจมากมายไว้พักหนึ่งคนเดียว หรือว่ากลับไปตายพร้อมกันกับภรรยาและสหาย ใช่แล้ว ยามนี้เขาไม่คิดว่าจะมีชีวิตรอด ยามต้องเผชิญกับมารปีศาจนับพันหมื่น ยังจะมีทางรอดอีกหรือ
ความคิดในใจเขาแวบขึ้นมาเช่นนี้ วินาทีถัดมาเขาก็ยิ่งฮึกเหิมจนเลือดในกายเดือดปุด ชักกระบี่พุ่งเข้าไป ฉู่เหล่ยย่อมไม่เป็นคนขี้ขลาดที่เอาแต่หลบซ่อนอยู่ด้านหลัง! อูถงต้องการทำลายทุกคนในสำนักเส้าหยางให้ราบ เหลือเขามีชีวิตคนเดียว ไหนเลยเขาจะยอมให้อูถงได้สมหวัง?! ฉู่เหล่ยแม้ตายก็ต้องตายพร้อมกับการสังหารมารปีศาจ จะไม่ยอมปลิดชีพตนเองเด็ดขาด!
เขาเหยียบกระบี่เหินทะลุเมฆ ราวกับธนูที่ยิงออกไป เข้าปะทะมารปีศาจราวเมฆดำหนาแน่นที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้า พลันได้ยินด้านหลังมีคนร้องเรียกขึ้นเสียงหนึ่ง “ท่านพ่อ ท่านกลับไปเถอะ” เขาพลันตกใจ หันกลับไปเห็นเพียงเสวียนจีบุตรสาวคนเล็กตนยืนมั่นอยู่บนกระบี่ ห่างจากเขาเพียงแค่ไม่ถึงจั้ง ร่างนางบอบบาง ชุดขาวบนร่างนางถูกลมพัดส่งเสียงดัง
เห็นชัดว่าเป็นสตรีอรชรบอบบางเช่นนี้ ราวกับใช้มือก็ผลักล้มได้ แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงรังสีอาจหาญจากตัวนางที่ทำเอาเขาขนลุกชัน นางแปลกหน้าเช่นนี้ ไม่ได้มีอารมณ์ความรู้สึกบนใบหน้า สองตาลึกล้ำยากคาดเดา สีหน้าขาวราวกับโปร่งแสง
“เจ้า…” อยู่ๆ ฉู่เหล่ยก็ไม่รู้ว่าควรกล่าวอันใด
เสวียนจีกล่าวเบาๆ ว่า “มกร ส่งท่านพ่อกลับไป”
ในใจนางเงียบงัน…มกรมองนางแวบหนึ่งก็รู้สึกกลัว ถึงกับเป็นครั้งแรกที่ไม่โต้ฝีปากกับนางอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พาฉู่เหล่ยกลับไปอย่างเชื่อฟัง หันหลังบินลงไปทันที
เช่นนั้นทุกอย่างก็เริ่มแล้ว เสวียนจีค่อยๆ ชักกระบี่เปิงอวี้ออกมาจ้องมองไปยังกองกำลังนับหมื่นพันตรงหน้าแน่วแน่
สถานการณ์เช่นนี้ นางคุ้นเคยเช่นนี้ มหาอสูรมารก้าวข้ามทางช้างเผือกรุกรานแดนสวรรค์ ศัตรูมากมายนับไม่ถ้วน สามเศียรหกกร ทั้งร่างไฟลุกโชน นางเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่ออกรับมือกองทัพนับหมื่นพันตัวคนเดียว ใช่แล้ว ที่นี่ก็คือที่พักพิงของนาง ศรัทธาของนาง ทุกอย่างของนาง
นางไม่มีที่ไป ได้แต่อยู่ต่อที่นี่
มีเพียงที่นี่แล้ว
นางยกกระบี่เปิงอวี้ขึ้นตั้งแนบหน้าผาก ความเยียบเย็นราวน้ำแข็งที่สัมผัสทำให้สุดท้ายเสียงเอะอะวุ่นวายในใจนางก็นิ่งลง
“ติ้งคุน” นางเรียกเบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง วินาทีถัดมา กระบี่เรียวนั่นพลันขยายขึ้น นางค่อยๆ กางฝ่ามือออกกุมไว้ ไฟสีฟ้าลุกโชนไร้สำเนียงราวกับคลื่นทะเล ติ้งคุนเป็นศูนย์กลาง กระจายออกเป็นชั้นๆ ออกไป
จากด้านล่างมองขึ้นท้องฟ้า เปลวไฟสีฟ้าแต่ละระลอกคลื่นราวกับดอกบัวใหญ่มากดอกหนึ่งคลี่บานกลางท้องฟ้า ราวกับดอกบัวมายา