ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 5 สัตว์ภูต (3)
ทันทีที่ถึงพื้น สี่มือปราบก็ตามมา เนินหวงเหนี่ยวมีเปลวเพลิงทะยานพุ่งขึ้นท้องฟ้า แสงเพลิงสะท้อนใส่ใบหน้าทุกคนที่เต็มไปด้วยเหงื่อชุ่ม มือปราบคนที่สองเห็นพวกเสวียนจีอยู่ก็รีบร้องดังขึ้นว่า “มีคน! เมื่อครู่ตอนข้าวิ่งมาเห็นว่าในป่ามีคน!”
อวี่ซือเฟิ่งตกใจรีบกล่าวว่า “แน่ใจว่าไม่ได้มองผิด?”
ที่นี่เผาไหม้รุนแรงเช่นนี้ พวกเขายังอยู่นอกเขตป่าก็ยังรู้สึกร้อนยากทนรับได้ นับประสาอันใดกับในป่า
มือปราบคนที่สองพยักหน้ากล่าวว่า “ไม่ผิดแน่นอน! เหมือนสวมหมวกฟางราวกับเร่งเดินทาง ข้าเรียกเขาหลายคำ เขาก็ไม่ตอบ อีกทีก็หายไปแล้ว ข้ามองเห็นในป่าไฟไหม้รุนแรง จึงไม่ได้ตามเข้าไป”
คิดว่าต้องเป็นคนเดินทางที่หลงทางมา หากปล่อยเขาไปเที่ยวอยู่ในเนินหวงเหนี่ยวเช่นนี้ ช้าเร็วต้องถูกเผาตายแน่ อวี่ซือเฟิ่งสบตากับเสวียนจีก่อนจะพยักหน้า ค่อยๆ ปลดถุงน้ำที่เอวออกราดตั้งแต่หัวลงมาจนเปียกโชก น้ำนั้นถูกความร้อนสูงทำเอาร้อนไปหมด เปียกจนเสื้อผ้าแนบกาย โดนลมร้อนพัดมาก็ยิ่งร้อนยิ่งกว่าเมื่อครู่
“จอมยุทธ์ทั้งสอง?” สี่มือปราบเห็นท่าทางพวกเขา ถึงกับคิดเข้าไปในป่า จึงรีบรั้งไว้ “ไฟเผารุนแรงเช่นนี้ เข้าไปใช่ว่ารนหาที่ตายหรือ?!”
อวี่ซือเฟิ่งคว้าเอาถุงน้ำของมือปราบทั้งสองมาแขวนเอว กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “รบกวนทุกท่านรอที่นี่ ระวังการเคลื่อนไหวรอบๆ พวกเราเข้าไปดูแล้วก็ออกมา”
กล่าวจบไม่รอให้พวกเขารั้งอีก ทั้งสองวิ่งเข้าไปในป่าทันที เนินหวงเหนี่ยวเผาไหม้รุนแรงมาก แม้แต่ดินก็ถูกเผาจนแดงฉานแยกออก ทั้งสองได้แต่วิ่งไปที่ที่ยังไม่ถูกเผา ไม่นานน้ำบนร่างกายก็แห้ง ผิวหน้าก็แทบจะหลุดลอกออกมา นี่ยังไม่เท่าไร ที่สำคัญก็คือพื้นดินถูกเผาจนราวกับหม้อเหล็กร้อน ใต้ฝ่าเท้าเกรงว่าคงถูกลวกจนขึ้นตุ่มน้ำแล้ว รู้สึกเจ็บอยู่มาก ทั้งสองได้แต่ราดน้ำอีกสองถุง มองไปรอบทิศ หนึ่ง เพื่อหาสัตว์ที่ถูกเสวียนจีแทง สอง เพื่อค้นหาคนที่มือปราบเห็นเมื่อครู่
หาอยู่ในป่าเป็นนานก็ไม่เห็นแม้เงา น้ำสี่ถุงก็ใช้หมดแล้ว พวกเขาหากอยู่ต่อไปก็คงต้องกลายเป็นเนื้อย่างทั้งเป็น อวี่ซือเฟิ่งมองไปยังเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิง ไม่มีทางไปต่อได้ ได้แต่ถอนใจกล่าวว่า “เอาเถอะ กลับกันเถอะ หากอยู่ต่อ พวกเราจะตกในอันตราย”
เสวียนจีพยักหน้า ทั้งสองกำลังจะกลับออกตามทางเดิม พลันได้ยินในป่ามีเสียงแว่วมาจากเปลวไฟ เป็นเสียงของสัตว์เพลิงตัวก่อนหน้า ทั้งสองตะลึงรีบหันกลับไปมองเปลวไฟที่แสบตาร้อนแรงนั่น มีเงาคนเคลื่อนไหว ในสภาพที่ร้อนแรงแผดเผาเช่นนี้ เขาถึงกับไม่รีบไม่ร้อน สวมหมวกสานท่าทางสบายใจ เสียงแว่วทุ้มต่ำ สุดท้ายค่อยๆ กลายเป็นเสียงเพลง
“ฟ้าไม่อาจคาดเดา หลักการไม่อาจวางแผน ชะตาล่วงรู้ เกิดเหตุเมื่อใด ใต้หล้าท่ามกลางเตา เผาหลอมละลาย หยินหยางเถ้าถ่าน สรรพสิ่งหลอมรวมเป็นทองแดง”
น้ำเสียงกระจ่างกังวานดังก้องฟ้า เสวียนจีฟังอยู่เป็นนาน กล่าวอย่างแปลกใจว่า “ปีศาจนั่นถึงกับยังร้องเพลง! เขาร้องอะไร”
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า “เหมือนว่าวิถีฟ้าไม่อาจมั่นใจ แม้รู้ก่อนก็ย่อมไร้หนทางคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อใด สรรพชีวิตเหมือนกับมีชีวิตท่ามกลางเตาเผา สรรพสิ่งหยินหยางกลายเป็นเถ้า หลอมรวมเป็นหนึ่ง”
เขาพลันคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ อดเงียบงันไม่ได้ เพลงนี้ร้องได้ไม่ผิดจริงๆ แม้หลิ่วอี้ฮวนมีดวงตาสวรรค์รู้เห็นภาพทุกอย่าง รู้เหตุเภทภัย แต่สรรพสิ่งล้วนถูกกำหนด ผู้ใดมุ่งไปทางโชคดีหลบเลี่ยงโชคร้ายได้อย่างสิ้นเชิงกันบ้าง
เสวียนจีก็เหมือนคิดรู้ได้ เงียบงันไร้วาจา ปีศาจนั่นร้องอยู่พักหนึ่งก็พลันหัวเราะดังยาว กล่าวน้ำเสียงราบเรียบว่า “เด็กน้อยสองคน กล้าไม่น้อยนะ! ถึงกับใช้กระบี่แทงข้า!”
ทั้งสองพากันตกใจ เห็นเพียงเปลวไฟร้อนแรงตรงหน้าโหมกระหน่ำ สถานการณ์บีบคั้น ไม่อาจไม่ถอยสองก้าว กำแพงไฟตรงกลางแยกเปิดทางออกสายหนึ่ง ราวกับถูกสองมือยักษ์ฉีกออก เงาคนที่เดินอยู่ท่ามกลางเปลวไฟก่อนหน้าค่อยๆ เดินออกมาจากรอยแยกอย่างไม่รีบไม่ร้อน คนผู้นั้นสวมชุดสีแดงดำ บนศีรษะมีหมวกสาน มือหนึ่งจับหมวกอีกมืออยู่บนบ่า ท่ามกลางแสงเพลิง รู้สึกเพียงแค่ผมและหนวดสีเงินปลิวไปมา ใต้หมวกสานเผยใบหน้าครึ่งหนึ่ง ที่คางมีแสงเงาดังหยก มุมปากอมยิ้ม
“เจ้าเอง!” เสวียนจีชี้เขาตาแทบจะหลุดออกมา ถึงกับเป็นคนที่พวกเขาพบบนท้องนาตอนบ่ายนั่น! เริ่มแรกที่เห็นผมเขาสีขาว ยังคิดว่าเป็นชายชรา ผู้ใดจะรู้ว่าถึงกับเป็นคนหนุ่ม! “เจ้า…เจ้าคงไม่ใช่…ปีศาจที่วางเพลิงกระมัง”
คนผู้นั้นหัวเราะเยียบเย็นเบาๆ ไม่ตอบ ครู่หนึ่งจึงได้กล่าวว่า “ข้ายืมเส้นทางมนุษย์เดินทางย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงเป็นเช่นนี้ วันหน้าย่อมตอบแทนคืนกลับ ไฟนี้ยามโฉ่วก็จะมอดดับไปเอง หากพวกเจ้าไม่อยากถูกเผาตายที่นี่ก็รีบไปซะ”
อวี่ซือเฟิ่งขมวดคิ้ว กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “กล่าวเช่นนี้…สัตว์เพลิงนั่น…มกร…ก็คือเจ้า?”
คนผู้นั้นจับหมวกสานเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง อวี่ซือเฟิ่งรู้สึกเพียงแค่แววตาเขาร้อนแรงราวกับมีกระแสไฟ ในใจอดสะดุ้งไม่ได้ มกรไม่ใช่สัตว์ปีศาจธรรมดา แต่เป็นสัตว์เทพสวรรค์ ในเมื่อเขาบอกว่ายืมเส้นทางมนุษย์เดินทางย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงเป็นเช่นนี้ วันหน้าย่อมตอบแทนคืนกลับย่อมเป็นเรื่องจริง แค่เขากับเสวียนจีสองคน ไม่ต้องแม้แต่จะคิด ย่อมสู้อีกฝ่ายไม่ได้ คนเขาแค่ผมเส้นเดียวก็สังหารคนได้สองคนแล้ว ยามนั้นจึงคิดถอยทันที ประสานมือกล่าวว่า “เป็นพวกเราที่วู่วาม ขอท่านมกรเดินทางต่อ พวกเราย่อมหลีกทางในทันที”
เสวียนจีถูกเขาลากเดินไปสองสามก้าว ยังอดหันกลับไปมองคนผู้นั้นไม่ได้ กล่าวอย่างแปลกใจว่า “เขาก็คือมกร? เมื่อครู่ปีศาจตัวใหญ่โตนั่น? ทำไมกลายร่างเป็นคนอีกแล้ว…”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ใช่ปีศาจ เป็นสัตว์เทพ เรื่องนี้เจ้าและข้าจัดการไม่ได้ ได้แต่ปล่อยเขาไปแล้ว”
ยามนี้เสวียนจีถูกเปลวไฟย่างจนแสบร้อนไปหมด ไม่คิดอยู่ต่ออีกแล้ว ดังนั้นจึงพยักหน้า ผู้ใดจะรู้ว่าคนผู้นั้นด้านหลังพลันหัวเราะเยียบเย็นกล่าวว่า “พวกเจ้าจะไปกันเช่นนี้? กล้ามาเสียมารยาทกับข้า ย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทนให้สาสม!”
ทั้งสองตกใจ เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่กระบี่เปิงอวี้ที่เอวร้อนระอุ ถึงกับราวกับออกจากเตาหลอมใหม่ๆ ร้อนจนนางตกใจสะดุ้ง วินาทีถัดมากระบี่เปิงอวี้ก็ออกจากฝักกระบี่วาดวงสีเงินยวงกลางท้องฟ้า ก่อนจะตกสู่มือคนผู้นั้น
“กระบี่นี่ที่แทงข้าหรือ” คนผู้นั้นท่าทางเหิมเกริม ใช้นิ้วดีดกระบี่เปิงอวี้ ในยามนั้นเกิดเสียงดังขึ้น เขาเอ่ยชมว่า “โลกมนุษย์มีกระบี่ดีเช่นนี้ด้วย! มิน่าถึงกับทำร้ายข้าได้! เด็กน้อยสองคนมีตาไร้แวว ไร้สัมมาคารวะ อ่อนต่อโลก ข้าไม่ตำหนิพวกเจ้า การลงโทษของข้าก็คือยึดกระบี่นี้ไว้แล้วกัน!”
เขาหันหลังชี้ไปที่เกราะบนบ่า ดังคาด เสื้อผ้าตรงนั้นขาดเป็นรูเล็กๆ แต่ไม่ได้ทำร้ายถึงเลือดเนื้อ ไอกระบี่เปิงอวี้เฉียบคม แม้แต่หินผาก็ตัดได้ เมื่อครู่ทั้งสองล้วนเห็นกระบี่แทงเข้าร่างมกรนั่นกับตา ปรากฏมีแต่เสื้อผ้าที่ขาดเป็นรู ในใจก็อดตกใจไม่ได้
เสวียนจีมองกระบี่เปิงอวี้ในมือเขาส่งเสียงร้องไม่หยุด ราวกับไม่อยากจากเจ้าของไป ยามนั้นร้อนใจกล่าวว่า “ไม่ให้เจ้า! นั่นเป็นกระบี่ข้า!”
คนผู้นั้นยิ้มกล่าวว่า “ไม่ทิ้งกระบี่ไว้ ก็ทิ้งคนไว้! เจ้าใช้มือไหนทำร้ายข้า ตัดมือนั้นออกแล้วกัน!”
เสวียนจีเห็นเขาไร้เหตุผลเช่นนี้ ในยามนั้นนิสัยไม่ยอมคนแต่เดิมก็ปะทุขึ้น โมโหกล่าวว่า “เห็นๆ ว่าเจ้าไม่ถูกต้อง! อยู่ๆ จุดเพลิงเผาทำร้ายคนไปเท่าไร! ยังเป็นสัตว์เทพเสียด้วย! ปลอมเสียเปล่า?!”
คนผู้นั้นโมโหมาก น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “เจ้าเด็กไร้มารยาท! สัตว์เทพไหนเลยให้เจ้ามาลบหลู่ได้!”
เสวียนจีด่าตามมาว่า “เป็นเจ้าลบหลู่ตนเองเอง!”
คนผู้นั้นหัวเราะยิ้มเยียบเย็นไม่ตอบอันใด สองนิ้วคีบกระบี่เปิงอวี้ คิดจะใช้แรงหักทิ้ง เสวียนจีตกใจร้องดัง คิดเข้าไปห้ามไว้ หากกำแพงไฟด้านหลังเขาพลันเจิดจ้าขึ้น ราวกับประตูหนาเคลื่อนตัวเข้ามา นางรู้สึกเพียงแค่ร้อนจนยากทานรับไหว ไม่อาจไม่ถอยกลับ
คนผู้นั้นหักอยู่เป็นนาน กระบี่เปิงอวี้ไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย อดตกใจไม่ได้ ยกมือขึ้นลูบไปมา ตกใจกล่าวว่า “ติ้งคุน?! ถึงกับเป็นติ้งคุน! ทำไมเปลี่ยนไปเช่นนี้ได้…” กล่าวจบก็ตกใจเงยหน้ามองเสวียนจี จากหัวจรดเท้า พึมพำกล่าวว่า “เปลี่ยนไปมาก…มิน่า มิน่า…”
เสวียนจีไหนเลยจะสนใจเขาว่า ‘มิน่า’ อะไรพวกนั้น ร้องดังว่า “คืนกระบี่ให้ข้า! เจ้าปีศาจสมควรตาย!”
คนผู้นั้นหัวเราะเบาๆ แทงกระบี่เปิงอวี้ลงพื้น กอดอกกล่าวดังว่า “ข้าได้ยินความร้ายกาจของอัคคีสมาธิจิตของเจ้ามานานแล้ว คิดอยากหาโอกาสประลองกับเจ้ามานานแล้ว ฟ้าเห็นใจข้าแล้ว! วันนี้ ในที่สุดโอกาสที่ข้ารอคอยก็มาถึง! ไม่ต้องเกรงใจ ออกกระบวนท่ามา! ให้ข้าได้เห็นว่าแม่ทัพเทพสงครามเป็นอย่างไร!”
เสวียนจีมองเขาแววตาร้อนแรง ท่าทางประหลาด ในใจก็แอบหวาดหวั่น ถอนหลังไปสองก้าว กล่าวเบาๆ ว่า “ข้า…ข้าไม่ประลองกับเจ้า…”
คนผู้นั้นหัวเราะบ้าคลั่ง กล่าวว่า “ไม่ประลองไม่ได้! ลงมือ!”
วาจากล่าวจบ กำแพงไฟด้านหลัง ‘ฟุ่บ’ ขึ้นราวกับคลื่นทะเล ปกคลุมทั่วท้องฟ้า คลื่นร้อนเพียงพอจะหลอมเหล็กกล้าละลายได้ เสวียนจีตกใจร้องดัง ไม่อาจสนใจว่าท่าทางจะทุลักทุเลอย่างไร รีบกลิ้งตัวตะกายหนี อันตรายมาก กระโปรงถูกไฟลามไปนิดหน่อย พริบตากระโปรงนางถูกเผาไปครึ่ง
คนผู้นั้นหัวเราะดังลั่น น้ำเสียงเยาะเย้ย “ชิชะ! เผยโฉมสะคราญ ที่แท้ยังเป็นแค่สตรีธรรมดาเท่านั้นเอง!”
สีหน้าเสวียนจีแดงสลับขาว คว้าชายกระโปรงไว้ถึงกับพูดไม่ออก บ่าพลันรู้สึกหนัก อวี่ซือเฟิ่งถอดเสื้อตัวนอกคลุมร่างนาง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “สวมเสีย พวกเราหนีก่อน เขาแข็งแกร่งเกินไป” เขาถอดเสื้อตัวนอกออก เผยให้เห็นด้านบนเปลือยเปล่า เหงื่อไหลชโลมผิวสะท้อนแสงไฟระยิบ มองแล้วรูปงามจนหวั่นไหว
เสวียนจีพลันอึ้งมองก่อนจะหน้าแดงตามมา ขอบคุณ สองคำนี้ก็ติดอยู่ในลำคอ ได้แต่ก้มหน้าจะออกเดิน
อวี่ซือเฟิ่งเห็นมกรยังคิดพ่นไฟ ก็รีบดึงแผ่นยันต์ออกมา วาดลงก่อนจะโยนออกไป ในยามนั้นกลายเป็นมังกรไฟน้อยพุ่งขึ้นฟ้าเป็นเปลวไฟกั้นเขาไว้ เขารีบฉวยจังหวะนี้หลบหนี พลันได้ยินคนผู้นั้นยิ้มกล่าวว่า “ไฟตำหนักหลีเจ๋อ เปลี่ยนแปลงดังใจ ไม่สู้กลับหนี ไม่สู้ก็ตายไปเสีย”
เขารู้สึกเพียงแค่แผ่นหลังปวดแสบปวดร้อน พอหันกลับไปก็เห็นทะเลเพลิงนั่นครอบลงมา พริบตาก็กลืนกินเขาไปหมด เสวียนจีที่ด้านหลังส่งเสียงร้องตกใจ รู้สึกราวกับนางอยู่ไกลแสนไกล