ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 10 ปฎิบัติการตามเฟิ่ง
พอกลับถึงเส้าหยาง เสวียนจียังไม่อยากจะเชื่อ ผู้พิพากษากับมหาเทพโฮ่วถู่ปล่อยนางกลับมาง่ายดายเพียงนี้ ยังส่งนางกลับมาถึงประตูหน้าสำนักเส้าหยางอย่างแม่นยำ ไม่ผิดตำแหน่งแม้แต่น้อย
พวกเขาให้นางสังหารอู๋จือฉีเพื่อจบสิ้นเหตุกรรม อย่างไรนางก็ไม่ยอม ยังคบเขาเป็นสหายอีก นัดแนะกันว่ารอให้เขาออกมาจะไปดื่มสุราด้วยกัน ตอนนี้หวนคิดถึงเรื่องนี้ก็ช่างเหลวไหลสิ้นดี ตอนนั้นเหตุใดอู๋จือฉีก่อกบฎนางยังไม่รู้เหตุผลชัดเจน ก็เลือกที่จะเชื่อเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข
ดวงตาเขาส่องประกายเปิดเผยเช่นนั้น ย่อมไม่ใช่ดวงตาของคนเลวอย่างแน่นอน นางยอมเชื่อเขา
เพื่อความไว้เนื้อเชื่อใจนี้ นางถึงกับเตรียมใจจะสู้กับพวกมหาเทพโฮ่วถู่ แต่พวกเขากลับไม่พูดถึงเลย ทำไม?
นางไปเขาปู้โจวซานครานี้ใช้เวลาสองวัน ทุกคนในสำนักเส้าหยางต่างจัดการเก็บกวาดได้พอสมควรแล้ว วันๆ เหอตันผิงจะไปอยู่บนยอดเขาคอยนางกลับมา ร้องไห้จนตาบวมแดงไปหมดแล้ว ในที่สุดก็เห็นเสวียนจีค่อยๆ เหินลงมา นางดีใจเข้าไปกอดนางไว้แน่น เสวียนจีพูดอะไรมากมาย นางล้วนฟังไม่เข้าหู เอาแต่พร่ำกล่าวไม่หยุดว่ากลับมาก็ดีแล้ว!
ครั้งนี้สำนักเส้าหยางถูกมารปีศาจโจมตี เหนือความคาดหมายมาก บาดเจ็บล้มตายถึงกับไม่หนักหนาสาหัส น่าจะเพราะทุกคนปฏิกิริยาว่องไว ไม่ได้เอาไข่กระทบหิน หากไม่สนใจอะไรเข้าโรมรันกับมารปีศาจ คิดว่าคงได้สมดังใจอูถงเข้าจริงๆ ทุกคนคงถูกกวาดราบ เสวียนจีห่วงอาการบาดเจ็บหลิงหลงกับจงหมิ่นเหยียนที่สุด เนื่องจากจงหมิ่นเหยียนได้กินน้ำผลไม่อาสัญไป อาการบาดเจ็บถึงกับฟื้นตัวเร็วกว่าหลิงหลงมาก ตอนเขาลืมตาขึ้น คำแรกที่ถามก็คือหลิงหลง
เหตุครั้งนี้แม้ว่าเส้าหยางไม่ได้รับผลกระทบหนักหนาสาหัส แต่ในใจทุกคนก็ยังมีรอยฝังลึกที่ไม่อาจลบเลือน พลังแข็งแกร่งของมารปีศาจ ยามมนุษย์ธรรมดาเผชิญมารปีศาจได้แต่อ่อนกำลังไร้แรงต้านทาน ทำให้พวกเขารู้ถึงความจริงที่เจ็บปวดนี้ได้ในที่สุด ผู้บำเพ็ญเซียนไม่ได้ร้ายกาจดังที่พวกเขาจินตนาการไว้ เหนือฟ้ายังมีฟ้า ถึงเวลาที่จะรู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตนที่เคยโอ้อวด ตระหนักรู้ใหม่อีกครั้ง
หลิ่วอี้ฮวนเคยกล่าวว่า เป็นเทพก็มีความเป็นเทพ เป็นปีศาจก็ย่อมมีความเป็นปีศาจ ดังนั้นเป็นคนก็ต้องมีความเป็นคน แม้แต่คนก็เป็นได้ไม่ดี ยังจะบำเพ็ญเซียน? ฉู่เหล่ยรู้สึกวาจานี้กินใจที่สุด พอหวนนึกถึงรากฐานเส้าหยางหลายร้อยปี คำสอนถึงกับขัดกับวาจานี้ แค่ความสำเร็จเล็กน้อยก็ดีใจจนลืมตน การโจมตีครั้งนี้ไม่เพียงแค่เขาคนเดียวที่สั่นคลอน แม้แต่รากฐานเส้าหยางหลายร้อยปีก็ยังสะเทือน บางความคิดควรได้เวลาเปลี่ยนแปลงแล้ว
ทุกคนในสำนักเส้าหยางจะสลัดความคิดเดิมทิ้งได้อย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่เสวียนจีสนใจ ที่นางสนใจที่สุดยามนี้ก็คืออาการหลิงหลง ทุกวันจะมาเฝ้าอยู่ข้างเตียงนาง รอนางตื่น แม้ว่านางยังพูดไม่ได้ สองคนก็สื่อกันด้วยสายตา ยิ้มให้กัน ก็นับเป็นเรื่องที่ดีอย่างที่สุด
แต่ตั้งแต่จงหมิ่นเหยียนลงจากเตียงเดินเหินได้ เสวียนจีก็ไม่ได้มาเป็นเพื่อนหลิงหลงทุกวันอีก พวกเขาสองคนได้ผ่านเหตุการณ์เป็นตายมาด้วยกัน ย่อมมีวาจามากมายจะกล่าวกัน น่าเสียดายเพียงแค่ลำคอหลิงหลงถูกกระบี่ปาดลึกมาก น่าจะบาดถึงหลอดลม เสียงพูดจึงยังคงไม่ได้หวานเหมือนเมื่อก่อน กลายเป็นน้ำเสียงแหบทุ้ม นางเองก็ยังรู้สึกว่าไม่น่าฟัง มักจะแอบหลั่งน้ำตาโกรธตัวเองอยู่บ่อยๆ จงหมิ่นเหยียนก็ได้แต่คอยปลอบใจ ได้แต่แหย่ให้นางหัวเราะจนน้ำตาเล็ดจึงจะคลายลงได้ หากเป็นเมื่อก่อนตอนหลิงหลงเอาแต่ใจ ตอนเขาอารมณ์ดีก็ยังรู้สึกเบื่อหน่าย แต่ตอนนี้รู้สึกหวานล้ำแท้จริง แทบจะอยากให้นางเอาแต่ใจให้มาก ให้เขาไปคว้าดวงจันทร์มาก็ได้ ดวงดาวก็ดี ขอเพียงนางยังมีชีวิต มือทั้งสองยังจูงกัน แม้จะให้เขาไปคว้าดาวดาวมาก็ไม่ใช่ปัญหา
วันนี้เสวียนจีไปเยี่ยมหลิงหลงที่ห้องนาง พอจะเดินเข้าประตูไป ได้ยินเสียงพูดเหมือนเสียงจงหมิ่นเหยียน นางอึ้งไปเล็กน้อย พลันเกรงใจที่จะเข้าไป เกรงว่าจะรบกวน กำลังหันหลังคิดกลับ ก็ได้ยินจงหมิ่นเหยียนกล่าวว่า “เจ้าอย่าได้เป็นกังวลเรื่องเสวียนจีกับซือเฟิ่ง เสวียนจีเป็นคนมีความคิดเป็นของตนเอง แม้ว่านางไม่เคยพูด แต่ในใจรู้ดี เจ้าสนใจแค่รักษาตัวเองให้ดีก็พอ เจ้าหายแล้ว นางถึงวางใจไปได้”
ในใจเสวียนจีวูบไหว ได้ยินเสียงหลิงหลงรับคำเบาๆ ว่า “จริงๆ แล้วก็ดีขึ้นไม่น้อยแล้ว มีแต่เสียงนี่…เจ้าว่า พวกเราไปหาซือเฟิ่งพร้อมกับนางดีไหม”
จงหมิ่นเหยียนยิ้มกล่าวว่า “เรื่องพวกเขาสองคน พวกเราไม่ควรแทรก หากไปทั้งหมดนี่ ให้เขาสองคนคุยกันอย่างไร ข้าว่าซือเฟิ่งเป็นคนเก็บงำความรู้สึกอยู่ลึกๆ ไม่แน่อาจทำให้เขาโมโหได้ ไม่ยอมพบเสวียนจีนะ”
เสวียนจีแอบฟังพวกเขาคุยไปเรื่อยๆ ล้วนพูดแต่เรื่องนางกับซือเฟิ่ง ก็อดหน้าแดงไม่ได้ คิดไปว่าเกิดอวี่ซือเฟิ่งไม่ยอมพบนางจริง เอาแต่หลบซ่อนขึ้นมาจะทำอย่างไรดี กำลังคิดจนหัวแทบแตก พลันมีคนแตะบ่านาง นางตกใจหันไปเห็นฉู่อิ่งหงกับถิงหนูและหลิ่วอี้ฮวนยืนอยู่ด้านหลัง นางได้แต่หัวเราะแหะๆ
“ทำไมไม่เข้าไป อยู่ข้างนอกแอบฟังพวกเขาพูด?” ฉู่อิ่งหงสัพยอกพร้อมรอยยิ้มบาง “หรือเป็นเพราะเห็นคู่รักเขากระหนุงกระหนิงกัน เศร้าใจ?”
เสวียนจีรีบแก้ตัว “ข้าไม่ได้…”
“เอาละๆ เรื่องที่พวกเจ้าคิดอะไรพวกนั้น ท่านอาหงเองก็ไม่กระจ่าง” ฉู่อิ่งหงลูบศีรษะนาง กล่าวว่า “ซือเฟิ่งเป็นคนรักศักดิ์ศรี อายุยังน้อยก็อาจมีบางเรื่องคิดไม่ตก วันหน้าก็คงคิดตกเอง”
เสวียนจีอึ้งไปครู่หนึ่ง ถอนใจกล่าวว่า “เขา…เป็นปีศาจ ท่านพ่อกับท่านแม่ต้องไม่ชอบแน่”
ฉู่อิ่งหงยิ้มกล่าวว่า “เด็กนี่ยิ่งโตยิ่งไม่ใช้สมอง! เจ้าชอบไม่ชอบจึงจะสำคัญที่สุด จะว่าไป ปีศาจแล้วทำไม คนดีกว่าปีศาจ? ข้าว่าอูถงนั่นชั่วช้ายิ่งกว่าปีศาจพันเท่า! หากท่านพ่อท่านแม่เจ้าคัดค้าน ท่านอาหงช่วยเจ้าเอง!”
เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าเองก็ไม่ถือสาเรื่องพวกนี้ กลัวแต่พวกท่านไม่สบายใจ”
ฉู่อิ่งหงสีหน้าจริงจังกล่าวว่า ท่านพ่อท่านแม่เจ้าไม่ใช่คนหัวโบราณ ลูกสาวโตแล้ว ความคิดพวกเจ้าเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด คนเป็นพ่อเป็นแม่ ไหนเลยจะเอาความคิดตนเองมายัดเยียดให้ลูกได้ ชีวิตวันหน้าพวกเจ้าต้องก้าวเดินไปเอง”
เสวียนจียิ้มไม่กล่าวอันใด หลิ่วอี้ฮวนแค่นเสียงฮึกล่าวว่า “พูดไปพูดมา อย่างไรเจ้าก็ผิดต่อเฟิ่งหวงน้อย ได้พบเจอหญิงเช่นเจ้านี่ นับว่าเขาซวย…” อย่างไรเขาก็รู้สึกว่าเสวียนจีทำให้อวี่ซือเฟิ่งโมโหจากไป
ถิงหนูกล่าวอ่อนโยนว่า “เสวียนจี จากนี้เจ้ามีแผนอะไรต่อ”
คำถามนี้ถามเอานางอึ้งไป อูถงก็ตายแล้ว อู๋จือฉี นางก็ได้พบแล้ว เรื่องชาติก่อนนางก็ไม่คิดสนใจ จากนี้…จากนี้นางจะทำอะไร เสวียนจีคิดไปคิดมา จึงได้กล่าวว่า “รออาการหลิงหลงหายก่อน ข้าจะลงเขาไปหาซือเฟิ่ง ครั้งนี้ไม่ว่าคนตำหนักหลีเจ๋อเยาะเย้ยถากถางอย่างไร ข้าก็ไม่โกรธ ไม่ลงมือ จะคุยกับพวกเขาดีๆ”
หลิ่วอี้ฮวนยิ้มกล่าวว่า “เด็กโง่! เจ้ายอมคุยดีๆ คนเขายอมหรือ จะว่าไป เฟิ่งหวงน้อยยอมหรือ”
เสวียนจีกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เขาไม่ยอม ข้าก็จะรอ รอจนเขายอม ตำหนักหลีเจ๋อก็กว้างอยู่ ข้าก็อยู่บนเกาะนั่น ปีหนึ่งเขาไม่ออกมา ข้าก็รอปีหนึ่ง ไม่ออกมาชั่วชีวิต ข้าก็รอชั่วชีวิต”
หลิ่วอี้ฮวนขำพรืดออกมาทันที กล่าวว่า “เขาอาจไม่ได้อยู่ตำหนักหลีเจ๋อ เจ้าไปรอจะมีประโยขน์อะไร แต่เจ้าคิดไล่ตามสามีพันลี้เช่นนี้ ก็นับว่าเป็นวาจาน่าฟังอยู่”
เสวียนจีเริ่มมีอารมณ์เด็กน้อย ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ใช่ไล่ตามสามีพันลี้…อืม นี่เป็นปฏิบัติการของข้าคนเดียว ข้าตั้งชื่อว่าปฏิบัติการตามเฟิ่ง[1]! ขอบฟ้าขอบทะเล จะต้องไล่ตามเขาไปจนพบจึงจะพอใจ!”
วาจากล่าวจบ ประตูห้องหลิงหลงก็เปิดออก จงหมิ่นเหยียนยิ้มถาม “ปฏิบัติการอะไร นอกห้องนี่ได้ยินแต่เสียงเจ้าดังที่สุด” เขาเห็นพวกฉู่อิ่งหงก็อยู่ก็รีบคำนับ เชิญพวกเขาเข้าไปในห้อง ลำคอหลิงหลงยังพันผ้าขาวไว้ ยังดูอ่อนแรงอยู่ไม่น้อย พยายามเท้าเตียงลุกขึ้นคำนับ ถูกฉู่อิ่งหงรีบเข้ามารั้งไว้
“พวกเรามาได้บังเอิญแล้ว” นางสัพยอก “หากรู้ก่อนว่าเขาอยู่ พวกเราก็จะมาสายสักหน่อย”
พูดจนหนุ่มสาวสองคนเขินอายเล็กน้อย หลิงหลงท่าทางน่ารักขี้อ้อนกล่าวว่า “ท่านอาหง ท่านชอบ ล้อข้าเล่นอยู่เรื่อย!” ฉู่อิ่งหงหัวเราะดังลั่นกล่าวว่า “นี่ไม่ได้ล้อเล่น มีคนยังไวกว่าข้าอีก! เจ้าไม่เชื่อถามเขา เมื่อคืนวานผู้ใดไปคุกเข่าที่ห้องเจ้าสำนักดึกดื่นเที่ยงคืนเพื่อขอลูกสาวเขากัน”
ที่แท้จงหมิ่นเหยียนเป็นคนใจร้อน รอให้หลิงหลงกับตนเองหายดีไม่ไหว แล่นไปเอ่ยขอนางกับฉู่เหล่ยก่อนแล้ว ยังกลัวว่าอาจารย์จะไม่เห็นด้วย อย่างไรตนเองก็เป็นศิษย์ที่ถูกขับจากเส้าหยาง ดังนั้นจึงไปคุกเข่าหน้าประตูห้องฉู่เหล่ยรอเขากลับมาเสียเลย ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อวานฉู่เหล่ยเพิ่งจะจัดการงานเสร็จ กลับห้องมาพร้อมกับเหอตันผิงก็พบเขาอยู่หน้าห้อง ยามนั้นเขาคุกเข่ามาครึ่งค่อนคืนแล้ว เกือบจะลุกไม่ขึ้นแล้ว ปรากฎถูกฉู่เหล่ยด่ายกใหญ่ว่าไม่รู้จักทะนุถนอมร่างกายตนเอง
โชคดีที่ด่าส่วนด่า แต่ทั้งสองยังคงเห็นด้วยเรื่องแต่งงานกับหลิงหลง จงหมิ่นเหยียนเป็นเด็กที่พวกเขาเลี้ยงดูมาแต่เล็กราวกับลูกแท้ๆ ของตนเอง แม้ว่าเขาทำอะไรวู่วาม ไม่ค่อยสุขุม แต่อย่างไรก็เป็นเพราะชายหนุ่มไม่มีประสบการณ์มาก่อน ผ่านเรื่องครั้งนี้ไป เชื่อว่าเขาจะเติบโตขึ้นไม่น้อย กอปรกับเขากับหลิงหลงเองก็เป็นดังกิ่งทองใบหยก แต่เล็กก็มีใจให้กันหนักแน่นผูกพันลึกซึ้ง ทั้งสองมีใจบริพัตรต่อกันนานแล้ว ครั้งนี้จงหมิ่นเหยียนมาขอร้องอย่างจริงใจด้วยตนเอง พวกเขาก็ย่อมรับปากดังภาษิตว่าผลักเรือตามน้ำ รอเพียงให้หลิงหลงหายดีก่อน ก็จะหาวันมงคล จัดพิธีหมั้นหมายให้เรียบร้อย
จงหมิ่นเหยียนยังไม่เคยเอ่ยเรื่องขอแต่งงานกับหลิงหลง ยามนี้ถูกฉู่อิ่งหงเปิดเผยออกมาก็อดหน้าแดงไม่ได้ แอบลอบมองไปทางหลิงหลง เกรงว่านางหน้าบางจนโมโหขึ้นมา ผู้ใดจะรู้ว่านางได้แต่ตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหน้าแดงก่ำ พึมพำกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “อย่า…อย่าพูดอีก! กลางวันแสกๆ พูดเรื่องพวกนี้ทำไมกันนะ…”
ทุกคนอดยินดีไม่ได้ หัวเราะท่าทางราวหนุ่มน้อยสาวน้อยของเขาสองคน ยังเอ่ยถึงเรื่องโซ่หมุดทะเล เสวียนจีเล่าเรื่องที่ไปแดนปรภพเจอกับอู๋จือฉีให้ทุกคนฟัง สำหรับเรื่องอู๋จือฉีกับพวกตำหนักหลีเจ๋อเคยมีบุญคุณความแค้นอะไรกันนั้น มีแต่พวกเขาที่รู้กันเองแล้ว
จงหมิ่นเหยียนได้ยินนางเอ่ยถึงตำหนักหลีเจ๋อก็กล่าวว่า “ข้าไม่ได้มีโอกาสเล่าให้อาจารย์ฟังเลย ก่อนรั่วอวี้แทงข้าวันนั้น เล่าเรื่องราวตำหนักหลีเจ๋อมากมาย” เขาเล่าเรื่องที่รั่วอวี้เล่ามาให้ทุกคนฟังรอบหนึ่ง สุดท้ายกล่าวว่า “ซือเฟิ่งก็คือลูกชายเจ้าตำหนักใหญ่ ดังนั้นข้าคิดว่าเขาย่อมไม่เป็นอันตรายอะไร เผ่าพันธุ์พวกเขามีเป้าหมายเพื่อทำลายโซ่หมุดปล่อยอู๋จือฉีออกมา ก่อนหน้าไม่รู้อู๋จือฉีคือมารปีศาจอะไร ทำความชั่วอะไรไว้ แต่ฟังจากเสวียนจีเล่า เขาไม่เหมือนเป็นคนชั่ว ข้าว่าเรื่องนี้ยังไม่ต้องกังวลไป เจ้าตำหนักใหญ่คิดทำลายสำนักบำเพ็ญเซียน แค่กำลังเขาคนเดียว ก่อคลื่นลมแรงใดไม่ได้แน่”
หลิ่วอี้ฮวนสีหน้าปั้นยาก พึมพำกล่าวว่า “เจ้าหนุ่มนั่นรู้มากเช่นนั้นเลย! ยังพูดไปทั่ว! หากแพร่ออกไปจริง ไม่เป็นผลดีต่อเฟิ่งหวงน้อยเลย”
จงหมิ่นเหยียนรีบกล่าวว่า “ข้าไม่พูดออกไปแน่! วันนี้พูดแค่ที่นี่เท่านั้น”
“รู้ว่าไม่เกี่ยวกับเจ้า!” หลิ่วอี้ฮวนค้อนใส่เขา “เด็กโง่อย่างเจ้าจึงถูกเขาหลอกอย่างไร! ยังพี่น้องอะไร! พี่น้องจะแทงเจ้า?”
จงหมิ่นเหยียนสีหน้าปั้นยาก เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “เขา…ย่อมมีความลำบากใจของเขากระมัง…น้องสาวเขาเช่นนั้น…”
“ยังน้องสาว! เจ้าถึงกับยังเชื่อเขา! ไร้หนทางเยียวยาจริงๆ! เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเรื่องน้องสาวเขาเป็นเรื่องจริง?! จะว่าไป แม้ว่ามีน้องสาวจริงแล้วอย่างไร อย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่เขาหลอกเจ้า แต่ไรมาไม่เคยจริงใจกับเจ้า! ความเห็นใจของเจ้าเกรงว่าใช้ผิดที่ไปไหม!”
จงหมิ่นเหยียนตัดสินใจไม่พูดอันใดอีก หลิ่วอี้ฮวนระบายใส่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืนหันหลังจะเดินออกไป ก่อนจะหันมากล่าวว่า “ข้ามีเรื่องด่วน ต้องไปจากเส้าหยาง น้องฉู่ บอกเจ้าสำนักฉู่แทนข้าสักคำ ข้าไม่ไปลาเขาแล้ว”
ฉู่อิ่งหงรีบรับคำ ถามว่า “พี่หลิ่วกินอาหารเย็นก่อนค่อยไปดีไหม”
เพิ่งถามจบ เขาก็หายตัวไปแล้ว
[1] นกเฟิ่งหวง คำว่า เฟิ่ง คือนกหงส์ตัวผู้ หวง คือนกหงส์ตัวเมีย อยู่คู่กันเปรียบดังคนรักกันได้ครองคู่ ในที่นี่แฝงความหมายถึงอวี่ซือเฟิ่ง