ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 13 เฟิ่งหวงบินทะยาน (3)
ผ่านไปนาน ในห้องยังคงเงียบงัน ไม่มีเสียงคนกล่าวอันใด มีแต่เสียงหายใจหอบหนักของเจ้าตำหนักใหญ่ระลอกแล้วระลอกเล่า อวี่ซือเฟิ่งมองเขาเงียบๆ แสงยามเช้าสีฟ้าอ่อนส่องใบหน้าเจ้าตำหนักใหญ่ไม่ชัด แต่เห็นกรอบใต้คางกระจ่างชัด ใบหน้าด้านข้างและจมูกโด่งของเขาเล็กน้อย
อวี่ซือเฟิ่งถอนหายใจแผ่วเบา กล่าวเบาๆ ว่า “ข้ามันโง่ ท่านพ่อ ใบหน้าด้านข้างของท่านและข้าเหมือนกันเช่นนี้ ข้าถึงกับเพิ่งมารู้เอาตอนนี้”
เจ้าตำหนักใหญ่ตบโต๊ะดัง ตามมาด้วยเสียงสนั่นของโต๊ะที่ถูกเขาฟาดทีเดียวแหลกละเอียดคามือ กองเต็มพื้น น้ำเสียงเขาดุดันกล่าวว่า “ไอ้โจรเฒ่าหลิ่วอี้ฮวนบอกเจ้า?! เขาละเมิดคำสัญญา! เขาเล่าหมดแล้ว?!”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ เขาไม่ได้บอกอะไรข้า ข้าเดาเอาเอง ข้าเดาถูกใช่ไหม จริงๆ แล้ว…ท่านก็คือท่านพ่อของข้า”
“อย่าพูดอีก!” เจ้าตำหนักใหญ่ตวาดดัง สูดลมหายใจเข้าเต็มแรงหลายที ในที่สุดก็ค่อยๆ สงบลง เป็นนานกว่าเขาจะกล่าวว่า “เรื่องนี้วันหน้าเจ้าห้ามเอ่ยถึงอีก วันนี้ถือว่าข้าไม่ได้ยิน ยาถอนคำสาปนี่ ข้าวางไว้ตรงนี้ อย่าลืมดื่ม ตอนนี้เจ้าโตแล้ว ก็ควรได้เวลาแบกรับความรับผิดชอบแล้ว คิดให้ดีกว่าสิ่งใดที่ตนเองควรทำ อย่าทำให้ข้าผิดหวัง!”
เขาหันหลังจะเดินออกไป อวี่ซือเฟิ่งร้อนใจกล่าวตามไปด้านหลังว่า “ท่านพ่อ! ตอนนั้นแท้จริงเกิดเรื่องอะไรขึ้น ท่านไม่อาจบอกข้าหรือ”
เจ้าตำหนักใหญ่อึ้งไป เขาก้าวเดินออกไปพลางกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “อย่าเรียกคำนี้อีก! อย่าลืมว่าที่นี่คือตำหนักหลีเจ๋อ เจ้าคือศิษย์ข้า เช่นนี้เท่านั้น!”
อวี่ซือเฟิ่งสูดลมหายใจเข้า นั่งอึ้งอยู่ข้างเตียงเป็นนาน ก่อนจะค่อยๆ ก้มหน้ามองไปยังยาที่วางบนโต๊ะข้างเตียง สีฟ้ากระจ่างใส ยาน้ำส่องแสงประกายแสบตาราวกับอัญมณีล้ำค่าท่ามกลางแสงยามเช้า อัญมณีสีฟ้าสวยงามราวกับภาพฝัน ทำให้เขาลืมความฝันที่เต็มไปด้วยความรักและความแค้นทั้งหมด
จริงๆ แล้วเจ้าตำหนักใหญ่กล่าวถูกต้อง เขาถึงวัยที่ควรแบกรับความรับผิดชอบแล้ว หลายเรื่องเอาแต่ใจตามความพอใจไม่ได้ ตำหนักหลีเจ๋อคือครอบครัวเขา เขาเห็นแก่ตัวละทิ้งครอบครัวไปได้หรือ การทำแต่เรื่องที่ตนพอใจและมีความสุขตลอดไปนั้นคือวาจาเด็กน้อยเสวียนจี คนเรามีชีวิตอยู่เดิมก็ไม่อาจมีความสุขได้ในทุกเรื่อง
เขาค่อยๆ ยกชามนั้นขึ้น ยาน้ำกระเพื่อมไหวเบาๆ สีผสมผสานเข้ากัน ไม่รู้ทำไมทำให้เขานึกถึงเรื่องราวแต่หนหลังมากมาย ได้รู้จัก ได้เคียงบ่า และลาจากนาง เรื่องราวที่เกิดในเวลาสั้นๆ แค่ห้าปี แต่ห้าปีนี้ราวกับเขาผ่านมาทั้งชีวิต กำลังกายและพลังใจที่ลุกโชนทั้งหมดในชีวิตเขาได้ใช้ไปหมดสิ้น เหือดแห้งในเวลาแค่ห้าปีนี้
อวี่ซือเฟิ่งยกยาจ่อที่ริมฝีปาก กำลังคิดตัดใจดื่มลงไปทีเดียว อยู่ๆ มีภาพใบหน้าเสวียนจีลอยมาเบื้องหน้า เผยรอยยิ้มบางมองเขา กล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า ซือเฟิ่ง พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป
ในใจเขาพลันปวดปลาบราวกับถูกแมงป่องต่อย ความเจ็บปวดจนชาดิกค่อยๆ ขยายวงกว้าง ในความเจ็บปวดยังเหมือนมีความหวาน ความขม ความเปรี้ยว ราวกับความรัก ความแค้น ความชัง…ทุกความรู้สึกหมื่นพันหลอมรวมกัน เขาเคยตั้งใจบอกนางว่าโลกนี้ยังมีคนที่ดีกว่าด้วยความประหม่าเขินอาย แต่ตอนนี้เขากลับเลือกเดินจากนางมา
พวกเขาทั้งสอง แท้จริงแล้วเขาผิดต่อนางมากกว่า หรือว่านางผิดต่อเขา ยามนี้สับสนจนไม่อาจแยกแยะกระจ่างชัดได้
อวี่ซือเฟิ่งคิดอยู่นาน ในที่สุดก็เปิดหน้าต่างออกไป สาดยาทั้งหมดทิ้ง
ชีวิตเขานี้เหมือนถูกมารครอบงำไปแล้ว แพ้ให้นางราบคาบ ไม่มีทางรอดแม้แต่น้อย เขาถอนหายใจยาว ยกพิณเจ็ดสายมาตั้ง เริ่มบรรเลงพิณบทเพลงหงส์เกี้ยวหงส์[1] บทเพลงรวดร้าว นางเคยได้ยินความขมขื่นปวดร้าวในใจเขาสักนิดไหม
ในความรู้สึกเลือนรางราวกับมีคนกำลังร้องเรียกชื่อเขา ซือเฟิ่ง ซือเฟิ่ง…เจ้าได้ยินไหม อยู่ๆ เขาก็สะดุ้งตกใจ เสียงพิณหยุดไป นอกหน้าต่างมีเสียงเอะอะโวยวายดังมา หลายคนกำลังวิ่งไป เสียงคุยกันเบาๆ เสียงวุ่นวายยังคงดังผสมผสานเสียงตะโกนโหวกเหวก “ซือเฟิ่ง! อวี่ซือเฟิ่ง! ไอ้หนุ่มหน้าเหม็น รีบไสหัวออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้นะ!”
เสียงพี่หลิ่ว! อวี่ซือเฟิ่งกระโดดเด้งตัวลอยออกมจากเตียง คลุมเสื้อตัวนอกเสร็จก็รีบผลักประตูออกไป
*****
วันนั้นหลิ่วอี้ฮวนได้ยินจงหมิ่นเหยียนเล่าเรื่องรั่วอวี้ ก็รู้ทันทีว่าสถานะอวี่ซือเฟิ่งไม่ใช่ความลับในตำหนักหลีเจ๋ออีกแล้ว เรื่องที่ตอนนั้นเจ้าตำหนักใหญ่มีลูกนอกสมรส ตอนแรกเขาก็เหมือนถูกปิดหูปิดตา ตอนอดีตเจ้าตำหนักไปเยี่ยมเขาในคุก พาอวี่ซือเฟิ่งไปอย่างคลุมเครือ ดังนั้นเขารู้เพียงอวี่ซือเฟิ่งเป็นลูกเจ้าตำหนักใหญ่ สำหรับมารดาคือผู้ใด ทั้งสองรู้จักกันได้อย่างไร เขาล้วนไม่รู้ทั้งสิ้น
เนื่องจากเขาเป็นเจ้าตำหนักคนต่อไปด้วยสถานะสิบสองก้านปีก มีลูกชายก็มีสิบสองก้านปีก ดังนั้นละเมิดกฎเหล็กตำหนักหลีเจ๋อก็ย่อมไม่อาจแพร่ออกไป เทียบกับเรื่องหลิ่วอี้ฮวนตอนนั้นแล้วเรียกว่าเข้มงวดกว่ามาก พออดีตเจ้าตำหนักจากไป ตอนนั้นศิษย์พี่หลายคนก็กระจัดกระจาย เหลือแค่คนที่ยอมสยบให้เจ้าตำหนักใหญ่ ผู้ใดก็ไม่อาจเผยความลับออกไป
รู้ความลับนี้แล้วกล้าพูดออกไป คิดว่าคงมีแต่รองเจ้าตำหนักชั่วร้ายราวปีศาจนั่นแล้ว ตำหนักหลีเจ๋อเดิมไม่มีตำแหน่งรองเจ้าตำหนัก เห็นชัดว่าเพราะอดีตเจ้าตำหนักโกรธแค้นเจ้าตำหนักใหญ่ที่ละเมิดกฎ จึงได้แยกอำนาจเจ้าตำหนักออกเป็นสองส่วน แบ่งให้เขาสองคนพี่น้อง
หลิ่วอี้ฮวนไม่ค่อยรู้เรื่องเขาสองพี่น้องมากนัก เพราะอวี่ซือเฟิ่งจึงได้มาเกี่ยวข้องกับเจ้าตำหนักใหญ่ไม่กี่ครั้ง รู้สึกเพียงแค่เขาลึกจนยากหยั่ง แต่ไม่ใช่คนหนักแน่น บางอย่างก็เหมือนใช้คำว่าร้อนรนมาบรรยายได้ อยากได้อะไรก็ใจร้อนรนรอไม่ได้ มองออกได้จากเรื่องที่เขาส่งคนไปเกาะฝูอวี้ก่อเรื่องครั้งนี้ แผนการดีมาก แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจรักษาความนิ่งสุขุมไว้ได้ หากเขาทนอีกสักวินาที ต้อนให้พวกฉู่เหล่ยและสำนักบำเพ็ญเซียนอื่นไปยังที่ห่างไกลแล้วค่อยลงมือ เสวียนจีแม้มีความสามารถเทียมฟ้าก็ไม่อาจช่วยได้
สำหรับรองเจ้าตำหนัก เขาเห็นครั้งแรกก็นึกรังเกียจ ไม่อยากเข้าใกล้ รองเจ้าตำหนักทำให้เขารู้สึกไม่ดีด้วยอย่างมาก หากว่าเจ้าตำหนักใหญ่เหมือนน้ำในทะเลสาบลึก ดูแล้วสงบลึก ในนั้นกลับมีกระแสบ้าคลั่งแอบซ่อน แต่รองเจ้าตำหนักเหมือนหมอกละอองน้ำ คลุมเครือ จริงๆ เท็จๆ มองไม่ทะลุ
คนผู้นี้หากมีใจคิดเป็นใหญ่ ย่อมเป็นเรื่องน่าปวดหัวของเจ้าตำหนักใหญ่จริงๆ อวี่ซือเฟิ่งกลับตำหนักหลีเจ๋อครั้งนี้ ข้างกายมีคนเช่นนี้ ก็เท่ากับอยู่ในถ้ำเสือรังมังกร แม้ว่าตอนนั้นเจ้าตำหนักใหญ่รับปากเขาไม่ให้อวี่ซือเฟิ่งเข้าร่วมภารกิจอู๋จือฉี แต่รองเจ้าตำหนักผู้นั้นต้องบีบหนัก ยากรับประกันว่าเจ้าตำหนักใหญ่จะไม่ลงยาแรงเปะปะ กระชากอวี่ซือเฟิ่งเข้าไปข้องเกี่ยว ในฐานะบิดาอวี่ซือเฟิ่งครึ่งหนึ่ง เขาจะไม่ยอมเห็นด้วยในเรื่องนี้อย่างแน่นอน
เขาออกจากเส้าหยางมาได้ ก็รีบมุ่งไปยังตำหนักหลีเจ๋อทันที ครั้งนี้ไม่มีเสวียนจีแม่ทัพเทพสงครามแสนร้ายกาจมาช่วย เขาคนเดียวกำลังย่อมไม่เพียงพอ เขามาหยุดกลางท้องฟ้าเหนือตำหนักหลีเจ๋อ ไม่กล้าลงไป นั่งส่งเสียงตะโกนอยู่บนกระบี่ศิลา ลองดูว่าจะตะโกนเรียกอวี่ซือเฟิ่งออกมาได้ไหม
ตอนอวี่ซือเฟิ่งวิ่งออกมา เห็นภาพประตูหน้าของตำหนักหลีเจ๋อวุ่นวายกันไปหมด ศิษย์อายุน้อยหลายคนที่ริมหาดชี้มือชี้ไม้พากันวิจารณ์ กลางท้องฟ้ามีกระบี่ศิลาเล่มใหญ่ หลิ่วอี้ฮวนนั่งอยู่บนนั้น ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่งม้วนป้องปากตะโกนโหวกเหวกโวยวาย “อวี่ซือเฟิ่ง! ไอ้หนุ่มหน้าเหม็น รีบไสหัวออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้นะ!”
อวี่ซือเฟิ่งทำหน้าปั้นยากแทบอยากจะร้องไห้ เรียกขึ้นเสียงหนึ่ง “พี่ใหญ่ ท่านมาได้อย่างไร”
พอหลิ่วอี้ฮวนเห็นเขา ดวงตายามนั้นสว่างวาบ โยนหนังสือทิ้ง กวักมือเรียกเขา “เฟิ่งหวงน้อย! รีบมานี่เร็วๆ ให้พี่ใหญ่ดูเจ้าหน่อย! ผอมลงนะ! ไม่ได้เจอกันแค่สองสามวัน อาจารย์เจ้าไม่ให้เจ้ากินข้าว?”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ท่านเหมือนเดิมเลย เหตุใดนั่งสูงอย่างนั้น ไม่ลงมาหรือ”
หลิ่วอี้ฮวนส่ายหน้าติดๆ กัน “ไม่เอาๆ! อาจารย์เจ้าดุร้ายมาก! ข้ากลัวอยู่ๆ เขาก็ลงมือ อยู่ข้างบนนี่ดีกว่า หนีได้เร็วกว่า! ใช่แล้ว เฟิ่งหวงน้อย เจ้ามานี่ ข้าถามเจ้า อาจารย์เจ้าได้พูดอะไรกับเจ้าไหม…อืม วาจาแฝงความนัย?”
อวี่ซือเฟิ่งตะลึงไปครู่หนึ่ง ค่อยๆ หลบตาไม่กล่าวอันใด หลิ่วอี้ฮวนโมโหกล่าวว่า “เจ้าคนควรตาย! เขาผิดคำสัญญาเหมือนที่ข้าคาดไว้เลย เจ้าไปกับข้า! อย่าอยู่ที่บ้าๆ เช่นนี้ต่อ! รีบไปกับข้า!” เขาก้มตัวลงมาดึงอวี่ซือเฟิ่ง เขากลับลังเลครู่หนึ่ง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ พี่ใหญ่ ท่านพ่อข้า…ข้ายังไม่เข้าใจ…”
หลิ่วอี้ฮวนร้อนใจกล่าวว่า “พี่ใหญ่มาหาเจ้าแล้ว! เจ้าจะอยู่ที่บ้าๆ นี่ต่อหรือ ยังมีอะไรยังไม่เข้าใจ! ท่านพ่อแก่ๆ ของเจ้ามันบ้าไปแล้ว…”
วาจาไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงตวาดเฉียบขาดดังมาด้านหน้า “หลิ่วอี้ฮวน!” เห็นประตูหน้าตำหนักหลีเจ๋อเปิดออก คนชุดดำมากมายกรูกันออกมา คนนำมาเป็นเจ้าตำหนักใหญ่ที่ตวาดดังเมื่อครู่ ห้าอาวุโสตำหนักหลีเจ๋อและสิบเจ้าหัวหน้าส่วนงานในตำหนักยืนอยู่ด้านหลังเขา ท่าทางเรืองบารมีไม่น้อย เห็นชัดว่ากะจะไม่ปล่อยเขาไป
อวี่ซือเฟิ่งตกใจ ร้อนใจกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ท่านไปก่อนเถอะ!”
หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะเยียบเย็น นั่งหลังตรงแหน่ว กล่าวเสียงดังว่า “เจ้าตำหนักเล็กๆ นำคนมามากมายมาขู่ข้าหรือ ข้าไม่กลัวเจ้า! พอดีเลย อยู่กันครบ ไม่สู้ให้พวกเขามาลองฟังความองอาจเกรียงไกรของเจ้าตำหนักในวัยหนุ่มดีไหม! จะได้ให้พวกเขาได้เลื่อมใสเลียนแบบ!”
เจ้าตำหนักใหญ่สีหน้าเขียวคล้ำ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “หลิ่วอี้ฮวน เจ้าอย่าได้คืบจะเอาศอก!”
“คนที่ได้คืบจะเอาศอกก็คือเจ้าถึงจะถูก!” หลิ่วอี้ฮวนสบถขึ้นเสียงหนึ่ง “คำสัญญาตอนนั้นว่าอย่างไร ตอนนี้จะทำอะไรเฟิ่งหวงน้อย?! คนผิดคำสัญญาคือเจ้า!”
เจ้าตำหนักใหญ่สูดลมหายใจเข้าลึก เป็นนานไม่กล่าวอันใด อาวุโสด้านหลังหลายคนกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าตำหนัก คนผู้นี้แต่ไรมาก็เป็นคนไม่สนใจหลักการเหตุผล ทำแต่เรื่องบ้าคลั่ง ปล่อยไว้จะเป็นภัย ไม่สู้จัดการเขาเสียวันนี้”
เขาค่อยๆ ส่ายหน้า อยู่ๆ ออกคำสั่งว่า “พวกเจ้าเข้าไปให้หมด พาบรรดาศิษย์ไปด้วย ข้ามีวาจาส่วนตัวกับเขา”
ทุกคนต่างตกใจ “เจ้าตำหนัก! ปล่อยคนผู้นี้ไปจะเป็นภัยใหญ่หลวง!”
เขาส่ายหน้า “รีบไปเร็ว!” ทุกคนได้แต่พาบรรดาศิษย์กลับเข้าประตูไป ปิดประตูลง หาดทรายพลันว่างเปล่า มีแต่เสียงลมพัดไม่หยุด ฝนพรำโปรยต้องตัวหนาวเหน็บ เจ้าตำหนักใหญ่ยืนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าก็มีความลำบากใจของข้า ซือเฟิ่งเป็นศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อ มีหน้าที่แบกรับความรับผิดชอบของเขา หนีไปตลอดย่อมไม่ใช่หนทาง”
หลิ่วอี้ฮวนยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “ข้ออ้าง! เจ้ามีความลำบากผายลมอันใด! ไม่ใช่ว่าอยากช่วยอู๋จือฉีออกมา ขอให้เขาคืนห่วงฟ้าเทียนจวินให้พวกเจ้าเท่านั้น! เรื่องนี้คนตำหนักหลีเจ๋อมากมาย ผู้ใดไม่อาจทำได้ เกี่ยวบ้าอะไรกับเฟิ่งหวงน้อยด้วย!”
เจ้าตำหนักใหญ่สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ราวกับตกใจ “เจ้าก็รู้เรื่องห่วงฟ้าเทียนจวิน!”
“เจ้าคิดว่าข้าโง่? อย่าพูดแทรก ตอนนี้พูดเรื่องซือเฟิ่ง คำสัญญาตอนนั้น เจ้าตัดสินใจฉีกมันทิ้งแล้ว?”
เจ้าตำหนักใหญ่นิ่งเงียบเป็นนาน จึงได้กล่าวว่า “เรื่องใหญ่สำคัญ คำสัญญาส่วนตัว ย่อมต้องไว้สุดท้าย ซือเฟิ่งมีฐานะสิบสองก้านปีก เจ้าตำหนักวันหน้าต้องเป็นเขาแน่นอน เรื่องตำหนักหลีเจ๋อไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจปัดความรับผิดชอบ ข้ากล่าวแค่นี้ เจ้าคิดเช่นไร เป็นเรื่องของเจ้า”
หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะเบาๆ “กล่าวเช่นนี้ คำสัญญาก็นับว่ายกเลิกแล้ว ดีมาก ดีมาก! ซือเฟิ่ง เจ้าคงได้รู้แล้วกระมัง ท่านพ่อเจ้าก็คือเจ้าตำหนักใหญ่ผู้นี้ ตอนยังหนุ่มใจกล้าไม่เบานะ!”
เขามองสีหน้าเจ้าตำหนักใหญ่เริ่มดำคล้ำ รู้ว่าเขากำลังหาโอกาสลงมือกับตนเอง จึงกล่าวอีกว่า “เจ้าจะฆ่าข้าย่อมง่ายราวพลิกฝ่ามือ แต่ยามนี้รอบๆ ไม่มีคน ไยไม่เล่าความลับหลายปีให้เขาฟังเล่า แม้ว่าซือเฟิ่งเป็นลูกเจ้า แต่ตอนนี้เขาโตแล้ว ควรมีสิทธิ์ได้รู้ชาติกำเนิดตนเองไหม”
[1] เฟิ่ง หมายถึงหงส์เพศผู้ หวง หมายถึงหงส์เพศเมีย เป็นเพลงที่ซือหม่าเซี่ยงหรูบรรเลงเพื่อกล่าวความในใจที่มีต่อจั๋วเหวินจวิน ต่อมาสำนวนนี้จึงมักใช้เปรียบเทียบชายหนุ่มจีบหญิงสาว