ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 19 รอนแรมตามหานับพันลี้ (3)
นางนึกถึงภาพเหตุการณ์มากมายตอนนางและเขาได้พบกัน และก็นึกภาพปฏิกิริยาเขาไว้หมื่นพันแบบ แต่คิดไม่ถึงเขาจะกล่าวเช่นนี้ ชั่วพริบตานั้นนางรู้สึกเพียงแค่หนึ่งปีกว่าที่ออกค้นหามานี้ราวกับแก้วผลึกที่แตกละเอียด กลายเป็นเรื่องไร้ความหมาย แม้แต่การมีอยู่ของนางก็ราวกับเป็นอุปสรรคขัดขวางอย่างมาก
เสวียนจีสูดลมหายใจเข้าลึก ลุกขึ้นคิดจากไป แต่อยู่ๆ พอนางนึกถึงช่วงเวลาเกือบสองปีมานี้ ความอดกลั้นและความเหงาของตนเอง เอาแต่ตามหาแต่กลับหาไม่พบ
ไม่ นางจะไม่ทำเหมือนตอนอายุสิบหก ที่จะมองเขาเดินจากไปโดยไม่ทำอะไร นางไม่อาจปล่อยเวลาไหลลอยไปดังสายน้ำไร้ค่าได้ นางไม่อาจปล่อยมือจากเขาไปง่ายๆ อย่างเด็ดขาด
“เจ้าโกหก” นางกล่าวเสียงแผ่ว “เจ้าจงใจทำให้ข้าโมโห ใช่ไหม”
อวี่ซือเฟิ่งอึ้งอยู่นาน ก่อนจะมีน้ำเสียงเหมือนถอนใจดังขึ้น “เสวียนจี…ข้าไม่ได้…” มือเขาค่อยๆ ยกขึ้นมาประคองแก้มนาง ปาดน้ำตาให้นาง
เสวียนจีลนลานหันหน้ากลับมากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ได้อะไร” ในใจนางขมวดตึง อดเปลี่ยนท่านั่งไม่ได้ ผู้ใดจะรู้ว่าพอขยับ แผลลวกที่ขาอยู่ๆ พลันปวดปลาบราวกับไฟแผดเผา เจ็บจนนางขนลุกชันไปทั้งตัว นางพลันหลั่งเหงื่อเย็นทั่วร่าง สีหน้าแปรเปลี่ยน
แผลน้ำลวกนี้มาอย่างไม่ใช่เวลาจริงๆ!
อวี่ซือเฟิ่งรีบจะเข้าไปตรวจบาดแผลให้นาง กลับถูกนางลนลานรั้งไว้ เขากล่าวเบาๆ ว่า “ข้าเพียงแค่ดูบาดแผลหน่อยว่าเป็นอย่างไร อย่ามัวปิดไว้ จะเป็นหนักยิ่งขึ้น”
เสวียนจีหน้าแดงส่ายหน้าอย่างแรง ลุกขึ้นเดินเก้กังไปสองสามก้าว ท่าทางเช่นนี้เหมือนตกใจเขินอายได้อย่างน่ารัก อวี่ซือเฟิ่งไม่อาจฝืนทนต่อไป เดินไปเลิกม่านไม้ไผ่ขึ้นก่อนออกคำสั่ง “มือซ้ายชั้นที่สอง จากทางขวาช่องที่สาม มียาทาแผลน้ำร้อนลวก”
นางรีบลนลานมุดเข้าไป เลิกกระโปรงขึ้นดูบาดแผล แผลนั้นอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ได้การจริงๆ น่องขาซ้ายแดงเป็นปื้น ทางขวายังมีรอยน้ำร้อนลวก เริ่มมีอาการตุ่มน้ำพอง เมื่อครู่นางยังไม่ทันได้ตั้งสติ ไหนเลยจะจำคำสั่งเขาได้ว่ายาอะไรอยู่ที่ไหน ดีที่ตัวนางพกยาสมานแผลสำนักเส้าหยางมาด้วย จึงได้สะกิดตุ่มน้ำให้แตกก่อน แล้วค่อยโปะยาลงไปหนาๆ พันแผลให้มิด
ตอนนี้นางจึงได้สติคืนมา นึกถึงว่าตนเองถึงกับถูกน้ำชาร้อนลวก ช่างเหมือนคนโง่เง่าจริงๆ อดรู้สึกขายหน้าไม่ได้ ไม่กล้าออกไปอยู่สักหน่อย นางมองไปรอบๆ ที่นี่น่าจะเป็นห้องนอนซือเฟิ่ง ที่นางนั่งอยู่น่าจะเป็นเตียงนอนเขา เสวียนจีรีบกระโดดขึ้นมาราวกับโดนของร้อน
ห้องนอนเขาว่างเปล่าเรียบง่ายเหมือนกับข้างนอก น่าจะตัดไม้มาต่อเป็นเตียงเอง ไม่มีรอยแกะสลักหรือขัดเงาสักอย่าง บนเตียงก็มีผ้าห่มสีครามเข้มพับไว้เรียบร้อย หัวเตียงมีพิณเจ็ดสายกับกระบี่ประจำกายเขาหลายเล่ม มุมกำแพงด้านหนึ่งยังตั้งวางชั้นใหญ่หลายชั้น อีกฝั่งมีชั้นหนังสือที่กองเต็มไปด้วยหนังสือ ตรงหน้าต่างมีโต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีพู่กัน หมึกและกระดาษจดหมายสองสามแผ่น บนกระดาษเหมือนมีรอยหมึก
เสวียนจีค่อยๆ เดินเข้าไป คว้าปึกกระดาษขึ้นมา เห็นด้านบนเขียนตำรับยาและชื่อคน ลายมือเรียบร้อยไม่หวัด ดูท่าหลันหลันบอกว่าปกติเขาเปิดร้านยาช่วยรักษาอาการป่วยและจ่ายยาคงเป็นเรื่องจริง บ้านอีกห้องข้างๆ น่าจะเป็นร้ายยาเล็กๆ ที่เขาเปิด
นางหยิบกระดาษสองสามแผ่นนั้นมาแนบใบหน้า สูดหายใจเข้าลึก กลิ่นน้ำหมึกเข้มยังคงมีกลิ่นสดชื่นของท้องทะเล เป็นกลิ่นกายของเขา กลิ่นกายของซือเฟิ่ง ที่นี่คือบ้านของเขา เป็นของเขาจริงๆ ในที่สุดนางก็หาเขาพบ
ในใจนางมีอารมณ์มากมายนับร้อยพัน แทบจะหลั่งน้ำตาออกมา พลันได้ยินด้านนอกมีเสียงร้องดังขึ้นว่า “ไอ้งูบ้านี่อย่างไรเนี่ย?! ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้?!” เป็นเสียงมกร นางรีบเลิกม่านไม้ไผ่วิ่งออกไป เห็นมกรบนคานนอกบ้านกำลังยืนโมโหฮึดฮัด ในมือคว้าเอางูสีเงินยวงส่องประกายวาว เสี่ยวอิ๋นฮวา ไม่ได้เจอกันปีกว่า มันโตขึ้นไม่น้อย ตัวหนาราวครึ่งท่อนขานางแล้ว ศีรษะมันถูกมกรคว้าไว้ในมือ ร่างมันพันลำแขนเขาอย่างอ่อนโยนนุ่มนิ่ม ไม่ว่าเขาสะบัด ดึง ลาก กระชาก ก็เอาไม่ออก เห็นชัดว่าสำหรับเสี่ยวอิ๋นฮวาแล้ว นี่เป็นอาการตื่นเต้นหลังจากไม่ได้เจอกันนานมาก มันคิดยึดเอามกรแน่แล้ว แม้ตายก็ไม่ยอมปล่อย
อวี่ซือเฟิ่งเดินเข้าไปตีเสี่ยวอิ๋นฮวาเบาๆ มันก็ยังเหมือนไม่อยากจะปล่อยมกร อิดออดก่อนจะมุดเข้าแขนเสื้อเจ้านาย เลื้อยตามเสื้อไปที่หัวไหล่เขา ก่อนจะโผล่หัววาววับออกมาจากอกเสื้อ แลบลิ้นเลียมกรทีหนึ่ง
“เอ๋? ที่แท้เจ้าอยู่นี่เอง!” พอมกรเห็นอวี่ซือเฟิ่งก็ตกใจเล็กน้อย ตามมาด้วยท่าทางผ่อนคลายทันที ก้าวเข้ามาในบ้านอย่างไม่เกรงใจ ร้องตะโกนดังขึ้นว่า “มีน้ำไหม ปีศาจน้อยที่กินไปเมื่อครู่มีพลังไฟไม่น้อย รู้สึกอึดอัดในปาก”
อวี่ซือเฟิ่งชี้ไปที่กาน้ำชาบนโต๊ะ มกรยกขึ้นกรอกพรวดเดียวก็หมดกา พลางขมวดคิ้วติดอ่าง “ขมตายชัก! ไม่อร่อยเลย!” ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ มองไปรอบๆ กล่าวอีกว่า “เจ้าอยู่ที่ซอมซ่อเช่นนี้มาตลอดหรือ ทำไมไม่กลับตำหนักหลีเจ๋อ”
อวี่ซือเฟิ่งเข้าไปในห้องครัวต้มน้ำร้อนใหม่อีกกา เปลี่ยนน้ำชาใหม่ออกมา จึงได้ตอบว่า “ข้าไม่ใช่คนตำหนักหลีเจ๋อแล้ว”
“น้อยหน่อย!” มกรโบกมือ “ข้าละเอียนพวกเจ้าแล้ว วันนี้บอกไม่ใช่คนที่นั่น พอพรุ่งนี้ก็กลับไปอีก!”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ครั้งนี้ไม่กลับไปแล้วจริงๆ ข้าตัดสินจะตั้งหลักแหล่งที่เมืองซีกู่นี่แล้ว เปิดร้านยาเล็กๆ รักษาผู้ป่วย ปลูกสมุนไพรเล็กๆ น้อยๆ ชีวิตสบายๆ เช่นนี้ดีมาก”
เขาเห็นเสวียนจีเดินออกมาจากห้องนอน ท่าเดินเหมือนโซเซอยู่สักหน่อย จึงกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “แผลน้ำร้อนลวกสาหัสไหม ยาบนชั้นนั่นแรงอยู่สักหน่อย อาจทำให้รู้สึกปวดได้ เดี๋ยวข้าไปเก็บสมุนไพรอีกสองสามอย่างมาผสม ความปวดก็จะบรรเทาลงได้หน่อย”
เสวียนจีรู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง จึงได้กล่าวว่า “ข้า…จำไม่ได้ว่าเจ้าบอกว่ายาอะไร ดังนั้นจึงใช้ยาสมานแผลสำนักเส้าหยาง ได้ไหม”
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้ากล่าวว่า “ยาสมานแผลกับยาแผลลวกไม่เหมือนกัน หากอยากให้แผลหายเร็ว คืนนี้ก็เปลี่ยนยาใหม่นะ”
มกรกล่าวแทรกขึ้นกล่าวว่า “คืนนี้? พวกเราอยู่ที่นี่? ใช่แล้ว เสวียนจี วันหน้าจะไปไหน คนก็หาเจอแล้ว เจ้าคงไม่คิดอยู่ต่อกระมัง”
คำถามนี้ถามเอาเสวียนจีหน้าแดงก่ำ นางเงียบอยู่เป็นนานก่อนจะคลำหาเก้าอี้นั่งลง กล่าวเบาๆ ว่า “ซือเฟิ่ง วันหน้าเจ้าคิดทำอะไร จะอยู่ที่นี่ตลอดไปจริงหรือ”
อวี่ซือเฟิ่งเหมือนมีความในใจ นางถามสองรอบ เขาจึงได้สติ ยิ้มกล่าวว่า “อืม ที่นี่ไม่เลว หากเป็นได้ ข้าจะอยู่ที่นี่ตลอดไป”
เช่นนั้นนางล่ะ นางทำอย่างไร เสวียนจีไม่ได้เอ่ยถาม จริงๆ แล้วดูจากการตกแต่งในห้องแล้วก็มองออกว่าเขาไม่ได้คิดจะอยู่ร่วมกับผู้อื่น แต่ไรมาไม่เคยคิดว่านางจะมาตามหาเขา นางอึ้งไป ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าออกมาตามหาเจ้า ตามหาได้ราวปีกว่าแล้ว เพราะในแดนจงหยวนนั้นหาเจ้าไม่เจอ ดังนั้นข้าจึงคิดออกไปตามหาเจ้าที่โพ้นทะเล ดูว่าจะมีโชคไหม คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอเจ้าที่นี่”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ไยต้อง…ตามหาข้า?”
เสวียนจีก้มหน้าเป็นนานไม่กล่าวอันใด น้ำเสียงนิ่งเรียบของเขาเช่นนั้นทำให้นางโมโหมาก เกือบสองปีมานี้ นางลำบากไปมากเท่าไร ไปมากี่แห่ง แทบจะทุกคืนที่ฝันถึงเขาจากนางไปจนน้ำตาท่วมหมอน ปรากฎเขากลับวาจาเย็นชาเช่นนี้ ไม่ใช่ว่านางเป็นดังคนโง่เสียเวลาเปล่าหรือ
ผลเช่นนี้ทำให้นางไม่พอใจ ไม่พอใจอย่างมาก!
อวี่ซือเฟิ่งไม่กล่าวอันใด ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาพลันลุกขึ้นเดินไปที่ประตูกล่าวว่า “พวกเจ้าพักที่นี่ก่อน ข้าขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรสักหน่อย หากหิว ในห้องครัวมีขนมที่ชาวบ้านให้มาเมื่อวาน”
พอมกรได้ยินคำว่าขนมก็รีบวิ่งเข้าไปในครัว มือหนึ่งคว้ามากำหนึ่ง กินอย่างเอร็ดอร่อย เสวียนจีอยู่ๆ ก็ลุกขึ้นกล่าวว่า “ข้าไปด้วย” อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้ากล่าวว่า “เจ้าอย่าขยับ แผลลวกไม่ใช่เรื่องเล็ก ดูแลไม่ดีก็อาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้”
“แผลเป็นก็เรื่องของข้า” เสวียนจีสะบัดเสียงใส่เขา
อวี่ซือเฟิ่งเงียบไป ได้แต่ทำมือเหมือนว่าตามใจ หันกายจากไป เสวียนจีทนเจ็บ กัดฟันไล่ตามออกไป มกรเองก็รีบตามพวกเขาออกไปดูเรื่องสนุก
ภูเขาที่เมืองซีกู่นี่ไม่สูง เตี้ยๆ เล็กๆ โอบล้อมหมู่บ้านเล็กๆ ไว้ตรงกลาง ขึ้นไปถึงยอดเขา ด้านหลังเป็นทะเลเวิ้งว้างกว้างไกล ข้ามทะเลไปก็ย่อมเป็นโพ้นทะเลในตำนาน ที่นั่นแท้จริงเป็นเช่นไร มีคนรู้น้อยมาก แม้ว่ามีการค้าไปมาสองฝั่ง แต่ไม่ใช่พ่อค้าทุกคนที่โชคดีได้ไปถึงโพ้นทะเลอย่างราบรื่น หลายคนตายระหว่างเดินทาง แม้เป็นเช่นนี้ ทุกเดือนก็ยังคงมีพ่อค้ามากมายเดินทางมาที่เมืองซีกู่เพื่อออกเดินทางสู่โพ้นทะเลแห่งนี้ ออกเดินทางเสี่ยงภัยด้วยความฝันหวานว่าจะร่ำรวย
ทั้งสามมาถึงเส้นทางเล็กๆ กลางเขา เดินไปอย่างช้าๆ แสงอาทิตย์สีทองอร่ามลอดผ่านกิ่งไม้ลงมา แวววาวราวกับผงทอง ลมภูเขาพัดโชยมา พากลิ่นดินและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของต้นไม้ใบหญ้า ยังมีกลิ่นเค็มอันเป็นเอกลักษณ์ของทะเลมาอีกด้วย ทำให้คนรู้สึกจิตใจสงบลงได้
ภูเขารกร้างย่อมไม่ได้มีทิวทัศน์งดงามแบบปัญญาชนนิยมอันใด หากมีต้นไม้พืชพันธุ์แปลกประหลาดขึ้นเต็ม ล้วนเป็นพืชพรรณที่ไม่เคยพบเห็น อวี่ซือเฟิ่งชี้มือไป พลางบอกพวกเขาว่านี่คือต้นพันงูเขียว ให้เมล็ดได้แบบข้าว เอามาทำแทนข้าวได้ รสชาติหอมหวานมาก นี่คือต้นตะขอเงิน[1] ตั้งชื่อนี้เพราะมีใบยาวเหมือนตะขอเงิน และต้นหญ้าเล็กๆ สีแดงสดทั่วผืนกว้างชื่อว่าต้นโคมไฟ[2] เอามาทำน้ำแกงทำให้ตาใส ลดความร้อนในตาได้
เสวียนจีเห็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้เห็นมากมายที่นี่ อดสนใจขึ้นมาไม่ได้ เพลิงโทสะในใจราวกับหายไปไม่น้อย พอขึ้นไปถึงเนินแห่งหนึ่ง เลี้ยวไปก็เห็นรั้วไม้ไผ่ ในรั้วนั่นปลูกสมุนไพรไว้มากมาย ทางตะวันออกมีสีเหลือง ทางตะวันตกมีสีเขียว สีสันหลากหลาย มีที่รู้จักและที่ไม่รู้จักก็มาก เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าก็รู้การแพทย์ด้วย พวกนี้เจ้าเป็นคนปลูกหรือ”
ในใจอวี่ซือเฟิ่งมีความสุขมาก กล่าวยิ้มๆ ว่า “เดิมข้าก็ไม่รู้อะไรสักอย่าง แต่วันนั้นข้าบาดเจ็บสาหัส อาวุโสเหอหยางช่วยข้าไว้ จากนั้นมาก็รู้สึกว่าการแพทย์มีประโยชน์ จึงสนใจลองศึกษาดู ตอนอยู่ที่สำนักเส้าหยางช่วงนั้น ข้าไปขอตำราแพทย์จากเหอหยางอาวุโสมาหลายเล่ม เจ้าไม่รู้หรือ”
นางไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อก่อนนางเอาแต่พึ่งพาเขา แต่ไรมาไม่เคยใส่ใจว่าเขาชอบอะไร ยามนี้เห็นเขามีความรู้เรื่องสมุนไพรลึกซึ้ง ดวงตาราวอัญมณีนิลส่องประกายเหมือนแตกต่างจากเมื่อก่อนสิ้นเชิง ราวกับเป็นคนละคน ซือเฟิ่งเอาแต่มีท่าทางไม่เบิกบาน ตอนนี้นางจึงได้รู้ ที่แท้เขาก็มียามตั้งใจและนิ่งสงบเช่นนี้ได้ ถึงกับลงมือตั้งใจทำเรื่องหนึ่งได้อย่างมีความสุข เห็นเขาตั้งใจเลือกสมุนไพร อธิบายละเอียดถึงสรรพคุณแต่ละชนิด ในใจเสวียนจีก็ทั้งยินดีทั้งใจหาย
อวี่ซือเฟิ่งเก็บสมุนไพรมาสามสี่อย่าง บรรจงลูบดินที่อยู่ออก ยกขึ้นส่องกับแสงอาทิตย์ มองอยู่ครู่หนึ่ง ชี้ไปที่ลายก้นหอยบนใบไม้กล่าวว่า “ดูนี่ หญ้านี่ก็คือหญ้าก้านหยกสามัญ ต้องใบแก่จึงจะมีลายก้นหอยบนใบ” เขากล่าวจบ อยู่ๆ ก็รู้สึกผิดปกติ จึงหันกลับไปมองเสวียนจี กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ขอโทษ เจ้าน่าจะไม่สนใจ”
เสวียนจีรีบส่ายหน้า “ไม่! น่าสนุกมาก! เจ้าพูดต่อสิ!”
อวี่ซือเฟิ่งได้แต่ยิ้มเล็กน้อย วางสมุนไพรเหล่านั้นลงในถุงผ้า กล่าวว่า “เสร็จแล้ว กลับกันเถอะ หน้าผากเจ้าเหงื่อเต็มเลย ต้องเจ็บมากเลยใช่ไหม” เขาใช้มือลูบเหงื่อบนหน้าผากให้นาง สัมผัสมือรู้สึกเพียงแค่ผิวละเอียดนุ่มลื่นของนาง ในใจพลันสั่นไหว รีบชักมือกลับ
ทั้งสองพลันเหมือนไร้วาจาจะกล่าว เสวียนจีนิ่งอึ้งไปเป็นนานจึงได้กล่าวว่า “ซือเฟิ่ง เจ้ายังคิดตำหนิข้าไหม”
เขาหลุบตาลง กล่าวเบาๆ ว่า “ไม่ แต่ไรมาข้าไม่เคยคิดตำหนิเจ้า”
เสวียนจีพึมพำกล่าวว่า “หนึ่งปีกว่ามานี้ ข้าออกค้นหาเจ้ามาตลอด ไปตำหนักหลีเจ๋อ ทุกคนล้วนบอกว่าเจ้าจากไปกับพี่หลิ่ว ผู้ใดก็ไม่รู้พวกเจ้าไปไหน หนึ่งปีกว่ามานี้ เจ้าอยู่ที่เมืองซีกู่มาตลอดหรือ เหตุใดอยู่ๆ จึงไปจากตำหนักหลีเจ๋อ คำสาปคู่รักยังไม่ถอน ทำไมเจ้า…”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เรื่องพวกนี้ไม่มีอะไรต้องพูดถึงอีก กลับกันก่อนเถอะ”
ในยามนั้นเสวียนจีร้อนใจขึ้นมา “อะไรเรียกว่าไม่มีอะไรต้องพูดถึงอีก มันสำคัญสำหรับข้ามาก! ข้าตามหาเจ้ามาเกือบสองปี ไม่ได้ต้องการมาฟังเจ้าบอกว่าไม่มีอะไรต้องพูดถึงอีก!”
อวี่ซือเฟิ่งพลันเงยหน้ามองตานาง แววตาเขาทำเอาในใจนางสั่นไหว อดคิดอยากถอยกลับไม่ได้ เขากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ประการแรก ข้าไม่ได้ให้เจ้ามาหาข้า ประการที่สอง เรื่องข้า ข้าไม่คิดกล่าวมากความ”
เขาเย็นชาจนราวกับก้อนน้ำแข็งพันปี เสวียนจีรู้ว่านิสัยเขามีความเย็นชาอยู่สายหนึ่ง หากแต่ไรมาเขาล้วนมีสีหน้าใจดียามอยู่กับนาง ตอนนี้เขาใช้สีหน้าราวน้ำแข็งพันปีกันคนให้ออกห่างจากเขากับนาง ทำเอานางตัวแข็งทื่อ สั่นเทาตั้งแต่จิตใจจนถึงลำคอ
อวี่ซือเฟิ่งมองนางครู่หนึ่ง กล่าวอีกว่า “ไปกันเถอะ พระอาทิตย์ใกล้ลับแล้ว กลางคืนหนาว”
เสวียนจีสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง น้ำตาเกือบจะทะลักออกมาแล้ว อยู่ๆ ก็ฮึดขึ้นเสียงหนึ่ง ล้มลงกับพื้นสั่นเทาไปทั้งตัว อวี่ซือเฟิ่งหันกลับไปเห็นนางน่าสงสารเช่นนี้ ในใจยามนั้นก็อ่อนยวบ รีบเดินเข้าไปหา กล่าวอ่อนโยนว่า “ทำไมหรือ เจ็บแผล?”
นางกัดริมฝีปากไม่กล่าวอันใด อวี่ซือเฟิ่งถอนใจกล่าวว่า “เดินไม่ไหวหรือ ก็บอกแล้วว่าเจ้าอย่าฝืนตามมา” เขารั้งเอวนางไว้กำลังจะอุ้มขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ไม่ทันระวังถูกนางกอดคอเอาไว้แน่น กดศีรษะจมอยู่ในอ้อมอกเขา ไม่พูดไม่จาสักคำ เขายืนนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก็ถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “เสวียนจี…ท่านี้ลำบากมากนะ”
นางสะอื้นกล่าวว่า “ข้า ข้ายิ่งลำบาก!”
เสื้อผ้าตรงหน้าอกเขาเปียกชื้นไปด้วยน้ำตานางอย่างรวดเร็ว ครู่หนึ่งร้อน ครู่หนึ่งเย็น รับรู้ถึงการมีอยู่จริงของดรุณีน้อยในอ้อมกอด บางทีในฝันลึกที่สุดของเขาก็จะฝันเห็นภาพเช่นนี้ นางขึ้นเขาลงห้วยมาตามหาเขาและกอดเขาไว้เช่นนี้ อย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือ แต่ความฝันก็คือความฝัน ความจริงก็คือความจริง พอนางมาจริงๆ แล้ว เขากลับทำอะไรไม่ถูก
ไม่เคยนึกตำหนินางจริงหรือ หากในใจเขาไม่มีความแค้นใจ จะใช้วาจาเสียดแทงทำร้ายนางได้อย่างไร จากนั้นยังกลับหันมาแทงใส่ตนเองให้ต้องเจ็บปวดใจตามไปด้วย เขาไม่อาจไม่ยอมรับว่าเขาทั้งรักทั้งแค้นนาง แค้นที่นางไม่เข้าใจในรัก รั้งให้เขาอยู่อย่างเอาแต่ใจ แล้วยังมองเขาจากไปอย่างเอาแต่ใจ นี่ยังมาไล่ตามอย่างเอาแต่ใจต่ออีก
ชีวิตเขาถูกนางก่อกวนจนเละเทะไปหมด รอยยิ้มนางทำให้คนเบิกบานสดชื่นดุจดั่งอาบลมในฤดูใบไม้ผลิ แต่จริงๆ แล้วนางเป็นลมกรรโชกที่แสนโหดร้าย เขาถอยก้าวหนึ่ง นางก็ก้าวเข้ามาอีกก้าวหนึ่ง ฉีกทำลายทุกอย่างที่เขามี ไม่ให้เขาได้พักหายใจ นางฉีกกระชากเขาเป็นชิ้น กลืนกินเขา ครอบครองเขาไว้ทั้งหมด
อวี่ซือเฟิ่งเงียบงันไปนาน ก่อนจะประคองท้ายทอยนางไว้ กอดนางไว้ในอ้อมกอดแน่น ริมฝีปากเย็นประทับลงบนหน้าผากนาง กล่าวเสียงนุ่มละมุนแผ่วเบาว่า “เหตุใดเจ้าต้องมาด้วย”