ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 21 บุปผาผลิบาน (1)
เสวียนจีนึกสนุกขึ้นมา ยกเท้าออกวิ่งตามเข้าไปในป่าทันที เหินกระบี่หายไปในพริบตา พริบตาเดียวก็ไปถึงด้านหลังนกใหญ่ตัวนั้น ยกมือจะจับมัน ผู้ใดจะรู้ว่านกนั่นถึงกับว่องไวมาก กระพือปีก เอี้ยวตัวหลบทัน เสวียนจีเห็นขนมันขาวราวหิมะ สองตาราวถั่วแดง สีแดงจัดมาก และนี่ไม่ใช่นกสักหน่อย! นางเข้าไปมองใกล้จึงพบว่ามันคือหนูยักษ์สีขาวราวหิมะที่มีเนื้องอกบินขึ้นมาได้!
นางเคยเห็นในสมุดรายชื่อปีศาจ ชื่อว่าหนูอัคคี ว่ากันว่าปกติอาศัยในกองไฟ เป็นพวกสัตว์มีค่าหายากยิ่ง ที่พิเศษที่สุดก็คือ หากเอาขนมันมาทำเสื้อผ้าได้ก็ไม่ต้องซักน้ำ ที่ไหนสกปรกก็โยนลงกองไฟเผาครู่หนึ่ง พอเอาออกมาอีกที ก็สะอาดราวกับของใหม่
หนูอัคคีตัวนี้ดูแล้วน่าจะตัวไม่ใหญ่มาก ไม่รู้ว่ามันมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ได้อย่างไร เสวียนจีไม่ทันได้คิดอะไร เห็นมันกระพือปีกจะบินหนี ก็พลิกฝ่ามือจะคว้ามัน ครั้งนี้แตะโดน แต่กระชากได้เพียงขนเส้นเดียว การเคลื่อนไหวของหนูอัคคีเร็วจนน่าตกใจ ส่งเสียงร้องจี๊ดๆ พริบตาก็กระโจนบินออกไปสิบกว่าจั้ง
เสวียนจีตัดใจใช้กระบี่แทงมันไม่ลง เพราะเกรงว่าขนมันจะไม่สวย และมันไม่กลัวไฟ ใช้ไฟเผาก็ยิ่งเพิ่มพลังมารปีศาจให้มัน นางพลันยกมือลูบที่เอว ตรงนั้นมีถุงน้ำแขวนอยู่ถุงหนึ่ง อยู่ๆ พลันนึกได้ สองมือผนึกแน่น ค่อยๆ ปล่อยมังกรเพลิงสองสายล้อมหนูอัคคีไว้ตรงกลาง วนเวียนล้อมรอบตัวมันไว้
หนูอัคคีไม่กลัวแม้แต่น้อยดังคาด มารปีศาจท่ามกลางกองไฟยิ่งทวีพลัง ยิ่งบินเร็ว มังกรเพลิงสองสายตามมันไปติดๆ แต่ไม่ได้คิดทำร้ายมันแม้แต่น้อย ราวกับมังกรคู่ล้อมเล่นไข่มุกตรงกลาง เสวียนจีไล่ตามไปอย่างเร่งรีบ สองนิ้วเรียกคืนมังกรเพลิง ตามมาด้วยปลดถุงน้ำออก ราดลงไปบนหัวมันพอดี
หนูอัคคีหลบไม่ทัน ถุงน้ำทั้งถุงราดรดลงบนหัวมันพอดี ส่งเสียงจี๊ดๆ ดังสองเสียง จากนั้นก็ร่วงลงจากท้องฟ้า เสวียนจีดีอกดีใจมากกับผลที่ทำสำเร็จ ที่แท้สมุดรายชื่อปีศาจมีบันทึก หนูอัคคีใช้วิธีสังหารปกติไม่ตาย แม้ตาย ผ่านไปครู่หนึ่งก็จะคืนชีพหนีอีก ได้แต่รอให้มันอยู่ในกองเพลิงแล้วรอให้มันออกมาจากกองเพลิง แล้วก็ราดน้ำใส่มันทันที ราดทีเดียวก็ตาย
คิดไม่ถึงยามนี้นางมั่วไปมาก็จับหนูอัคคีล้ำค่าได้ตัวหนี่ง หากเอาหนังมันไปขายข้างนอก ราคาหาค่าไม่ได้เลยทีเดียว! เสวียนจียกชูหนูอัคคีพลางร่อนลงพื้นอย่างดีอกดีใจ หันไปมองเงาร่างชุดครามของอวี่ซือเฟิงกระสับกระส่าย ดูราวกับกำลังร้อนใจหาอะไรอยู่ นางรีบโบกมือตะโกนเรียก “ซือเฟิ่ง! เจ้ามานี่เร็ว! ดูข้าจับอะไรได้!”
ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็พุ่งมาในพริบตา สีหน้าเขียวคล้ำ สองตาดำยิ่งกว่าหมึกดำ ไม่กล่าวอันใด เอาแต่จ้องมองนาง เสวียนจีตกใจกับท่าทางของเขามาก รอยยิ้มมุมปากก็อดตกลงไม่ได้ ชี้ไปที่หนูอัคคีงึมงำว่า “เจ้า…เจ้าดู นี่คือ…หนูอัคคี…”
อวี่ซือเฟิ่งมองนางไม่กะพริบตา เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “เจ้า…วิ่งออกไปคนเดียว ไม่บอกสักคำ เพื่อจับเจ้าตัวนี้หรือ”
เสวียนจีพยักหน้างงๆ ในใจนางเริ่มมีเค้าลางไม่ดี แต่ยังหาเหตุไม่เจอ เขากำลังโมโห และโมโหมาก แต่ประเด็นคือนางไม่รู้ว่าเขาโมโหทำไม
อวี่ซือเฟิ่งมองนางครู่หนึ่ง อยู่ๆ ก็หัวเราะหึๆ หันกายจากไป เขาเหมือนคนโง่เง่าจริง ไม่ใช่หรือ จิตใจเขาย่ำแย่จนไม่อาจสงบใจได้ เขาไม่ได้ตั้งใจเย็นชาใส่นาง เพียงแต่พอรู้ตัว นางก็ไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้ว เขาคิดว่านางเห็นตนเองคุยกับหลันหลันแล้วไม่สบายใจ ดังนั้นจึงรีบออกตามหานาง แต่เขาผิดอีกแล้ว ที่แท้นางไม่ใส่ใจ ที่แท้นางยังคงเหมือนเดิม…ไร้ใจ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดยังต้องลำบากออกตามหา บอกเขาว่านางตามหามาเกือบสองปี ทำให้ใจที่มอดดับของเขาเริ่มแผดเผาใหม่อีกครั้ง
เขาควรเข้าใจได้นานแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร นางก็ไม่มีเขาในใจ ขอเพียงเขาเป็นเพื่อนนาง ไม่ทำให้นางต้องโดดเดี่ยวเดียวดายก็พอ นางเหมือนใยไหมที่สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด ไม่มีจุดหมาย ไม่รู้จักรัก รู้แต่ตามติดเขา กอดเขา ดึงเขาให้จมลึกลงไป
นางช่างเป็นมารของเขา ทำให้เขามีชีวิตก็เหมือนตาย ความหวังเต็มเปี่ยมก็กลายเป็นสิ้นหวัง
“ซือเฟิ่ง!” นางเรียกเขาเสียงอ่อนยวบ ท่าทางอ่อนแอราวกับช่วยเหลือดูแลตัวเองไม่ได้
เขาเหมือนเห็นผี คิดจะหาที่หลบ แต่ในหัวอยู่ๆ ปวดปลาบขึ้นมาทันที น้ำรสชาติคาวเฝื่อนร้อนแรงสายหนึ่งก็ไหลออกจากมุมปาก เขาไม่อาจทรงตัวได้อีกต่อไป หงายหลังล้มตึงลงทันที ข้างหูได้ยินเสียงนางตะโกนลั่น จากนั้นเขาก็ตกเข้าสู่อ้อมกอดแสนอบอุ่น พยายามดิ้นรนอย่างยากเย็น รู้สึกเพียงแค่สองแขนนางกอดเขาไว้แน่น แนบหน้าเข้ากับใบหน้าเขา น้ำตาเค็มฝาดร่วงลงบนริมฝีปากเขา
เขายกมือคว้าข้อมือนางไว้ น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ข้า…ไม่อยากพบเจ้าอีก…เจ้ารีบไปเสีย!” กล่าวจบ เบื้องหน้าก็พลันดับวูบ หมดสติไปทันที
*****
ตอนแรกอวี่ซือเฟิ่งรู้สึกหนาวมาก ราวกับร่างเปล่าเปลือยนอนอยู่บนพื้นน้ำแข็ง หนาวจนร่างเขาแข็งไปทั้งตัว เลือดในร่างเหมือนกลายเป็นน้ำแข็ง ผ่านไปครู่หนึ่ง ลมหิมะพลันกลายเป็นหน้าร้อนที่ร้อนแรง ดวงอาทิตย์ราวดวงไฟเผาจนผิวหนังเขาแทบแยกออกเป็นชิ้น ร่างเหมือนมีไฟเผาอวัยวะภายใน เจ็บปวดทรมานจนไม่อาจกล่าวเป็นวาจา
ในวินาทีนั้นราวกับได้เห็นเจ้าตำหนักใหญ่มายืนอยู่ตรงหน้า ส่งยิ้มบางให้เขา เรียกเขาอ่อนโยนว่า “ซือเฟิ่ง มาหาพ่อทางนี้ หญิงนั่นคือมารร้ายของเจ้า ทิ้งนางเสีย! พ่อจะมอบทุกอย่างให้เจ้า เจ้าจะต้องไม่เป็นไร!”
เขารู้สึกท่วมท้นในใจ ก้าวเข้าไปเรียกท่านพ่อ เจ้าตำหนักใหญ่สีหน้าพลันเปลี่ยน ราวกับตอนเขาดื่มยาถอนคำสาปคู่รักลงไปตอนแรก ใช้สายตามองเขาราวคนแปลกหน้า น้ำเสียงเย็นชากล่าวว่า “เจ้าคือใคร ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา” เขาเริ่มตกใจ คนตรงหน้าพลันเปลี่ยนไปอีก เงาร่างอรชร จากนั้นก็เลือนรางอย่างที่สุด ผมยาวปักปิ่นครุฑหยกมรกต
สตรีผู้นั้นผายมือออก น้ำเสียงอ่อนโยนกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง มานี่ ให้แม่ได้มองดูเจ้า”
เขาเอื้อมมือออกไปคิดไขว่คว้านาง นิ้วมือแตะโดนแขนเสื้อนาง นางก็พลันสลายกลายเป็นหมอกควันหายวับไปอย่างไร้เงา เขาร้อนใจมองไปรอบกาย ตะโกนเรียกเสียงดัง รอบๆ กลับเป็นหมอกปกคลุมเลือนราง มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง แขนเขาอยู่ๆ ก็ถูกคนใช้แรงกระชากไว้ กำลังมือแรงมาก เจ็บจนเขาตกใจสะดุ้ง
ภาพใบหน้าองอาจสง่าแบบบุรุษลอยอยู่ตรงหน้า แต่มีรอยแผลเป็นสีแดงถากยาวบนใบหน้า ทำให้คนผู้นั้นดูแล้วอัปลักษณ์อยู่บ้าง คนผู้นั้นดึงเปียตนเล่น พลันเงยหน้ามองเขา สายตาราวสายฟ้าเยียบเย็น กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เชอะ! ห่วงฟ้าเทียนจวินมอบให้พวกเจ้าก็ได้! แต่บัญชีแค้นพันปีก่อน ช้าเร็วข้าต้องมาคิดบัญชีกับพวกเจ้า!”
เสียงจบลง ทุกสิ่งตรงหน้าราวกับว่างเปล่า รอบกายเงียบกริบ เขายืนงงอยู่นาน พลันได้ยินเสียงสะอื้นไห้ดังมาจากที่ไกลออกไป ตามมาด้วยรู้สึกว่าเขาราวกับถูกกอดเอาไว้ ได้กลิ่นที่คุ้นเคยอ่อนๆ แตะจมูก ความว่างเปล่าตรงหน้าพลันราวกับกระแสน้ำที่ไหลย้อนกลับ อวี่ซือเฟิ่งขยับอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ภาพตรงหน้าก็คือม่านมุ้งสีเขียวในห้องนอนเขาเอง
เขาถูกกอดไว้ในอ้อมกอดจริง ศีรษะหนุนอยู่ที่หน้าตักคนผู้นั้น ใบหน้าเปียกชื้น ยังมีหยาดน้ำตาไหลไม่หยุด เขาฝืนยกศีรษะขึ้น มองเห็นใบหน้าขาวราวหิมะของเสวียนจีใกล้แค่เอื้อม สองตานางร้องไห้จนบวมแดง นางยังไม่หยุดร้องไห้ พอเห็นเขาฟื้นขึ้นมา นางก็ลนลานสีหน้าแปรเปลี่ยน น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง! เจ้า เจ้า เป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหนไหม”
อวี่ซือเฟิ่งมองนางเงียบๆ หวนนึกถึงเรื่องเมื่อก่อน รู้สึกเพียงแค่เหนื่อยล้าอย่างที่สุด เป็นนานก่อนจะกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เหตุใดยังไม่ไป ไยต้องอยู่ต่อ”
เสวียนจีน้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ข้าไม่ไป! ไม่ไปเด็ดขาด! ข้าตามหามาตั้งนาน ในที่สุดก็หาเจ้าเจอ ถึงตายข้าก็ไม่ไป!”
เขาหัวเราะเฝื่อนๆ กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าไม่ไป คนที่ตายก็มีแต่ข้า…”
เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่บัดเดี๋ยวร้อน บัดเดี๋ยวหนาว ดวงใจครู่หนึ่งปืนขึ้นที่สูง ครู่หนึ่งจมสู่เหวลึก นางไม่เคยเจ็บปวดไร้สิ้นหนทางเช่นนี้มาก่อน ปีกว่ามานี้ ห้าร้อยกว่าวันคืน แลกมาไม่ใช่ความสุขได้เคียงคู่กัน บางทีแต่ไรมาเขาไม่เคยรอคอยการปรากฏตัวของนาง นางยังคงไร้เดียงสาเหมือนเดิม คิดว่าขจัดอุปสรรคทั้งหมดก็จะได้อยู่เคียงคู่กันอย่างมีความสุข ขอเพียงนางตามหาเขาเจอ เขาก็ต้องกลับมา
นางผิดแล้ว ผิดอย่างสิ้นเชิง
แต่ไรมานางไม่เคยเข้าใจเขาเลย อาศัยเพียงแค่ความพอใจของนางไปตัดสินเขา ขอร้องเขา เขาถึงกับมีนิสัยแข็งกร้าวอย่างที่สุด ทันทีที่บาดเจ็บก็จะผลักไสนางออกไปให้ไกลนับพันลี้ ระหว่างเขาสองคน เขาชินกับการรุกก่อน แต่นิสัยแท้จริงอวี่ซือเฟิ่งไม่ได้ดื้อดึงแม้แต่นิด นอกจากนางมอบให้ทั้งหมด ไม่เช่นนั้นเขาย่อมถอยห่างและหลบซ่อน
เสวียนจีค่อยๆ กำมือแน่น กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “หากเจ้าต้องการตาย ข้าก็จะตายตามเจ้า อวี่ซือเฟิ่ง เจ้าอย่าคิดหนีข้า” นางอยู่ๆ ก็ชักกระบี่เปิงอวี้ออกมาปาดแขนนางอย่างแรง เลือดสดพุ่งออกมาราวน้ำพุ เลือดกองโตกระเซ็นใส่ใบหน้าเขา ทำเอาเขาตกใจสุดขีด
เสวียนจียกมุมปาก กล่าวเบาๆ ว่า “คำสาปคู่รักเจ้ากำเริบครั้งหนึ่ง ข้าก็จะฟันตัวเองสามแผล ดูว่าผู้ใดตายเร็วกว่า” กล่าวจบก็ยกกระบี่เปิงอวี้ ปาดลงไปยังแขนอีกข้างเต็มแรง เสร็จแล้วยังจะปาดที่ขาอีกแผล แต่ถูกแรงหนึ่งยึดด้ามกระบี่ยับยั้งพฤติกรรมน่ากลัวของนางไว้
“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!” สีหน้าเขาซีดเผือด แย่งกระบี่เปิงอวี้มาโยนลงพื้น น้ำเสียงแหบพร่ากล่าวว่า “อย่าเห็นความเป็นความตายเป็นเรื่องเด็กเล่น!”
เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่ได้เห็นเป็นเรื่องเด็กเล่น! คนที่ไม่ตั้งใจจริงจังก็คือเจ้า! แต่ไรมาเจ้าไม่เคยเชื่อข้า ตัดสินใจข้าด้วยตัวเจ้าเอง เจ้าไม่เคยมองเห็นความพยายามของข้าแม้แต่น้อย พอข้าแค่ผ่อนกำลังลงเพียงแค่เล็กน้อย เจ้าก็จะคว้าไว้ไม่ยอมปล่อย คนที่ควรเติบโตแท้จริงแล้วคือผู้ใดกันแน่?!”
อวี่ซือเฟิ่งอึ้งมองนาง ราวกับนางเป็นคนแปลกหน้า เสวียนจีกล่าวอีกว่า “แต่ไรมาข้าก็ตัวคนเดียว แต่เล็กจนโต ชาติก่อนมาชาตินี้ ต่อมาในที่สุดก็มีคนคนหนึ่งทำให้ข้ารู้สึกว่าความโดดเดี่ยวนั้นมันน่ากลัวมาก ข้าคิดเติบโตไปพร้อมกับเขา เดินไปด้วยกันตลอดนิรันดร์ ข้าตามหามาห้าร้อยว่าคืนวัน หากยังไม่อาจทำให้ใจเจ้าหวั่นไหวได้บ้าง เช่นนั้นเจ้าก็จากไปได้ ข้าจะหาต่อ สิบปี ยี่สิบปี! ต้องนานเท่าไรเจ้าจึงจะพอใจ? แท้จริงแล้วนานเท่าไรเจ้าจึงจะยอมกล่าวกับข้าสักคำว่า ลำบากเจ้าแล้ว ข้ารอเจ้ามานานแล้ว?!”
น้ำตานางพลันร่วงหล่น แก้มขาวราวหิมะเต็มไปด้วยรอยโลหิตเปื้อนหลายจุด ผสมกับน้ำตาไหลรดลงมายังคาง นางพลันกุมปิดหน้าน้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “หรือจะบอกว่า จริงๆ แล้วเจ้าไม่อยากเจอข้าจริงๆ? เช่นนั้นเจ้าบอกข้าสักคำ ฉู่เสวียนจี ข้ารำคาญเจ้าจะตายแล้ว เจ้ารีบไปให้พ้นสายตาข้า ข้าก็จะหายตัวไปแต่โดยดี วันหน้าก็จะไม่มารบกวนเจ้าอีก”
นางปิดหน้าร้องไห้อยู่นาน รู้สึกเพียงแค่ร่างนางเริ่มไร้สติ แผลลวกบนต้นขา แผลบาดลึกบนแขน อยู่ๆ ก็กระตุก เจ็บจนนางหลั่งเหงื่อเย็นเต็มแผ่นหลัง แทบจะซึมออกมานอกเสื้อผ้า นางเหมือนฝืนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ค่อยๆ เอนตัวลงพิงหลัง พลันใต้สองแขนนางถูกลำแขนเกี่ยวดึง นางถูกอ้อมแขนผู้ชายตรงหน้ากอดเอาไว้แน่น แน่นจนแทบหายใจไม่ออก
“เด็กโง่…” เขาแนบชิดใบหูนาง น้ำเสียงอ่อนโยน “ข้ารอเจ้ามานานแล้ว เจ้ามาช้ามาก ข้าโมโหมาก”
เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่ราวกับตกอยู่ในห้วงฝัน พลันได้สติคืนมา ยกมือกอดเขาไว้แน่น ร้อนใจกล่าวว่า “ทำไมเจ้าเพิ่งพูด! เจ้าคนไม่ดี! ก่อนหน้าทำไมไม่คิดพบข้า เหตุใดพูดจายากรับฟังเช่นนั้นออกมา?!” น้ำตานางไหลร่วงลงมาเป็นสาย คิดถึงอารมณ์ถูกรังแกก่อนหน้า ในใจนางก็พลันแทบถูกฉีกกระชากออก
เขากดท้ายทอยนางไว้ ก้มหน้าลงบรรจงจุมพิตหน้าผากนาง นิ้วมือปาดน้ำตาให้นางเบาๆ สุดท้ายกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เพราะข้ากลัว…เสวียนจี ข้าเองก็กลัวเป็น”
กลัวนางจะปล่อยมือง่ายดายอีก กลัวนางไม่เข้าใจอะไรที่เรียกว่าความรัก เทียบกับพวกนี้แล้ว ยังไม่สู้ตัดสัมพันธ์กับนางให้เด็ดขาด เจ็บระยะยาวไม่สู้เจ็บระยะสั้น
เขากอดนางไว้แน่น กอดนั้นแน่นจนทำให้นางแทบไม่อาจหายใจ นางหลับตาลง พึมพำกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง…พวกเราจะไม่แยกจากกันตลอดไป ดีไหม มีเพียง…พวกเราสองคน” ขอบตาเขาร้อนผ่าว น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ดี พวกเราจะไม่แยกจากกันตลอดไป”