ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 26 บุปผาผลิบาน (6)
ห้องโถงกลางกำลังชนจอกดื่มสุรากันครื้นเครง ตอนกำลังครึกครื้นอย่างที่สุด บรรดาหนุ่มสาววิ่งไปก่อกวนห้องหอกันหมด พวกอาวุโสเช่นฉู่เหล่ยต่างดื่มสุราสนทนากันต่อในงานเลี้ยง เห็นเสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งมา ตงฟางชิงฉีเป็นคนแรกที่กวักมือเรียก “เสวียนจีน้อย! ซือเฟิ่ง! มานั่งมา! เด็กผู้หญิงใจกล้ามากนะ ไม่พูดไม่จาก็หนีออกจากบ้าน ไปทีเดียวก็สองปี ท่านพ่อท่านแม่เจ้าเป็นห่วงจนผมขาวหมดแล้ว!”
เสวียนจีรู้สึกเก้อเขิน ยกจอกสุราขึ้นเอาแต่ยิ้ม ตงฟางชิงฉีกล่าวอีกว่า “วันนี้เป็นวันมงคลพี่สาวเจ้า พวกเราได้มาดื่มสุราจอกนี้ แล้วเมื่อไรจะได้ดื่มสุรามงคลของเจ้ากับซือเฟิ่งล่ะ” กล่าวจบทุกคนพากันหัวเราะดัง เสวียนจีหน้าแดงไม่ตอบ แอบมองไปทางฉู่เหล่ย ไม่รู้เขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นไร เห็นสีหน้าเขายังคงนิ่งไร้คลื่นลม ไม่ยิ้มและไม่โมโห ในใจอยู่ๆ พลันสลดลงทันที
ดูท่าพวกเขายังไม่อาจยอมรับเรื่องที่ซือเฟิ่งเป็นปีศาจได้ คนนอกอาจไม่เจ็บปวด ยกมาคุยหยอกเย้าได้ แต่ท่านพ่อท่านแม่ย่อมไม่เห็นด้วยที่บุตรสาวตนจะไปปะปนอยู่กับปีศาจ คิดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกอึดอัดเริ่มนั่งไม่ติดขึ้นมาอย่างไม่อาจระงับ
พวกที่มองออกเห็นท่าทีฉู่เหล่ยก็เข้าใจได้ รีบพากันไปดื่มอวยพรที่โต๊ะอื่นต่อ ให้พวกเขาพ่อลูกได้มีเวลาส่วนตัวคุยกัน ฉู่เหล่ยยกกาสุราขึ้นรินให้อวี่ซือเฟิ่งจอกหนึ่ง ทั้งสองดื่มกันเงียบๆ ไปจอกหนึ่ง เป็นนานฉู่เหล่ยจึงได้กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ซือเฟิ่ง ตำหนักหลีเจ๋อทางนั้น…” วาจาเขาไม่ทันกล่าวจบ หากแม้แต่คนโง่ก็ย่อมเข้าใจความหมายของเขา
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเบาๆ ว่า “ผู้น้อยไม่ใช่คนตำหนักหลีเจ๋อแล้ว วันหน้าก็ย่อมไม่ใช่”
ฉู่เหล่ยไม่กล่าวอันใด เป็นนานจึงกล่าวอีกว่า “วันหน้าเจ้าคิดการเช่นไร พวกเจ้าหนุ่มสาวจะออกไปรอนแรมกันลำพังต่อไปหรือ”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มบาง กล่าวอ่อนโยนว่า “ผู้น้อยมีความสนใจเรื่องสมุนไพร ตั้งปณิธานว่าจะเป็นหมอ”
ฉู่เหล่ยส่ายหน้า ถอนใจกล่าวว่า “หนุ่มสาวควรมีปณิธาน แม้ไม่อาจทำการใหญ่ อย่างน้อยก็พอบุกเบิกแสวงหาอะไรมาได้บ้าง การละทางโลกไปเลยเป็นพวกขี้ขลาดอ่อนแอ”
วาจาพูดได้บาดหู เสวียนจีบีบจอกสุราแทบแตก สีหน้าบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวซีด ฉู่เหล่ยกลับทำเหมือนไม่เห็นท่าทางนางเช่นนี้ ไม่สนใจปฏิกิริยาตอบสนองนางแม้แต่น้อย อวี่ซือเฟิ่งแอบกดมือนางใต้โต๊ะเอาไว้ ตบเบาๆ สองทีแสดงการปลอบใจ กล่าวอย่างไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่า “แม้เป็นกิจการรากฐานร้อยปี แต่อย่างไรก็ย่อมมีวันน้ำมันมอดหมด ผู้น้อยบังอาจกล่าวว่า คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ คิดแต่เรื่องอิสระเสรี ผู้น้อยไม่ได้มีใจคิดสร้างตำหนักหลีเจ๋อแห่งที่สอง วันหน้าก็ย่อมไม่”
ฉู่เหล่ยมองเขาพลางไตร่ตรองครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ซือเฟิ่ง ข้าเคยคิดว่าเจ้าจะเป็นคนทำการใหญ่ได้”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “ผู้อาวุโสชื่นชมผิดแล้ว เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ร้อยปีผ่านไปก็ล้วนราวกับหมอกควันที่เลือนหายไปก็เท่านั้น”
ราวกับกระทบใจฉู่เหล่ย เขาคิดครู่หนึ่ง จึงได้กล่าวว่า “ท่านถิงหนูก็กล่าวเช่นนี้ เจ้าอายุยังน้อย กลับคิดได้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่ง่ายเลย”
กล่าวถึงถิงหนู ในที่สุดเสวียนจีก็อดกล่าวแทรกขึ้นไม่ได้ “ท่านพ่อ ถิงหนูอยู่ไหน ทำไมไม่เห็นเขา”
ฉู่เหล่ยกล่าวว่า “หนึ่งปีก่อนเขาไปจากสำนักเส้าหยางแล้ว เห็นว่ากลับไปชายฝั่งทะเลตงไห่ พวกเราเห็นเขาตัดสินใจแล้ว จึงไม่ได้รั้งไว้”
ชายฝั่งทะเลตงไห่? บ้านเกิดถิงหนู? ที่แท้เขาก็ไปแล้ว เสวียนจีพลันรู้สึกเหงาอย่างประหลาด มกรไปแล้ว ถิงหนูไปแล้ว พี่หลิ่วก็ไม่ยอมมา มองดูสภาพน่าประหลาดนี้แล้ว น่าจะใกล้หายตัวไปแบบไร้ร่องรอยแล้ว ที่กล่าวว่าทุกคนจะอยู่ร่วมกันตลอดไป เป็นได้แต่ความฝันเท่านั้นจริงๆ
ก็เหมือนเช่นงานเลี้ยงครึกครื้นในยามนี้ ไม่ว่าทุกคนครื้นเครงกันเท่าไร สุขสันต์กันเท่าไร สุดท้ายก็ต้องเลิกรากลับไปยังโลกของตนเอง แต่ละคนล้วนมีโลกของตนเอง โลกของนางอยู่ไหนกัน เสวียนจีเงยหน้ามองอวี่ซือเฟิ่ง เขากำลังยิ้มสนทนาอยู่กับฉู่เหล่ย ใช่แล้ว โลกของนางก็คือที่นี่ ก็คือเขา
อยู่ๆ นางก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที กำลังจะรินให้ตนเองดื่มอย่างมีความสุข พลันได้ยินฉู่เหล่ยกล่าวว่า “เสวียนจี กลับมาครั้งนี้ก็อย่าไปอีกเลย ตอนนี้สำนักเส้าหยางสูญเสียอาวุโสเจ็ดยอดเขาไปสองท่าน ในสำนักยังไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติมาแทนที่เขาได้ชั่วคราว ข้ากับอาวุโสที่เหลือหารือกันแล้ว คิดว่าเจ้ามีความสามารถโดดเด่น รับตำแหน่งหนึ่งในอาวุโสเจ็ดยอดเขาได้ เจ้าลองไตร่ตรองดู”
เสวียนจีตกใจจนเกือบจะทำจอกสุราคว่ำ ชี้หน้าตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านพ่อ…ท่าน ท่านพูดถึงข้า? ให้ข้าเป็นอาวุโสเจ็ดยอดเขา?!”
ฉู่เหล่ยพยักหน้า “เจ้ามีความสามารถพิเศษ วันหน้าสำนักเส้าหยางมอบให้เจ้า ข้าก็วางใจ นอกจากเจ้า ยังมีผู้ใดที่เหมาะสมยิ่งกว่าอีกหรือ”
เสวียนจีติดอ่างกล่าวว่า “ไม่…แต่…แต่ไรมาข้าไม่เคยคิดเป็นอาวุโส…ข้า มีความสามารถพิเศษอันใดกัน…ข้าคิดว่าตนเองไม่เหมาะเป็นอาวุโส…” นางไม่รู้จะพูดอย่างไรจริงๆ พูดวกไปวนมาเละเทะไปหมด
ฉู่เหล่ยกล่าวว่า “เรื่องทางโลกพวกนี้เรียนรู้ได้ พลังวัตรกับพรสวรรค์นั้นเรียนรู้ไม่ได้ ก่อนเจ้าเกิดมาข้าเคยฝัน ดังคาด เป็นการบอกล่วงหน้าถึงความไม่ธรรมดาของเจ้า วันหน้าต้องมีความสำเร็จยิ่งใหญ่เป็นแน่ สำนักเส้าหยางย่อมมอบให้เจ้าจึงดีที่สุด”
เสวียนจีตกใจจนพูดไม่ออก ให้นางเป็นอาวุโสเจ็ดยอดเขา? เป็นผู้นำสำนักเส้าหยาง? มองไปรอบๆ เห็นสำนักเส้าหยางใหญ่เพียงนี้ วันหน้าให้นางดูแล? หนุ่มสาวที่ไปก่อกวนห้องหอพากันกลับมาแล้ว หลายคนล้วนลอบมองนางกับอวี่ซือเฟิ่งด้วยสายตาแปลกประหลาด สายตาหนึ่งใดปะทะเข้ากับนางก็รีบก้มหน้าไม่ก็หันหันหน้าหนี แกล้งทำเป็นไม่สนใจ มีเพียงตู้หมิ่นหังที่ยิ้มให้นางเล็กน้อย แววตามีแววอารี
ในใจหลายคน อวี่ซือเฟิ่งคือปีศาจ นางก็ไม่ใช่คน แม้ว่าพวกเขาไม่พูด แต่วันนั้นตอนมารปีศาจมาโจมตี นางปล่อยพลังเพลิงสู้ศัตรู ไม่ทันระวังเผาโดนศิษย์ร่วมสำนักไปก็เป็นเรื่องจริง คนมากมายเห็นกับตาตนเอง ผู้คนมักจะหวาดกลัวและมีใจแบ่งแยกคนที่มีพลังเหนือมนุษย์ โดยเฉพาะมือสังหาร คนใกล้ชิดย่อมไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แต่คนอื่นต่างย่อมต้องไม่สบายใจ
นางไม่อยากเป็นสัตว์ประหลาด ยิ่งไม่อยากให้อวี่ซือเฟิ่งมีชีวิตที่ถูกทุกคนมองด้วยสายตาประหลาด
ดังนั้นเสวียนจีส่ายหน้า กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านพ่อ ขอโทษ ข้าไม่อาจ…”
วาจาไม่ทันจบ พลันได้ยินเสียงตวาดด้านนอกดังก้องมา ทั้งสามตกใจ เห็นแขกในห้องโถงพากันวิ่งออกไป เมื่อครู่ท้องฟ้ายังมีสีครามเมฆขาวสดใส พริบตาก็กลายเป็นเมฆดำปกคลุม ฟ้าแลบแปลบปลาบ เสวียนจีเห็นแสงสีแดงราวสีเลือดวาบขึ้น ในใจอยู่ๆ ก็มีความรู้สึกเป็นลางไม่ดี วิ่งตามออกไปพร้อมกับฉู่เหล่ยและอวี่ซือเฟิ่ง
พอออกไปด้านนอก รู้สึกเพียงแค่ลมกรรโชกแรงพัดมา สายฟ้าสีแดงราวสีเลือดนั่นมาพร้อมลมกรรโชกแรง กำลังพัดกระหน่ำยอดเขารุนแรง ฉู่เหล่ยรีบสั่งการให้บรรดาศิษย์พาแขกกลับเข้าห้องโถง ปิดประตูแน่น แล้วยังให้ศิษย์อีกลุ่มรวมกลุ่มกันไปสำรวจทั้งเจ็ดยอดเขา หากมีอะไรผิดปกติ ก็ให้รีบมารายงานทันที
พริบตานั้นเอง สายฟ้าก็ฟาดเหนือศีรษะเสียงดังสนั่นราวกับรวมกำลังกันมา กลางท้องฟ้าส่องแสงวาบแปลบปลาบ แต่ไม่มาถึงสักที เสวียนจีขมวดคิ้วแน่น จ้องมองเหนือกลุ่มเมฆดำ เมฆนั่นวนไปมาเหมือนแตกตื่น แต่อยู่ๆ ก็เหมือนมีมือใหญ่ไร้รูปร่างฉีกออก เผยให้เห็นดวงตาสวรรค์หนึ่งที่แอบซ่อนอยู่หลังหมู่เมฆดำ คนแดนสวรรค์มาตรวจดูนาง?! เสวียนจีกำลังคิดเหินกระบี่ขึ้นไป แขนเสื้อกลับถูกฉู่เหล่ยกระชากไว้ เขากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “อย่าไป! เสวียนจี! อย่าเป็นปรปักษ์กับสวรรค์!”
นางมองเขาอย่างตกใจ เขากล่าวอีกว่า “อย่าเป็นปรปักษ์กับสวรรค์!”
เสวียนจีดึงมือกลับ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่เป็นปรปักษ์ แค่ไปดู” วาจากล่าวจบก็เหินขึ้นไปกลางท้องฟ้า กระบี่เปิงอวี้ในมือส่องแสงวาบ ทำท่าจะพุ่งขึ้นไป ดวงตาสวรรค์นั้นหายวับไปในพริบตาดังคาด ขี้ขลาด! ในใจนางสบถด่าขึ้นเสียงหนึ่ง พลันเห็นสายฟ้ารอบด้านพุ่งทะลุไปมาราวกับแหอสุนีบาตขนาดใหญ่สีแดงดังโลหิต กำลังครอบนางไว้ อสุนีบาตยักษ์เตรียมเข้าโจมตี ทันทีที่ฟาดลงมา ห้องโถงกลางด้านล่างเกรงว่าคงได้สลายไปไม่เหลือแม้หมอกควัน
เสวียนจีตวาดดังว่า “ผู้ใดมาหาเรื่องข้า ใช้มนุษย์มาข่มขู่ข้า ชั่วช้าเกินไปแล้ว!”
วาจาเพิ่งกล่าวจบ ก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นเยียบเสียงเหนือศีรษะกล่าวว่า “ราชันสวรรค์มีบัญชา นักโทษ! ยังไม่รีบคุกเข่ารับพระบัญชา?!” เสวียนจีรีบหันไปมอง เห็นเพียงเมฆดำปกคลุมรอบๆ ค่อยๆ จางลง เผยให้เห็นยักษ์เกราะทองคำหน้าตาเย็นเยียบ บารมีองอาจไม่ธรรมดา ในมือถือม้วนผ้าสีทองม้วนหนึ่ง คิดว่าน่าจะเป็นราชโองการ
เสวียนจีเดิมคิดเอาเรื่องเขาที่มาทั้งฟ้าแลบแปลบปลาบ ทั้งอสุนีบาต ทั้งปล่อยลมพายุใส่โลกมนุษย์ ต้องการแสดงอำนาจอะไรกันแน่ หากอยู่ๆ วาจาฉู่เหล่ยก็ก้องขึ้นในหู อย่าเป็นปรปักษ์กับสวรรค์! ในใจนางพลันคิดได้ เขาถึงกับเดาสาเหตุการลงมาเกิดของนางได้ อย่าเป็นปรปักษ์กับสวรรค์ก็คือต้องการให้นางคล้อยตามในชาตินี้หรือ
นางคุกเข่าลงบนกระบี่กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เสวียนจี…รับราชโองการ!”
ยักษ์เกราะทองคำนั่นกลับไม่อ่าน ท่าทางยโสกล่าวว่า “นักโทษ! สหายร่วมขบวนการเจ้าล่ะ รีบตามมา มารับราชโองการพร้อมกัน!”
เสวียนจีเริ่มโมโห เอาแต่เรียกว่านักโทษๆ อยู่นั่น แต่นางยังคงระงับความโมโหไว้ได้ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ข้าไม่มีสหายร่วมขบวนการ! ทำอะไรก็คนเดียวมาตลอด เจ้ารีบอ่าน! ข้าฟังอยู่”
ยักษ์เกราะทองคำผู้นั้นยิ้มเยาะน้ำเสียงเยียบเย็น “พวกหนูกระจิดริดกล้าคิดเป็นปรปักษ์กับสวรรค์! นักโทษรับราชโองการ! ทรงมีบัญชา นักโทษฉู่เสวียนจีทำลายกฎระเบียบแดนปรภพ ร่วมกับพวกคิดก่อกบฏ ให้รีบจับตัวนำกลับแดนสวรรค์ไต่สวนความผิด! มีครุฑหลิ่วอี้ฮวน เงือกถิงหนู หนึ่งโทษหนักที่ขโมยดวงตาสวรรค์ อีกหนึ่งโทษสมรู้ร่วมคิด[1] รีบนำตัวกลับสวรรค์ไต่สวนความผิด!”
เสวียนจีตกใจยิ่ง หลุดร้องออกมาว่า “คิดก่อกบฏอะไร?! ผู้ใดก่อกบฏ”
ยักษ์เกราะทองคำผู้นั้นม้วนราชโองการเก็บเข้าแขนเสื้อ ท่าทางยโสกล่าวว่า “อันนี้เจ้าต้องถามตนเองแล้ว! วาจาเหลวไหลไม่ต้องพูดมาก! ไปแก้ตัวที่สวรรค์เถอะ!” เขาดึงเอาเชือกมัดเซียนออกมา กำลังจะมัดเสวียนจี ไม่ทันระวังแสงเยียบเย็นในมือนางเร็วจนน่าตกใจ พอเขาได้สติคืนมา ลำคอก็เย็นวาบ ถูกกระบี่นางจี้ที่ลำคอ
เขาตกใจถลึงตาจ้องนาง น่าจะไม่เคยเจอคนกล้าต่อต้านมาก่อน หน้าหมองดำคล้ำน้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “นักโทษ! วางกระบี่ลง! เจ้ากล้ามาก! อยากถูกลงโทษจองจำแดนนรกหรือ?!”
เสวียนจีสูดลมหายใจเข้าลึก ปรับอารมณ์อันวุ่นวายให้สงบลง ตอนนี้สมองนางวุ่นวายไปหมดเหมือนแป้งเปียกเละเทะ ฟ้าดินเป็นพยาน! นางไปก่อกบฏตอนไหน หรือว่าการไม่สังหารอู๋จือฉี ถึงกับคุยเล่นสนทนากับเขาก็ถือเป็นกบฏ หลิ่วอี้ฮวนขโมยดวงตาสวรรค์ก็ยิ่งแปลก ทำไมผ่านมาสิบกว่าปี จึงค่อยมาคิดบัญชี สำหรับโทษสมรู้ร่วมคิดของถิงหนูก็ยิ่งประหลาดอย่างที่สุด เขาทำอะไรที่มีโทษสมรู้ร่วมคิดอีกหรือ
อยู่ๆ นางก็นึกถึงมกรที่จากไปอย่างไม่ปกติ ในใจราวมีสายฟ้าแวบขึ้นมา ตวาดดังว่า “เจ้าบอกข้า มกร เป็นอย่างไรบ้าง?!”
ยักษ์เกราะทองคำผู้นั้นแม้สีหน้าย่ำแย่ยิ่งแต่น้ำเสียงยังคงดุดันว่า “ปีศาจชั่วบังอาจมาก! ถึงกับกล้าถามข้า!” หากลำคอยังมีกระบี่จี้ห่างไม่กี่นิ้ว เขารู้ดีถึงความร้ายกาจของติ้งคุน ได้แต่กล่าวว่า “…มกรกับเจ้ามีพันธะสัญญา ย่อมต้องไปรับโทษก่อนแล้ว! เขาไปขอรับโทษเอง ไป๋ตี้ยังออกหน้าขอร้องแทนเขา โทษตายละเว้น โทษเป็นยากพ้น! เจ้าอย่าได้ใจไป เป็นปรปักษ์กับเบื้องบน ขัดราชโองการจะมีผลเช่นไร เจ้าจะได้รู้ในไม่ช้า!”
สีหน้าเสวียนจีพริบตาก็แปรเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ยิ่งกว่าเขา มกรเป็นคนชั่วช้าจริง! ดังคาด พอได้กลิ่นอันตรายก็หนีเอาตัวรอดไปก่อน! แต่ไรมานางไม่หวังว่าเขาจะร่วมเป็นร่วมตาย แต่ยามเผชิญเหตุถึงกับหนีไปเองก่อน มันช่างน่าหนาวเหน็บใจเสียจริง!
ยักษ์เกราะทองคำผู้นั้นเห็นนางไม่กล่าวอันใดเป็นนาน จึงกล่าวอีกว่า “ใช่แล้ว ตอนลงมา ไป๋ตี้ยังให้ข้านำวาจามาบอกเจ้า เจ้าเป็นเทพสงครามเบื้องบน ไม่อาจมีกิเลสทะยานอยากส่วนตน ได้เวลาตื่นรู้แล้ว เอาเถอะ หากยังหลงใหลไม่ยอมตื่นรู้อีก ครุฑอวี่ซือเฟิ่งก็จะมีความผิดไปด้วย!”
ผู้ใดจะรู้ว่ายังกล่าวไม่ทันจบ เสวียนจีกลับหัวเราะเยียบเย็น ลำคอเขาผ่อนลง นางกลับปล่อยเขา กระบี่เปิงอวี้ในมือนางหักลำกลับอย่างรวดเร็ว กลับเข้าสู่มือนางเบาๆ นางส่งเสียงใสกระจ่างดัง “ไป! ตัด!” ในยามนั้นกระบี่ส่องแสงประกายทะยานบินขึ้นไปกลางท้องฟ้า พลันวาดรัศมียาว เสียง แควก ดังขึ้นเสียงหนึ่ง ตัดแหอสุนีบาตที่ล้อมรอบตัวนางขาด
ยักษ์เกราะทองคำเห็นนางร้ายกาจเช่นนี้ก็ตกใจจนผงะถอยไปหลายก้าว เห็นว่ากำลังจะเร้นกายเข้าหลังก้อนเมฆ ผู้ใดจะรู้ว่านางพลันสะอึกกายเข้ามา ลำคอวาบอีกครั้ง ถูกกระบี่นางทาบไว้ เขากลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ถามดุดันว่า “บังอาจ! เจ้าจะทำอะไร?!”
เสวียนจีคิดไปคิดมา ก่อนจะจัดระเบียบความคิดครู่หนึ่ง จึงได้กล่าวว่า “ข้าย่อมไม่สังหารเจ้า และไม่ได้คิดกบฏ ข้าว่าเรื่องนี้น่าจะเข้าใจผิด รบกวนเจ้ากลับไปรายงานหน่อย ไม่ต้องส่งคนมาจับตัวข้า และไม่ต้องใช้ผู้ใดมาข่มขู่บังคับข้า หากวันหน้ามีเวลา ข้าจะต้องไปชี้แจงยังแดนสวรรค์ให้กระจ่างเอง!”
กล่าวจบก็ผลักเขา ยักษ์เกราะทองคำผู้นั้นใหญ่เพียงใดก็ไม่กล้าอยู่ต่อ รีบเก็บคืนสายฟ้าและลมกรรโชกแรง พริบตาก็หายไปท่ามกลางท้องฟ้า
[1] เป็นโทษของจีนสมัยโบราณ หากบ้านใกล้เรือนเคียงทำผิด เพื่อนบ้านไม่มาแจ้งทางการ ถือว่าพลอยมีความผิดไปด้วย