ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 28 ห่วงฟ้าขอสมุทร (2)
เหนือคาด ทั้งสองไม่ได้ดื่มน้ำสักอึก เร่งมาเมืองชิ่งหยางอย่างร้อนใจดังไฟแผดเผา หลิ่วอี้ฮวนกลับกำลังดื่มสุราเริงรื่นอย่างผ่อนคลายอยู่ในหอคณิกา พอเขาเห็นท่าทางขะมุกขะมอมดูไม่ได้ของทั้งสองแล้วก็ไม่ได้ตกใจแม้แต่น้อย ถึงกับตบโต๊ะหัวเราะดังลั่น
อวี่ซือเฟิ่งหน้าซีด เดินปรี่เข้าไปคว้าแขนเสื้อเขา กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “พี่ใหญ่! แดนสวรรค์ส่งคนมาหาเรื่องท่านไหม”
หลิ่วอี้ฮวนไม่รู้ดื่มไปเท่าไร ท่าทางเมากรึ่มเต็มที่ สองตาถลึงตาจ้องใส่เขา เป็นนานกว่าจะอ้าปากเรอเอากลิ่นสุราออกมากองโต ยกมือผลักไหล่อวี่ซือเฟิ่งเต็มแรง หัวเราะกล่าวว่า “เฟิ่งหวงน้อยกลับมาอีกแล้วหรือ! มา ดื่ม…ดื่ม ดื่มเหล้า!”
อวี่ซือเฟิ่งเห็นเขาเมามาก ได้แต่รับคำมั่วซั่วไป ถูกเขากรอกเหล้าไปจอกหนึ่ง ติดคอจนเกือบจะพ่นออกมา เสวียนจีเห็นเขาจะเอาอีกก็ไม่เกรงใจอีก ตรงเข้าไปฟันใส่หลังคอเขาทีหนึ่ง หลิ่วอี้ฮวนไม่ทันร้องสักแอะก็สลบร่วงลงพื้นไปทันที
“เสวียนจี!” อวี่ซือเฟิ่งทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ นางสะบัดผมกล่าวว่า “ไป! ไปโรงเตี๊ยม!” ทั้งสองไม่ได้นอนมาทั้งคืน เดินทางมาทั้งวัน แล่นไปมาเส้าหยางกับชิ่งหยางสองรอบ ยังมีเรื่องแดนสวรรค์มาอีก ฝืนทนมาถึงตอนนี้ได้ก็สุดทนแล้ว ยามนี้เห็นหลิ่วอี้ฮวนไม่เป็นไร ก้อนหินก้อนใหญ่ในใจที่อยู่ปากเหวในที่สุดก็วางลงพื้นได้แล้ว ชั่วพริบตาทั้งสองต่างรู้สึกหมดแรง สบตากันหัวเราะเฝื่อนๆ ขึ้นมา
อวี่ซือเฟิ่งแบกหลิ่วอี้ฮวนไว้บนบ่า ทั้งสองโดดออกจากชั้นสองหอคณิกาลงไป พอถึงโรงเตี๊ยม ทั้งสองไม่สนใจอันใดทั้งสิ้น เอาเชือกมามัดหลิ่วอี้ฮวนตั้งแต่หัวถึงเท้า ตอนเขาตื่นมาจะได้ไม่คิดหนี ต่อด้วยพากันหน้าม่อยคอตกหลับตามไป หลับไปครั้งนี้ทีเดียวถึงยามพระจันทร์ตรงเหนือศีรษะ เที่ยงคืนยามสามจึงตื่นขึ้นมา
อวี่ซือเฟิ่งตื่นคนแรกสุด เรื่องแรกที่ทำตอนตื่นก็คือหันไปมองหลิ่วอี้ฮวนที่ถูกมัดอยู่บนเก้าอี้นอน ในห้องมืดสลัวไม่มีแสงตะเกียง เห็นร่างเงาที่นอนอยู่เลือนราง เขาถอนหายใจ หันกลับไปเห็นเสวียนจีขดตัวหลับสนิทอยู่มุมเตียง เขาห่มผ้าห่มให้นาง ก่อนจะลุกไปล้างหน้า
หลิ่วอี้ฮวนที่นอนอยู่ไม่ขยับสักนิด ราวกับแม้แต่ลมหายใจก็ไม่มี อวี่ซือเฟิ่งพลันรู้สึกตกใจ รีบเข้าไปเรียกเบาๆ ว่า “พี่หลิ่ว…”
เป็นนานกว่าจะมีเสียงทอดถอนใจดังมาในความมืด เสียงหลิ่วอี้ฮวนฟังแล้วเหมือนอยู่ไกลมาก แผ่วเบามาก “พวกเจ้าไม่ควรกลับมา มีเรื่องกับแดนสวรรค์ คนที่เสียเปรียบจะเป็นใครไปได้? หากเจ้าสองคนหาที่หลบซ่อน ข้ายังสบายใจกว่า”
อวี่ซือเฟิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เรื่องบางเรื่องอาจใช้วิธีการหลบซ่อนเพื่อแก้ปัญหา แม้ข้ากับเสวียนจีหนีการจับกุมแดนสวรรค์ได้จริง พี่ใหญ่อยากจะเห็นวันหน้าพวกเราต้องรู้สึกผิดบาปในใจไปทั้งชีวิตหรือ”
“ผิดบาปผายลมเจ้าสิ!” หลิ่วอี้ฮวนพลันโมโหขึ้นมา “แต่เล็กข้าก็บอกเจ้า เป็นคนต้องเห็นแก่ตัวเลือดเย็น! เจ้าบ้านี่เรียนรู้ไม่ได้เรื่อง?! ต้องมาเลียนแบบคนอื่นเล่นบ้าบอร่วมเป็นร่วมตาย? เจ้าคิดว่าข้ายินดีแบบนี้หรือ ข้าบอกเจ้านะ หากวันนี้สลับที่กัน ข้าไม่สนใจอะไรพวกเจ้าจะนกหรือไม้เลย! หนีไปนานแล้ว!”
อวี่ซือเฟิ่งไร้วาจาจะกล่าว หลิ่วอี้ฮวนหอบหายใจ กล่าวอีกว่า “ยามนี้ไม่ใช่เวลามาเล่นบ้าบอร่วมเป็นร่วมตายนะ หากอยู่ต่อก็คงจบเห่มารดามันหมด! ใช่แล้ว เจ้ามีสิบสองก้านปีก เด็กนั่นคือเทพสงคราม แต่พอถึงแดนสวรรค์แล้วอย่างไร ผายลมยังไม่ทัน! พวกเจ้าใจกล้าสุนัขอะไรแล่นมาหาข้ายามคลื่นลมกรรโชกแรงเช่นนี้? ทำข้าเสียหน้าหมดแล้ว!”
เขาด่าจนยากรับฟัง อวี่ซือเฟิ่งถอนใจกล่าวว่า “พี่ใหญ่…”
“ผู้ใดเป็นพี่ใหญ่เจ้า?!” หลิ่วอี้ฮวนไม่ค่อยได้กล่าววาจาดุดันเช่นนี้ อารมณ์เวลาโมโหเหมือนจะรุนแรงยิ่งกว่าฉู่เหล่ยเสียอีก
“หนีไม่ใช่วิสัยข้า!” อยู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากบนเตียง ตามมาด้วยแสงเทียนบนโต๊ะข้างเตียงจุดสว่างขึ้น เสวียนจีเผยรอยยิ้มบางสะท้อนใบหน้าหลังแสงเทียน ใบหน้าราวภาพวาด หลิ่วอี้ฮวนไม่รู้จะพูดจาหยาบคายใส่เด็กสาวอย่างไรดี ได้แต่ทำไม่สน เสวียนจียิ้มกล่าวว่า “จะพูดจากัน ทำไมไม่จุดเทียน มืดมิดเช่นนี้ สนุกหรือ”
นางลุกขึ้นไปจุดเชิงเทียนบนโต๊ะ ในห้องอยู่ๆ สว่างขึ้นไม่น้อย ท่าทางทั้งสามดูแล้วอนาถไม่น้อย เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ผมเผ้ารุงรัง ราวกับเพิ่งชกต่อยกันมา เสวียนจีลงนั่งข้างหลิ่วอี้ฮวน กล่าวว่า “พี่หลิ่ว ข้าเข้าใจความคิดท่านแล้ว แต่จะทำเช่นไรก็เป็นเรื่องของข้า ไม่ใช่ว่าจะไปตายเพื่อท่านหรือเพื่อผู้ใด แม้ต้องตาย ก็เป็นทางเลือกที่ข้าเลือกเอง”
สีหน้าหลิ่วอี้ฮวนซีดขาวราวคนตาย ริมฝีปากกระตุกสองที กล่าวเบาๆ ว่า “อายุยังน้อย อย่าพูดแต่คำว่าตาย!”
เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ ไม่ว่าอายุเท่าไร ล้วนไม่ควรพูดคำว่าตายง่ายๆ พวกเราล้วนไม่คิดเป็นปรปักษ์กับสวรรค์ เริ่มต้นข้าก็ไม่ได้คิดเป็นปรปักษ์กับพวกเขา ไม่เลยสักนิด ดังนั้นข้าก็ย่อมไม่ยอมรับโทษที่พวกเขาโยนมาปรักปรำข้า เรื่องนี้ข้าต้องพูดให้กระจ่างแน่”
หลิ่วอี้ฮวนแค่นเสียง “หึ” ขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “พูดให้กระจ่าง? พูดกับผู้ใด? เจ้าคิดว่าเทพเซียนแดนสวรรค์พวกนั้นจะทนฟังเจ้าพูดเหตุผลหรือ”
เสวียนจีกล่าวว่า “ไม่ลองจะรู้ได้อย่างไร แม้สุดท้ายพวกเขายังต้องการสังหารข้า อย่างน้อยพวกเราก็เคยพยายามต่อสู้มาก่อน ข้าไม่คิดจะตายไปอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ บางทีอาจต้องรับโทษต่อ ข้าไม่อยากเป็นเช่นนั้นอีก พี่หลิ่ว”
หลิ่วอี้ฮวนเม้มปากไม่พูดอันใดอีก อวี่ซือเฟิ่งพลันกล่าวว่า “ใช่ ข้าคิดเหมือนกับเสวียนจี หากไม่พยายามอันใดเลย เอาแต่หดหัวรอคนอื่นมาตัด ข้าไม่อาจยอมรับได้”
ในห้องพลันตกสู่ความเงียบงันอย่างน่าประหลาด ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร หลิ่วอี้ฮวนอยู่ๆ ก็กระแอมไอ ไม่พอใจกล่าวว่า “พวกเจ้าสองคนจะมัดข้าไว้ถึงเมื่อไร แขนขาข้าชาไปหมดแล้ว!”
อวี่ซือเฟิ่งรีบเข้าไปแก้มัดให้เชา คิดแล้วเขาสองคนก็ใจกล้าจริง แม้หลิ่วอี้ฮวนจะไม่ยึดถือเรื่องอาวุโส แต่เขาก็นับว่าเป็นผู้อาวุโส พวกเขาถึงกับจับผู้อาวุโสมัดเสียได้ แต่ไม่รู้ทำไมจึงได้รู้สึกน่าขำเสียมากกว่า
หลิ่วอี้ฮวนเห็นรอยยิ้มมุมปากเขาก็ค้อนขวับ “ไปยกน้ำกับอาหารมาให้ข้า! จะให้ข้าหิวตายหรือ”ตอนนี้เขากลายเป็นนายท่านไปแล้ว ชี้นิ้วสั่งผู้น้อยสองคนพัลวัน กว่าจะปรนนิบัติเขาล้างหน้ากินข้าวเสร็จ ทั้งสองจึงได้เริ่มแต่งตัว เสวียนจีกำลังล้างหน้า พลันได้ยินหลิ่วอี้ฮวนเอ่ยขึ้นว่า “ดวงตาสวรรค์นี่ ก็ควรได้เวลาส่งคืนแล้ว ไว้กับตัวข้า ก็เริ่มควบคุมไม่ได้แล้ว”
อะไรเรียกว่าเริ่มควบคุมไม่ได้? ทั้งสองมองเขาอย่างแปลกใจ หลิ่วอี้ฮวนค่อยๆ ลูบหน้าผากตรงรอยแผลนูนนั่น ไม่รู้คิดอะไร ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงได้กล่าวอีกว่า “ดวงตาสวรรค์ทำให้ข้ามองเห็นเหตุต้นผลกรรมก่อนหน้า ขอเพียงเป็นคนที่ข้าเคยพบ ไม่ว่าอยู่ไกลกี่พันหมื่นลี้ ข้าก็รู้ว่าเขาประสบเหตุใดได้ทันที หรือเคยประสบอะไรมา แทบจะไม่มีเรื่องที่ข้าไม่เห็น แต่ทว่า มีบางเรื่องที่ข้ามองไม่ทะลุ รู้ไหมว่าอะไร”
เขากล่าวเน้นย้ำว่า “ข้ามองไม่เห็นอดีตและอนาคตตนเอง และมองไม่เห็นอดีตและอนาคตเสวียนจี แสดงให้เห็นว่าดวงตานี้ไม่ใช่ได้ทุกสิ่ง ดวงตาสวรรค์มาจากแดนสวรรค์ เช่นนั้นย่อมไม่มีผลใดต่อแดนสวรรค์ ดังนั้นจุดจบเรื่องนี้ ข้าจึงมองไม่เห็น”
พูดกันถึงตรงนี้ เขาราวกับลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ ก็ไม่อาจกล่าวว่ามองไม่เห็นทั้งหมด ที่ข้าบอกว่าเหนือการควบคุมก็คือเรื่องนี้ ข้ามีลางสังหรณ์ร้ายอย่างรุนแรง บางทีดวงตาสวรรค์ก็จะเผยบางเรื่องให้ข้าได้เห็นในฝัน เช่น ข้าจะถูกแดนสวรรค์มาจับไปลงโทษหนัก แต่มองไม่เห็นความจริงกระจ่าง มันไม่ฟังคำสั่งข้า ในฝันมาเตือนข้า ข้าไม่อาจบังคับมัน พลังวัตรข้าก็ลดลงทุกปี คิดว่าเป็นสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนไปกับการครอบครองดวงตาสวรรค์ ยิ่งครอบครองนาน ก็ยิ่งต้องแลกเปลี่ยนมากยิ่งขึ้น พลังวัตรข้าถูกสูบหมดเมื่อไรก็คงเหลือแต่ร่างกายและชีวิตข้าแล้ว ดังนั้นข้าคิดว่า ได้เวลาถอดมันคืนแล้ว อย่างน้อยข้าก็จะได้เหลือชีวิตนี้ไว้ดูการไปเกิดภพใหม่ของบุตรสาวข้า…”
อวี่ซือเฟิ่งได้ยินเขาเอ่ยถึงบุตรสาวก็กล่าวเบาๆ ขึ้นว่า “พี่ใหญ่ บุตรสาวท่านยังไม่ไปเกิดนี่…อย่างน้อยก็รอให้นางไปเกิด…”
หลิ่วอี้ฮวนกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “บางทีอาจรอไม่ไหว พูดตามจริงข้ายังเป็นพ่อที่เห็นแก่ตัว ทอดทิ้งนางไม่เหลียวแลด้วยเรื่องตัวเองทุกครั้ง แม้นางไปเกิดใหม่ ข้าก็ไม่มีหน้าไปดูแลนาง”
เขาถอนหายใจ ลูบใบหน้ากล่าวอีกว่า “เรื่องแดนสวรรค์ครั้งนี้ ข้าไม่อาจใช้ดวงตาสวรรค์ดูได้ ข้าเองก็แปลกใจเหมือนกับพวกเจ้า แต่ในเมื่อเกิดเรื่องแล้ว ไม่สู้ลองเล่าความแตกต่างของดวงตาสวรรค์ใหญ่กับดวงตาสวรรค์น้อยให้พวกเจ้าฟังละกัน ของข้านี่เรียกว่าดวงตาสวรรค์น้อย รู้เหตุต้นผลกรรมของสรรพสิ่ง แต่ยังมีดวงตาสวรรค์ใหญ่ เสวียนจีเจ้าน่าจะรู้ ตอนฟ้าแยกออกครั้งนั้นที่สำนักเส้าหยาง นั่นก็คือดวงตาสวรรค์ใหญ่ บรรดาเทพใช้มันมาสอดส่องดูโลกมนุษย์และแดนปรภพ ดวงตาสวรรค์ใหญ่นั่นไม่ว่าอยู่ไกลเพียงใด ก็มองเห็นได้ในพริบตา ในเมื่อมีการใช้มัน ข้าเลยคิดว่าเบื้องบนต้องมีคนแอบสอดส่องพวกเจ้าตลอดเวลา ไม่ว่าไปที่ใด ดวงตาสวรรค์ใหญ่ก็เห็นหมด ดังนั้นข้าว่า…ให้พวกเจ้าหนี จริงๆ แล้วก็ไร้ความหมาย”
เขาหัวเราะฝืดเฝื่อนขึ้น
อวี่ซือเฟิ่งนิ่งเงียบเป็นนาน อยู่ๆ กล่าวว่า “ข้ามีความคิดว่า ยามนี้เร่งเดินทางไปชายฝั่งทะเลตงไห่ ก็เกรงว่าไม่ทันการ นับประสาอันใดกับตงไห่กว้างใหญ่ ชีวิตเงือกอยู่ในน้ำ จะหาให้พบในทันทีย่อมไม่ได้ ไม่สู้พวกเราไปแดนปรภพหาอู๋จือฉี เขาน่าจะยังไม่ออกมา ไม่เช่นนั้นตำหนักหลีเจ๋อย่อมไม่เงียบงันไร้การเคลื่อนไหวเช่นนี้ หากเขายอมช่วยก็คงดีที่สุด ขอให้เขาดูแลพี่หลิ่วกับสำนักเส้าหยาง แล้วค่อยไปตามหาถิงหนูที่ทะเลตงไห่ต่อ ข้ากับเสวียนจีจะไปเขาคุนหลุน”
พอหลิ่วอี้ฮวนได้ยินชื่ออู๋จือฉี สีหน้าอยู่ๆ พลันมืดดำ แค่นเสียงฮึ “เขายอมช่วย? หินกลายเป็นดอกไม้เหอะ! ยังกลัวไม่ยุ่งพอหรือ ต้องลากคนเช่นนี้เข้ามาเกี่ยวข้องให้ได้!”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้ม “พี่ใหญ่อคติกับเขา ข้ารู้สึกว่าเขาก็เป็นชายชาตรีมีน้ำใจ ชาติก่อนเขาเกี่ยวพันกับเสวียนจีพอควร เสวียนจีถูกลงโทษลงมาผ่านเคราะห์นี้ ไม่แน่ว่าเป็นเพราะเขา ด้วยน้ำใจหรือเหตุผลก็แล้วแต่ เขาย่อมไม่คิดติดค้างนาง หากเขายอมช่วย ก็ถือว่าได้บรรลุสิ่งที่เราต้องการแล้ว”
หลิ่วอี้ฮวนได้แต่ยิ้มเยียบเย็นไม่กล่าวอันใด เสวียนจีรีบกล่าวว่า “เยี่ยม! ความคิดนี้ดี! ข้าเห็นด้วย! พวกเรารีบไปแดนปรภพกัน!” กล่าวจบนางก็ควักเอาแหวนเหล็กนิลออกมาจากแขนเสื้อสองวง กล่าวว่า “อันนี้คือที่ครั้งก่อนข้ากับ…มกรไปแดนปรภพ ยังเก็บไว้ ก็คือวงที่เมื่อก่อนศิษย์พี่หกไปเป็นสายในเขาปู้โจวซานแล้วเอากลับมาด้วย ซือเฟิ่งก็น่าจะมีอีกสองวงใช่ไหม เจ้ากับพี่หลิ่วก็เคยไปแดนปรภพมาแล้ว”
อวี่ซือเฟิ่งควักแหวนออกมาสองวง คิดไปคิดมา ขมวดคิ้วกล่าวว่า “มีสี่วงเอง หากอู๋จือฉีรับปาก พวกเรามีกันห้าคน รวมจิ้งจอกม่วง”
หลิ่วอี้ฮวนแค่นเสียงฮึอีก “ลิงบ้านั่นหากไร้ความสามารถ จะถูกบรรดาเซียนแดนสวรรค์พวกนั้นหวาดระแวงหรือ เขาปู้โจวซานกระจอกๆ จะขังเขาไว้ได้อย่างไร! เซินซูและอวี้ลวี่ตายอย่างไรยังไม่รู้เล้ย! ยามนี้ห่วงฟ้าเทียนจวินกับขอสมุทรเช่อไห่ล้วนอยู่ในมือเขา ไม่เช่นนั้นทำไมเทพเซียนพวกนั้นจึงเหมือนลูกพลับนิ่มๆ ยอมให้เขาบี้ไปมาเล่า ไม่ไปหาเขา กลับมาหาเรื่องพวกเราแทน”
“ขอสมุทรเช่อไห่?” เสวียนจีหูไว “นั่นคืออะไร”
“ได้ยินว่าเป็นสองเทพศาสตราที่ร้ายกาจมาก ห่วงฟ้าเทียนจวินเป็นของศักดิ์สิทธิ์ของพวกครุฑ ใช้ เพิ่มพลังปีศาจ ส่วนขอสมุทรเช่อไห่นั่นก็เป็นของอู๋จือฉีเอง ไม่มีคนหนีรอดจากขอสมุทรนั่นได้ ของเล่นนี้ร้ายกาจมาก”
เสวียนจีร้อง “อ้อ” ขึ้นเสียงหนึ่ง หวนนึกถึงครั้งที่ไปแดนปรภพพบเขา ก็เหมือนไม่เห็นว่าที่ตัวเขามีขออะไร เขาซ่อนไว้ที่ไหนกัน
อยู่ๆ หลิ่วอี้ฮวนก็ขมวดคิ้ว กล่าวอีกว่า “ข้าเคยได้ยินเรื่องเล่ามาว่า ห่วงฟ้าและขอสมุทรนี่เดิมเป็นของศักดิ์สิทธิ์ของเทพสวรรค์องค์หนึ่ง แต่ต่อมาเทพสวรรค์องค์นั้นไม่รู้หายไปไหน ทิ้งแต่ของศักดิ์สิทธิ์ไว้ ผ่านไปนานมาก ก็ไม่รู้อย่างไรจึงได้ตกไปในแดนมนุษย์ ถูกคนเก็บได้ ตำนานเล่านี้จริงหรือไม่ก็ไม่รู้ ทว่าห่วงฟ้าขอสมุทรมีอยู่จริง อย่างไรก็ไม่ใช่สิ่งของในแดนมนุษย์ ตำหนักหลีเจ๋อคิดทวงห่วงฟ้าเทียนจวินคืน เกรงว่าคงเป็นภัยร้ายมากกว่า”
เสวียนจีโบกมือยิ้มกล่าวว่า “พี่หลิ่ว อย่าพูดมากอีกเลย! พูดอีกฟ้าก็สางแล้ว พวกเรารีบไปกันดีไหม ไปแดนปรภพก่อน จากนั้นข้ากับซือเฟิ่งยังต้องไปเขาคุนหลุนอีก!…ใช่แล้ว เหตุใดต้องไปเขาคุนหลุน”
อวี่ซือเฟิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย “นั่นคืออุทยานราชันสวรรค์ในโลกมนุษย์ ตอนแสงสวรรค์สาดส่องลงมาจะมีบันไดทอดยาวลงมา ขึ้นไปแดนสวรรค์ได้ เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องขึ้นไปหาคนข้างบนพูดกันให้รู้เรื่อง”