ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 3 ร่วมตกสู่แดนปรภพ (3)
อูถงคิดไม่ถึงว่าคนที่มาไม่ใช่หลิงหลง แต่เป็นเสวียนจี เขากลัวแม่นางน้อยผู้นี้ไม่มากก็น้อย เห็นชุดขาวนางแต่ไกล ร่างเงาวูบไหวราวกับปีศาจ เขาแอบหวาดกลัวขึ้นทันที แต่พอเห็นใบหน้านางชัดๆ ว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกโกรธแค้น เขาพลันสุขใจอย่างที่สุด
“โย!” เขาร้องอุทานขึ้นเสียงหนึ่ง พิงต้นไม้สบายอารมณ์ ในใจรู้สึกพึงพอใจที่ได้เห็นอารมณ์ความรู้สึกนางจากอัดแน่นกลายเป็นเจ็บปวดรวดร้าว สุดท้ายก็เปล่งพลังกลิ่นอายสังหาร ไม่พูดสักคำก็ชักกระบี่พุ่งเข้าใส่ อูถงไม่ขยับ ด้านหลังเขามีองครักษ์กรูกันออกมารับการโจมตีของเสวียนจี
“รนหาที่ตาย!” เสวียนจีเลิกคิ้ว กำลังจะฟันมารปีศาจที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงด้วยคมกระบี่ กระบี่เปิงอวี้พลันเปล่งเสียงดังกังวานใส สั่นสะเทือนอยู่ในมือนาง การเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ทำให้นางตะลึงไป เกือบถูกมารปีศาจตนหนึ่งตวัดดาบฟันหน้า
มกรเดิมก็คิดจะสังหารที่นี่ให้สะใจสักหน่อย ผู้ใดจะรู้ว่าเขาปู้โจวซานมีแต่ลูกแมวไร้ฝีมือ อยู่ๆ เขาก็รู้สึกไม่สนุกแล้ว โบกมือลา คิดไปนั่งดูพลางนึกถึงอาหารเลิศรสอยู่ข้างๆ ดีกว่า เสวียนจีอึ้งไป พอมกรไป ก็เหลือแต่จิ้งจอกม่วงสู้กับมารปีศาจพวกนั้นแล้ว เดิมนางก็ไม่เชี่ยวชาญการรบประชิดตัว สู้กันสักพักก็ถอยไปเสียอย่างนั้น ดีที่พวกองครักษ์นั้นเห็นพวกนางถอยก็ไม่ได้คิดตามมา พากันไปล้อมอยู่รอบอูถง มองพวกนางอย่างระแวดระวัง
“พวกเจ้าอย่างไรกัน เมื่อครู่ยังเปล่งพลังสังหารเข้มข้นเต็มที่” จิ้งจอกม่วงไม่เข้าใจถามขึ้น นางเห็นชัดว่าไม่เข้าใจเขาสองคนคิดอะไรกันอยู่
มกร “เชอะ” ขึ้นเสียงหนึ่ง ร้องดังขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า “น่าเบื่อๆ! น่าเบื่อที่สุด! แค่ไม่กี่คนนี่ ต้องให้ข้าลงมือหรือ พวกเจ้าจัดการเองสิ ข้าไม่เล่นเป็นเพื่อนแล้ว!”
จิ้งจอกม่วงเคารพมกรมาก ไม่กล้าโต้วาจาเขา ได้แต่หันกลับไปมองเสวียนจี นางก็เอาแต่อึ้งจ้องมองกระบี่เปิงอวี้ในมือ ไม่รู้คิดอะไร “กระบี่เป็นอะไร ร้องตลอด” จิ้งจอกม่วงมองกระบี่เปิงอวี้เปล่งเสียงร้องดังกังวานก้อง อดถามไม่ได้ เสวียนจีเกาศีรษะ กล่าวอย่างงงๆ ว่า “ข้า…ราวกับรู้ กำลังเตือนข้าว่าไม่อาจใช้พลังที่นี่ น่าแปลก ครั้งก่อนก็ไม่เห็น…”
มกรเยาะว่า “โง่เง่า! ครั้งก่อนเจ้ายังเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่เข้าใจอะไร! มาครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อนอย่างไร!”
เสวียนจีรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร แต่นางเองก็นึกถึงเรื่องชาติภพก่อนได้เพียงส่วนเดียว เช่นว่านางต่อสู้มาอย่างไร สุดท้ายโดนโทษลงมาอย่างไร จากนั้นนางต้องผ่านเรื่องเวียนว่ายความทุกข์อย่างไร สุดท้ายปลิดชีพตนเองอย่างไร เรื่องพวกนี้นางล้วนจำได้แล้ว แต่มีบางอย่าง นางคิดอย่างไรก็ไม่ออก เช่น แท้จริงแล้วนางมาจากไหน แท้จริงแล้วทำความผิดอะไร เหตุใดนางต้องสู้คนเดียวมาตลอด คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ
แม้ว่านึกถึงเรื่องพวกนี้ ก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องจริง ฉู่เสวียนจีก็คือฉู่เสวียนจี แม้ว่าแบกรับอดีตที่หนักหนาสาหัสมากมาย นางก็ยังคงเป็นฉู่เสวียนจี ไม่ใช่ผู้ใด นางรู้สึกว่ามีอีกความทรงจำหนึ่ง ไม่เกี่ยวอันใดกับนาง และไม่ใช่นาง ความรู้สึกนี้แปลกประหลาดมาก ราวกับภายในแยกเป็นสองส่วน แต่สองส่วนก็หลอมรวมกันอย่างน่าประหลาด ไม่มีอะไรไม่ผสานกลมกลืนกันสักนิด
“เซินซูและอวี้ลวี่เฝ้าอยู่ที่นี่!” มกรยู่ปากไปยังที่ไกลออกไป “อย่าว่าแต่เจ้า ข้าเองก็ไม่อาจใช้พลังเทพ เขาปู้โจวซานเป็นดินแดนอาสัญ ประตูสู่แดนปรภพ ไม่อาจปล่อยให้พวกเรามาล้อเล่น ราชันสวรรค์ทรงเกรงใจมหาเทพโฮ่วถู่อยู่หลายส่วน เฮ้อ ไม่เช่นนั้นข้าก็คิดสู้กับสองคนหน้าประตูนั่นนานแล้ว ได้ยินว่าพวกเขามีฝีมือ! น่าเสียดาย น่าเสียดาย…”
วาจาทอดถอนใจเขาถูกอูถงขัดขึ้น เขายิ้มถาม “ดูหน้าตาเจ้าทุกข์ทนคับแค้นยิ่งใหญ่ อย่างไร สำนักเส้าหยางตายเรียบแล้วใช่ไหม”
เสวียนจีมองเขาด้วยสายตาเยียบเย็นกล่าวว่า “ขออภัยอย่างยิ่ง ไม่มีคนตาย นอกจากมารปีศาจที่เจ้าส่งไปมากมายพวกนั้น”
อูถงราวกับเหนือคาด คิ้วกระตุกยิ้มถาม “วาจานี้จริงหรือ นั่นก็แค่มารปีศาจไม่กี่พันเท่านั้น แต่เทียบกับพวกเจ้าทั้งสำนักเส้าหยางรวมกันแล้วยังมากกว่า”
เสวียนจีแค่นเสียงฮึ กล่าวว่า “มาอีกสิบเท่าก็ตาย”
อูถงเห็นนางไม่เหมือนโกหก ก็กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ…เหอๆ…เหอๆ…” เขาหัวเราะอย่างแปลกใจมาก เสียงที่ทำเอาคนขนลุก จิ้งจอกม่วงเสียงดังกล่าวว่า “เจ้าหัวเราะอะไร! เจ้ากับพวกวิปริตตำหนักหลีเจ๋อพวกนั้นเป็นพวกเดียวกันใช่ไหม! เจ้าเล่นแร่แปรธาตุได้ไม่เลวนี่นะ! น่าเสียดายส่งลูกน้องเจ้าไปตายเปล่าเสียหมด! เจ้าก็รอคนตำหนักหลีเจ๋อเอาม้ามาแยกร่างเจ้าแล้วกัน!”
อูถงยิ้มไปพยักหน้าไป พลางกล่าวว่า “ไม่เลว! ไม่เลว! ฮา ฮา ฮา! พวกเจ้าทำได้ดีจริง ตอนนี้ข้าอูถงถูกบีบจนถึงทางตันแล้วสิ! เยี่ยม! เยี่ยมมาก!”
จิ้งจอกม่วงเห็นท่าทางประหลาดของเขา อดหวาดกลัวจนขนลุกไม่ได้ หันกลับไปมองเสวียนจีที่ยังทำอะไรไม่ได้ นางนิ่งมาก เอาแต่จ้องมองเขา ไม่พูดสักคำ
อูถงค่อยๆ หยุดหัวเราะ มุมปากเผยรอยยิ้ม แต่สายตาไม่ยิ้มแม้แต่น้อย เย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็งหิมะ เขากล่าวไม่ยี่หระว่า “เจ้าโกหก หากไม่มีคนตาย ทำไมเจ้าเดินทางไกลพันลี้มาถึงเขาปู้โจวซาน อืม เจ้าไม่กลัวว่าครั้งนี้จะมีคนดับเทียนพวกเจ้าหรือ”
เสวียนจีกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ไม่กลัว เพราะครั้งนี้ไม่ต้องใช้เทียนแล้ว” นางยกข้อมือขึ้น นิ้วมือนางมีห่วงเหล็กดำ จิ้งจอกม่วงข้างๆ ยกแหวนอวดเขาอย่างได้ใจ พลางหัวเราะกล่าวว่า “โง่เลยสิเจ้า? จงหมิ่นเหยียนกับรั่วอวี้อะไรนั่นสวมแหวนออกไปด้วย พอออกไปรั่วอวี้ก็มอบแหวนให้จงหมิ่นเหยียนแล้ว ยามนี้ก็มอบให้พวกเราใช้อย่างไร!”
อูถงยากจะไม่ตกใจ หากก็หัวเราะกลบเกลื่อนกล่าวว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้! เช่นนั้นก็เป็นข้าที่ประมาทแล้ว” เขามองไปทางมกรแวบหนึ่ง มีเพียงสองวงให้เสวียนจีกับจิ้งจอกม่วงเข้ามา แล้วชายผู้นี้เข้ามาโดยไร้แหวนได้อย่างไร ท่าทางเขาก็แสนประหลาด ผมสีเงินยวง ดวงตาดำ ทั้งร่างมีแต่กลิ่นอายดุร้าย แต่ก็คุ้นตา หรือว่าเป็นดาวมารร้ายบนสวรรค์ดวงไหนสักดวง
เขาไม่คิดมาก เพราะคิดมากไปก็ไร้ประโยชน์แล้ว หลั่งเลือดชโลมล้างเส้าหยางล้มเหลว ดูท่าหลั่งเลือดชโลมล้างเกาะฝูอวี้ก็คงล้มเหลวเช่นกัน หากเจ้าสำนักเบื้องบนกลับมา ก็ดี หากพวกเขากลับมา เขาเองก็อาจถูกม้าแยกร่างจริงๆ เขายิ้มเล็กน้อย ท่าทางไม่ได้หวาดกลัว
กระทำการอยู่ที่คน สำเร็จหรือไม่อยู่ที่ฟ้า บางทีเขาก็ไม่อาจไม่เชื่อเรื่องเช่นนี้แล้ว
เขากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ว่ามา สำนักเส้าหยางมีผู้ใดตาย ทำให้เจ้าเร่งมาอย่างมอมแมมเช่นนี้…ข้าเดานะ เป็นท่านพ่อแสนองอาจของเจ้า หรือว่าท่านแม่แสนไร้ประโยชน์? อ้อ…หรือว่าศิษย์พี่หกเจ้า? หรือว่า…พี่สาวเจ้า หลิงหลง?”
เขาเอ่ยมาแต่ละชื่อ สีหน้าเสวียนจีก็ยิ่งดำคล้ำลงส่วนหนึ่ง เอ่ยถึงชื่อหลิงหลง อยู่ๆ คิ้วนางก็กระตุก ไม่เตือนสักคำก็ตวัดกระบี่ใส่ ผมอูถงไม่กระดิกแม้แต่เส้นเดียว องครักษ์รอบๆ พากันแย่งเข้ามาปกป้อง ยามนี้เสวียนจีไหนเลยจะสนใจกฎว่าห้ามใช้พลังเทพบ้าบออะไรนั่น แม้กระบี่เปิงอวี้ในมือส่งเสียงร้องดัง นางได้แต่ทำเป็นไม่ได้ยิน กระบี่เปล่งประกายวาบ อัคคีสมาธิจิตหลอมคลุมทั่วทั้งเล่มส่งเสียงดัง จากนั้นกระบี่ในมือมารปีศาจทั้งหมดก็หักครึ่งท่อน นางแตะปลายเท้า พุ่งเข้าแทงใส่อูถง องครักษ์ข้างๆ ที่ไร้อาวุธยังเข้ามาขวาง ทำเอานางโมโหทนไม่ไหว สะบัดกระบี่ออกไป พริบตาก็ฟันองครักษ์พวกนั้นขาดเป็นหลายท่อน
อูถงเอาแต่จ้องมองกระบี่นางที่แทงมา พลันกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “หลิงหลงตายแล้ว ใช่ไหม”
ข้อมือเสวียนจีสั่นเทา น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “นางย่อมไม่มีวันตาย! คนที่จะตายก็มีเพียงเจ้าเท่านั้น!” กล่าวจบก็ยกกระบี่ในมือแทงไป แทงเข้าที่ไหล่เขา เดิมนางคิดว่าอย่างน้อยเขาต้องต่อต้านบ้าง ครั้งก่อนเขาใช้ลมปีศาจพัดจนนางไร้หนทางรับมือ ผู้ใดจะรู้ว่าเขากลับยืนนิ่งอยู่กับที่ ราวกับมนุษย์ธรรมดาที่ไม่เป็นอะไรสักอย่าง ปล่อยให้นางแทงตาย
ภาพนี้ทำให้นางลงมือไม่ลงอยู่สักหน่อย พลันตะลึงนิ่งอึ้งอยู่กับที่ ร่างนางเต็มไปด้วยเลือด ล้วนเป็นเลือดองครักษ์เมื่อครู่พวกนั้น ร่างอูถงก็เต็มไปด้วยเลือด แต่ล้วนเป็นเลือดเขาเอง เขาหรี่ตามองถามน้ำเสียงทุ้มต่ำ “นางตายแล้ว ใช่ไหม”
เสวียนจีเสียงแหบพร่ากล่าวว่า “เจ้ารู้แล้วยังแกล้งถาม! เจ้ารู้ว่าศิษย์พี่หกของข้ากับนางดังกิ่งทองใบหยก วันหน้าต้องแต่งงานร่วมชีวิต เจ้ายังส่งคนลอบสังหารศิษย์พี่หกข้า! หากเขาตาย หลิงหลงจะอยู่อย่างไร?! เจ้าถึงกับกล้าถามข้าเช่นนี้!”
อูถงอึ้งไปเล็กน้อย ราวกับไม่อยากเชื่อ ตามมาด้วยสายตาส่องประกายวาบ หัวเราะดังลั่น “คนตายก็คือจงหมิ่นเหยียน? ฮา ฮา ฮา! ฮา ฮา! ตายได้ดี! ตายได้ดี! ฆ่าได้ดี!”
“เจ้ายังแกล้งโง่!” เสวียนจีโมโหสุดขีด ชักกระบี่แทงอีก ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวแค่นเสียงฮึ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะราวกับยินดียิ่ง แต่เสียงหัวเราะก็ยังแฝงความเศร้าสลดปะปนกระแสหนึ่ง ทำเอารู้สึกกลัวจนขนลุก “ใช่ ข้าส่งคนไปลอบสังหารเจ้าโจรชั่วจงหมิ่นเหยียนนั่น! เขาตายไป ข้าก็จะมีความสุขแท้จริง!”
เสวียนจีกำลังจะฟันกระบี่ใส่หัวเขา พลันได้ยินจิ้งจอกม่วงร้องตกใจ “เสวียนจี! สองเทพเฝ้าประตู…มาทางนี้แล้ว!”
นางตกใจรีบหันกลับไป เห็นเพียงเซินซูและอวี้ลวี่สองเทพสายตาลุกโชนอยู่ตรงนั้นดังคาด ราวกับรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ กำลังจะก้าวเข้าไป ทุกด้านล้วนมีเสียงภูเขาสั่นสะเทือน จิ้งจอกม่วงกลัวเทพเฝ้าประตูที่สุด จึงรีบแวบไปหลบหลังเสวียนจี โผล่เพียงลูกตาออกมาจ้องมองพวกเขา
อยู่ๆ มกรก็กระโดดขึ้นราวกับได้รับเลือดไก่อัดฉีดมีพลังขึ้นมา ร้องดังขึ้นว่า “พวกเขามาแล้ว! ต้องตั้งรับ?! ดีมากๆ! กลับไปไป๋ตี้ถามข้า ข้าก็จะบอกว่าพวกเขาลงมือก่อน ไม่ใช่ข้าก่อเรื่อง!”
เสวียนจีกำลังจะกล่าว ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะชั่วร้ายของอูถง กล่าวว่า “ข้าจะไปแล้วนะ เจ้ามีความสามารถก็ตามมาสิ!” นางตกใจอีกครั้ง เสียงลมพัดผ่านข้างหูไป ร่างอูถงเต็มไปด้วยเลือด ถึงกับลอยตัวเหินกระบี่ขึ้นไป เหมือนไม่ทันได้มองเทพเฝ้าประตูทั้งสอง หากกระแทกผ่านพวกเขาเข้าไป
จิ้งจอกม่วงตกใจร้องเสียงหลง เห็นเสวียนจีไม่อยู่ที่เดิมแล้ว เงาร่างเหมือนสายฟ้าสีขาวแวบหนึ่ง พริบตาก็ไล่ตามไป นางร้อนใจทั้งกระทืบเท้าทั้งส่งเสียงตะโกนเรียก ไม่รู้ควรทำเช่นไรดี เห็นเงาหนึ่งแวบไป อีกเงาไล่ตาม มกรเองก็ตื่นเต้นรีบไล่ตามไป จิ้งจอกม่วงอึ้งเป็นนาน ได้แต่สะบัดเปีย ตะโกนเรียก “รอข้าด้วยสิ! ข้าไปด้วย!”