ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 30 ห่วงฟ้าขอสมุทร (4)
จิ้งจอกม่วงไม่รู้ว่าเขาใช้ขอสมุทรเช่อไห่ทำอะไร อย่างไรตอนนางฟื้นขึ้นมาก็ออกจากแดนปรภพแล้ว เขาปู้โจวซานสูงตระหง่านเทียมเมฆอยู่ข้างกาย ลมหนาวพัดเย็น เสียงพูดคุยดังมาจากที่ไกลออกไป มีเสียงอู๋จือฉีกำลังคุยกับใครสักคน
จิ้งจอกม่วงรีบกระโดดวิ่งไป เห็นเพียงด้านหลังไม่ไกลมีเทพชุดเกราะทองคำยืนอยู่สององค์ ท่าทางเช่นนั้น ความสง่าเช่นนั้น ดูอย่างไรก็เหมือนสองขุนพลเทพเซินซูและอวี้ลวี่ที่เฝ้าดูแลเขาปู้โจวซาน แต่เซินซูและอวี้ลวี่แต่ไรมาก็สูงใหญ่หมื่นจั้งมาตลอด เทพชุดเกราะทองคำสององค์นี้…ราวกับสูงพอๆ กับคนธรรมดา
อู๋จือฉีกอดอกหัวเราะร่ายืนตรงหน้าทั้งสอง เอียงศีรษะไม่รู้พูดอะไร จิ้งจอกม่วงก้าวเข้าไปอีกนิด ไปเกาะไหล่เขา จมูกแหลมๆ มุดอยู่หลังคอเขา กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “อู๋จือฉี…ท่าน ท่านคุยกับใคร”
อู๋จือฉีไม่ตอบ ยกมือขึ้นลูบขนเงางามของนางกล่าวว่า “ขังข้ามานานหลายปีเช่นนี้ ข้าไม่ทำร้ายพวกเจ้าแม้แต่เส้นขน แค่ฉีกเขาปู้โจวซานนิดหน่อย ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่กระมัง เป็นเทพเซียนน่ะ ไม่อาจทำเกินไปนะ ไม่เช่นนั้นข้าจะโมโห พอข้าโมโห ข้าเองก็ไม่รู้จะทำอะไรบ้าง…พวกเจ้าเข้าใจไหม” เขายิ้มราวกับไม่ยี่หระกับสิ่งใด ท่าทางเหมือนว่าพวกเราเป็นพี่น้องกันมา พวกเจ้าคงเข้าใจ
เซินซูโมโหกล่าวว่า “เป็นปีศาจไม่อาจเหิมเกริมมากเกินไป เจ้าต้องรู้ตัวเองให้ดีกว่าเจ้าเป็นนักโทษ ตอนนี้เจ้ากำลังหนีเอาตัวรอด! ทำให้ฟ้าดินต้องสะเทือนไม่ใช่ว่าคิดหาเรื่องหรือ เขาปู้โจวซานบอกว่าจะแยกก็แยกได้หรือ?!”
อู๋จือฉีตาวาว ลูบจมูกยิ้มกล่าวว่า “อ้อ? ความหมายเจ้าคือข้าทำเงียบๆ ก็ไปได้อย่างนั้นสิ?”
เซินซูหน้าแดง “เหลวไหล! ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ! รีบกลับไปรอรับการไต่สวนจากมหาเทพโฮ่วถู่! อย่าพูดจาไร้เหตุผลอีก!”
“ถุย รำคาญจริง” อู๋จือฉีส่ายหน้า อยู่ๆ สะบัดแขนตวาดดัง เซินซูและอวี้ลวี่รู้อยู่ว่าเขาแกล้ง แต่ก็ตกใจผงะถอยหลังไปหลายก้าวจนเกือบล้ม ผู้ใดจะรู้ว่าเขาหัวเราะดังลั่นยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ทั้งสองมองเขาอย่างไม่แน่ใจ ไม่รู้เขาเล่นลูกไม้อะไร
“เอาละ ข้าไม่มีเวลามาเล่นกับพวกเจ้า” อู๋จือฉียิ้มสะบัดเปียไปมาวุ่นวายกล่าวว่า “ไม่คิดจะสู้กับข้าและก็ไม่ให้ข้าไป พวกเจ้าเป็นสตรีลิ้นยาวที่เอาแต่สู้ด้วยปากหรือ”
“เจ้า…” เซินซูหน้าแดงแทบไหม้ ไม่รู้อับอายหรือละอาย กำลังจะโต้เถียงกับเขาต่อก็ถูกอวี้ลวี่ดึงไว้ “พวกเราสู้เจ้าไม่ได้ แต่ในเมื่อมีสถานะขุนพลเทพเฝ้ารักษาเขาปู้โจวซาน ความรับผิดชอบต้องมาอันดับหนึ่ง แม้ว่าต้องสู้จนตัวตายก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ วาจาเหลวไหลพูดกันถึงตรงนี้พอ ลงมือได้!” เขาชักกระบี่จูเสียที่เอวออกมา ตัดสินใจแน่วแน่ ถึงตายก็ต้องรั้งเขาไว้
เซินซูข้างๆ ก็ชักกระบี่ชวีหมอออกมา ทั้งสองมาขวางหน้าอู๋จือฉี ไม่กล่าวอันใดอีก
จิ้งจอกม่วงเห็นกระบี่ พวกเขาทั้งสามกำลังจะปะทะกัน เกรงว่าหากลงมือกันขึ้นมา นางต้องโดนไปด้วย จึงแอบปีนขึ้นไปหลบบนหลังอู๋จือฉีเงียบๆ หันกลับไปมองเขาปู้โจวซาน รู้สึกเพียงแค่ภูเขานั่นราวกับถูกคนฉีกออกเป็นรอยแยกโค้งยาว ลมเหม็นเน่าพัดหวีดหวิวโชยออกมา มีเสียงร่ำไห้โหยหวนมากมายนับไม่ถ้วนแว่วดังออกมา ทำเอาคนหวาดกลัวขนลุกไปหมด ที่แท้เมื่อครู่อู๋จือฉีใช้ขอสมุทรเช่อไห่เกี่ยวเขาปู้โจวซานแยกออกเต็มแรง! แต่ก็สมเป็นเขา อู๋จือฉีแต่ไรมาก็เป็นคนเถื่อนมาก
นางเกาหูมองไปยังอู๋จือฉีอีกที เขายังคงกอดอก วางท่าทางสบายๆ ยิ้มกล่าวว่า “มาสิ ข้ามือเปล่าเล่นเป็นเพื่อนพวกเจ้า!”
สองขุนพลเทพน่าสงสารถูกเขายั่วจนโมโห สีหน้าครู่หนึ่งแดงครู่หนึ่งขาวครู่หนึ่งเขียว ดูท่าขยาดเขาจริง แม้ว่าผ่านมาพันปี แต่ภาพน้ำท่วมแดนสวรรค์ตอนนั้นยังคงติดตา ขุนพลเทพยี่สิบแปดดวงดาวนักษัตรที่แข็งแกร่งขนาดไหน ยังถูกเขาสังหารทีเดียวหมดไปเกินครึ่ง สุดท้ายแม้แต่เต่าดำเสวียนอู่ยังบาดเจ็บสาหัสไร้ทางรักษาจนต้องตาย แขนขวาหงส์แดงจูเชวี่ยถูกเขาตัดทิ้ง ผู้ใดจะกล้าสู้กับเขา
เซินซูลำคอสั่นเทา เหงื่อเย็นผุดออกมาตามสันจมูกร่วงลงมาเป็นหยด อวี้ลวี่ไม่ขยับ อู๋จือฉีก็ไม่ขยับ เขาทนไม่ไหวแล้ว ลงมือก่อนได้เปรียบ! ขจัดมารปีศาจเป็นหน้าที่ทรงเกียรติ กำลังจะออกกระบวนท่า พลันได้ยินจิ้งจอกม่วงร้องตะโกนขึ้นว่า “สวรรค์! พวกเจ้ามาได้อย่างไร?!”
ในยามสถานการณ์กำลังคับขัน นางกลับอุทานหวีดร้องขึ้น น่ากลัวยิ่งกว่าสายฟ้าฟาดกลางท้องฟ้าแจ่มใสเสียอีก ข้อมือเซินซูอดสั่นไม่ได้ กระบี่ชวีหมอยังไม่ได้ฟันแม้แมลงวันสักตัว ฟันลงพื้นเสียงดังแทน อยู่ๆ เขาพลันรู้สึกละอายจนใบหน้าแดงก่ำไปหมด แอบลอบมองอู๋จือฉีแวบหนึ่ง หวังว่าเขาจะไม่รู้ตัว ผู้ใดจะรู้ว่าหางตาเขากระตุกเล็กน้อย ยิ้มเยียบเย็น “ยังคงไร้ประโยชน์เหมือนเดิม!”
เซินซูแทบอยากจะขุดรูหนีไปเสียอย่างนั้น อวี้ลวี่เห็นเพื่อนขุนพลถูกหลู่เกียรติอย่างที่สุด หากตนเองยังไม่ขยับอีก วันนี้ก็คงได้ถูกวานรนี่เหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้าแล้ว จึงได้คำรามดังพุ่งเข้าไปตวัดกระบี่จูเสียใส่อย่างไม่นึกถึงชีวิต กวัดแกว่งไปไม่กี่ที ก็ได้ยินเสียงด้านหลังอ่อนหวานถามว่า “นี่กำลังทำอะไรกัน” พอเขาได้ยินเสียงนี้ ในใจก็ตกใจ จูเสียร่วงหลุดมือกระเด็นออกไปไกลมาก ยามนี้สีหน้าเขาแดงก่ำเสียยิ่งกว่าเซินซู
อู๋จือฉีหันกลับไปมองอย่างเหนื่อยหน่าย อยู่ๆ ก็คิ้วกระตุก ยิ้มร่าฟันขาวเรียงวาวกล่าวว่า “โอ๊ะ! ทำไมเป็นพวกเจ้าได้ มาหาข้าหรือ บังเอิญจริง!”
ด้านหน้ามีคนยืนอยู่ เป็นพวกเสวียนจีทั้งสาม พวกเขาเพิ่งมาถึงเขาปู้โจวซาน มองไกลๆ ก็เห็นลำแสงสีทองเซินซูและอวี้ลวี่ เนื่องจากครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ปล่อยพลังเทพหมื่นจั้ง หลิ่วอี้ฮวนจึงกล่าวว่าแสงสีทองนั่นคือทองคำ ดึงเสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งมาเก็บทองแท่งร่ำรวยกัน ผู้ใดจะรู้ว่าพอเข้าใกล้ก็พบกว่าเป็นเซินซูและอวี้ลวี่ เขาสองคนกำลังขวางอู๋จือฉี ชักกระบี่ออกมาเปล่งประกาย
เสวียนจีเดินเข้ามา เห็นสีหน้าเซินซูและอวี้ลวี่ครู่หนึ่งซีดขาวครู่หนึ่งแดงก่ำ อาวุธทั้งสองอันหนึ่งตกที่พื้น อีกอันกระเด็นไปไกล หันกลับไปมองหน้าตาไม่ยี่หระของอู๋จือฉี จึงขมวดคิ้วขึ้นทันทีกล่าวว่า “เจ้าเกินไปแล้วนะ! รับปากข้าว่าจะไม่ทำร้ายคนแดนนรกแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมลงมือกับพวกเขา”
อู๋จือฉีถลึงตาใส่อย่างไม่รู้ตนทำผิดอะไร “ข้า? ลงมือกับพวกเขา? ปรักปรำ! แม้แต่นิ้วมือข้าก็ยังไม่ได้ขยับเลยนะ!”
เสวียนจีขี้เกียจสนใจเขา เดินไปเก็บกระบี่จูเสียปราบมารของอวี้ลวี่กลับมาส่งให้เขา กล่าวอ่อนโยนว่า “ขอโทษ ทำให้พวกเจ้าตกใจอยู่เรื่อย พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
อวี้ลวี่อึ้งรับกระบี่จูเสียปราบมารคืน วาจาหนึ่งก็ไม่ทันได้กล่าว เซินซูข้างๆ ก็ไม่ได้กล่าวอันใดสักคำ ยามนี้พวกเขาจะกล่าวอันใดได้ หนึ่งเทพสงคราม หนึ่งมารปีศาจสะเทือนฟ้าดิน หากไม่คิดตาย ดีที่สุดก็ไม่ควรกล่าวอันใด
อู๋จือฉียิ้มกล่าวว่า “ที่แท้ก็มารับข้าจริง! ขอบคุณมากๆ!”
หลิ่วอี้ฮวนยิ้มเยียบเย็น เดินไปอีกทาง ปากไม่รู้พึมพำอะไร อวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “สองปีนี้ท่านไม่ได้ออกไปไหน อยู่แต่ใต้แดนนี่หรือ”
อู๋จือฉียักไหล่ “ไม่ได้เจอจิ้งจอกน้อยมานาน ก็อยากคุยเป็นเพื่อนนาง ออกไปย่อมมีงานกองอยู่ ไม่มีเวลาสนใจนาง นางต้องร้องไห้ใส่ข้าแน่ นางร้องไห้ขึ้นมาน่ารำคาญจะตาย”
จิ้งจอกม่วงกำลังพาดปีนอยู่บนไหล่เสวียนจีอย่างดีใจ พอได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ก็โมโหจนโดดกลับไปกัดมือเขาเต็มแรงทีหนึ่ง ร้องดังขึ้นว่า “เจ้าสิน่ารำคาญจะตาย! วานรเหม็น!” อู๋จือฉีหัวเราะร้องโอดโอย คว้าหางนางไว้ พลิกฝ่ามือเหวี่ยงนางขึ้นบ่าตนเอง ใช้มือกดไว้ ก่อนก้มลงหอมหางปุกปุยนางยิ้มกล่าวว่า “อย่าโมโหๆ จิ้งจอกน้อยน่ารักที่สุด”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวอีกว่า “ข้าคิดว่าเจ้าออกไปนานแล้ว เอาห่วงฟ้าเทียนจวินคืนให้ตำหนักหลีเจ๋อแล้ว”
อู๋จือฉี “ชิ” ขึ้นเสียงหนึ่ง “รีบอะไร รอมาพันปียังรอได้ รออีกครู่หนึ่งไม่ได้? ไปๆ ไปจากที่บ้าๆ นี่กันก่อน ชื้นแฉะ ไม่สบายตัวเลย”
กล่าวจบเขาเงยหน้าขึ้นก็จะไป เสวียนจีรีบร้องดังขึ้นว่า “ช้าก่อน! อู๋จือฉี…มีเรื่องหนึ่งอยากขอให้เจ้าช่วย…” นางพูดท่าทางลังเล เหมือนไม่รู้จะเอ่ยอย่างไร อู๋จือฉีสีหน้ายินดีปรี่เข้ามาคว้ามือนาง กล่าวอ่อนโยนว่า “พูดมาสิ! พี่สาวเทพสงครามมีเรื่องใดสั่งการ ถึงต้องบุกน้ำลุยไฟข้าก็ไม่ลังเล”
จิ้งจอกม่วงบนหลังไม่รู้กัดเขาไปกี่ที เขาได้แต่ทำไม่สนใจ เสวียนจีเห็นเขากระตือรือร้นเช่นนี้ อยู่ๆ พลันรู้สึกเขาว่าเป็นคนดีที่หนึ่งในโลก ก็พรั่งพรูออกมาราวเทกระจาดเม็ดถั่วทันที สุดท้ายกล่าวว่า “ข้า…ข้าอยากขอให้เจ้าช่วยข้าไปหาถิงหนูที่ทะเลตงไห่ จากนั้น…ดูแลถิงหนูกับท่านอาหลิ่ว อย่าให้พวกแดนสวรรค์มาจับพวกเขาไป ได้ไหม”
อู๋จือฉีหรี่ตามอง ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “เหตุใดไม่ไปเองล่ะ หรือว่าเจ้าสู้ข้าไม่ได้”
เสวียนจีส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าต้องไปเขาคุนหลุน อยู่ๆ มีความผิดโทษกบฏ ข้าทำใจยอมรับไม่ได้”
อู๋จือฉีโบกมือ “เรื่องน่าสนุกเช่นนี้ เจ้าไปเอง ถึงกับไม่เรียกข้า! ข้าจะไปแดนสวรรค์ด้วย! พาเจ้าอะไรหลิ่วๆ นั่นไปด้วยเลย ไปแดนสวรรค์ด้วยกันก็แล้วกัน! ข้าคุ้นเคยเขาคุนหลุนมาก”
เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “ไม่ได้! เช่นนั้นถิงหนูทำอย่างไร จะว่าไป ครั้งนี้ข้าไปพบเพื่อคุยเหตุผล ไม่ใช่ไปหาเรื่องต่อยตี เจ้าเหมือนกับมกรเลย ไม่ทันไรก็จะลงมือ ข้าไม่พาเจ้าไปหรอก!”
“นี่ นี่!” อู๋จือฉีชักสีหน้าหน่ายใจ “อย่าเอาข้ารวมกับเจ้าหัวเงินนั่นได้ไหม…ใช่แล้ว เขาล่ะ ไม่ใช่ว่าออกมาก็จะมาสู้กันหรือ ทำไมเขาไม่มา”
เสวียนจีขมวดคิ้วแน่นไม่กล่าวอันใด ได้ยินอวี้ลวี่ด้านหลังกล่าวว่า “ใต้เท้ามกรถูกไป๋ตี้ขังแล้ว ไม่อนุญาตให้ลงมาสามร้อยปี สำหรับเงือกนั่น ข้าได้ยินว่าถูกใต้เท้าอิงหลงนำตัวไปแดนสวรรค์แล้ว พันปีก่อนเขามีความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดถูกให้ลงไปแดนมนุษย์ พอลงไปแล้วยังไม่รู้สำนึกแก้ไข ทำผิดอีก ราชันสวรรค์ประสงค์ลงโทษหนักมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง คิดว่าไม่กี่วันนี้ก็คงตัดสินลงโทษแล้ว”
ทุกคนได้ยินก็พากันตกใจมาก เสวียนจีน้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “สมรู้ร่วมคิด…ทำไมสมรู้ร่วมคิดอีก! สมรู้ร่วมคิดคือความผิดอะไร” อวี้ลวี่มองนางแวบหนึ่ง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เขาเป็นสหายสนิทท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพเกิดเรื่อง เขาย่อม…” เสวียนจีมองเขางุนงงสับสน ใช่ คนรอบกายนางมักโชคร้าย ซือเฟิ่ง พี่หลิ่ว ถิงหนู…นี่มันเรื่องอะไรกันแน่
อู๋จือฉียิ้มกล่าวว่า “ทำไม เมื่อครู่ยังชักกระบี่เอาเรื่อง ตอนนี้กลับมาทำเอาใจ กลัวท่านแม่ทัพพวกเจ้าฟันกระบี่ใส่พวกเจ้าขาดสองท่อนหรือ”
อวี้ลวี่หน้าซีด ตามมาด้วยกล่าวว่า “ไม่ พวกเราแค่ขุนพลเทพประจำเขาปู้โจวซานเท่านั้น เรื่องแดนสวรรค์ไม่มีสิทธิ์พูด แต่ท่านแม่ทัพกบฏหรือไม่ พวกเราล้วนเข้าใจดี คนเช่นนางนี้…ย่อมไม่ทำเรื่องผิดต่อหลักการฟ้าดิน ต่างกับมารปีศาจบ้าคลั่งเหิมเกริมพวกนั้นสิ้นเชิง”
“ฮา ฮา!” อู๋จือฉีหัวเราะดังลั่น “อืม บ้าคลั่งเหิมเกริม ไม่เลว! บรรยายภาพได้ดี ข้าชอบ!”
อวี้ลวี่กล่าวอีกว่า “หากท่านแม่ทัพจะไปเขาคุนหลุน รออีกสองเดือนค่อยไป ตอนนั้นราชันสวรรค์ลงมาชมอุทยาน ไม่ต้องขึ้นแดนสวรรค์ก็เข้าเฝ้าได้ ตอนนี้ท่าน…แค่มนุษย์ธรรมดา บุกแดนสวรรค์เป็นความผิดมหันต์”
เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “สองเดือน! เช่นนั้น ถิงหนูคงตายไปนานแล้ว!”
เซินซูอดกล่าวไม่ได้ว่า “ตายก็ตายไป เงือกเท่านั้น! หากท่านดึงดันไปตอนนี้ เดิมไม่ใช่ความผิดโทษตายก็ต้องกลายเป็นความผิดโทษตาย ไม่คุ้มกันเลย!”
เสวียนจีอึ้งมองเขา สีหน้าซีดขาว เซินซูถูกสายตานางจ้องใส่ก็รู้สึกหวาดกลัว ผงะไปสองก้าว ติดอ่างกล่าวว่า “ข้า…ข้าก็แค่หวังดีเตือนท่านเท่านั้น ไปตอนไหนก็เรื่องของท่าน! อย่างไรท่านจะเป็นปรปักษ์กับผู้ใดก็ได้ ยกเว้นราชันสวรรค์ ท่าน ท่านคิดเอาเองเถอะ!”
อู๋จือฉีตบไหล่เสวียนจีทีหนึ่ง กล่าวว่า “เอาเถอะ ไปกันเถอะ! สองเดือนก็สองเดือน พอดีมีเรื่องห่วงฟ้าเทียนจวินต้องสะสางสักหน่อย”
แต่…เสวียนจีส่ายหน้า นางจะทนเฉยดูถิงหนูตายไปอย่างไร้เหตุผลได้อย่างไร
“เขาย่อมไม่ตายเร็วเช่นนั้น ก่อนมาจับเจ้าและข้า เขาย่อมไม่ตาย โทษแดนสวรรค์ชอบลงโทษพร้อมกัน สองตัวหัวหน้ายังไม่ถูกจับ เขาแค่สมรู้ร่วมคิด อย่างไรก็ไม่อาจลงโทษได้ เจ้าวางใจเถอะ”
อู๋จือฉีดึงแขนเสื้อนาง ในที่สุดเสวียนจีก็พยักหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ตามทุกคนออกจากเขาปู้โจวซาน เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินอวี้ลวี่ด้านหลังดังมาว่า “ท่านแม่ทัพ! ขอให้ท่านคืนตำแหน่งโดยเร็ววัน อยู่ในกฎเคร่งครัด อย่าได้ไปร่วมแปดเปื้อนไปกับพวกมารปีศาจ อย่าลืมๆ!”
ในใจเสวียนจีพลันสะดุ้ง หันกลับไปมองอีกที สองขุนพลเทพหายวับไปแล้ว นางพลันรู้สึกมีเรื่องบางเรื่องไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง ไม่ถูกต้องอย่างที่สุด แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก เหตุใดไม่ถูกต้อง
ที่ว่าไม่ถูกต้อง แท้จริงนั้นคืออะไรกันแน่