ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 40 กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง (4)
อวี่ซือเฟิ่งมอบแผนปฏิรูปที่แก้ไขเรียบร้อยให้อาวุโสหลัวก่อนขึ้นไปหอตันหยา ทุกคนเห็นแผ่นกระดาษแน่นขนัดไปด้วยตัวอักษรเป็นระเบียบเรียบร้อย ประเด็นก็คือใช้สีชาดอธิบายความชัด ทุกข้อล้วนอธิบายความละเอียดรอบคอบ ก็รู้สึกเลื่อมใสยอมลงให้เขาด้วยใจในทันที รู้ว่าเขาตั้งใจทำงานเพื่อตำหนักหลีเจ๋อ
อวี่ซือเฟิ่งมองไปยังศิษย์อายุน้อยมากมายด้านล่างของหอตันหยา พวกเขาล้วนฟังคำสั่งอาวุโส ต่างถอดหน้ากากออก ใต้แสงตะวันส่องให้เห็นใบหน้าซีดขาวและอารมณ์ความรู้สึกหวาดกลัวแบบเดียวกันหมด ทุกคนล้วนเป็นผลผลิตจากกฎเหล็กตำหนักหลีเจ๋อ เมื่อก่อนอวี่ซือเฟิ่งเองก็เช่นกัน
“เจ้าตำหนัก ต้องการกล่าวอันใดกับบรรดาศิษย์เราไหม” บรรดาผู้อาวุโสยิ้มถามเขา
อวี่ซือเฟิ่งพยักหน้า ก้าวออกมาก้าวหนึ่ง ลมทะเลพัดแขนเสื้อกว้างของเขาโบกสะบัดส่งเสียงดัง เขาสูดหายใจเข้าก่อนจะกล่าวเสียงดังกังวานว่า “ข้าคิดจะถามทุกคนคำถามหนึ่งก่อน ขอให้ตอบข้ามาตามตรง ไม่มีอันใดต้องหวาดกลัว! เมื่อก่อนพวกเจ้าเคยโกรธเกลียดตำหนักหลีเจ๋อไหม”
เสียงฮือฮาดังจากเวทีด้านล่าง อาวุโสหลัวกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าตำหนัก เรื่องนี้อย่างไรก็อย่าพูดกันเปิดเผยดีกว่า…” ยังกล่าวไม่ทันจบก็ถูกอวี่ซือเฟิ่งยกมือห้ามไว้ กล่าวว่า “ทุกคนไม่ต้องกังวลอันใดทั้งนั้น พูดมาได้เลย! ไม่เช่นนั้นข้าพูดก่อน ข้าเคยเกลียดตำหนักหลีเจ๋อ โดยเฉพาะกฎให้สวมหน้ากากทั้งวัน บางครั้งถึงกับเคยโมโหดึงหน้ากากออกมากระทืบจนพัง ข้าคิดจะสร้างตำหนักหลีเจ๋อที่ต่างไปจากเดิม ดังนั้นเรื่องแรกก็คือยกเลิกกฎสวมหน้ากากนี่เสีย หากระหว่างคนกับคนไม่อาจสนิทสนมกัน แม้แต่ใบหน้ายังต้องสวมหน้ากาก ไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจหรอกหรือ ดังนั้นวันนี้ขอให้ทุกคนถอดหน้ากากออก เผชิญหน้ากันอย่างจริงใจ ไม่ว่าในใจมีเรื่องสงสัยหรือเจ็บปวดโกรธแค้นใด ก็กล่าวออกมาให้สะใจกันได้เลย! ทุกคนล้วนเป็นคนตำหนักหลีเจ๋อ ที่นี่คือบ้านพวกเรา พูดจากันที่บ้าน หรือว่ายังต้องลังเลใจอีก”
วาจาเขากล่าวจบ ทั่วบริเวณพลันเงียบกริบ ไม่มีคนพูดอะไรสักคำอยู่นาน อาวุโสหลัวกลัวอวี่ซือเฟิ่งจะเก้กัง กำลังจะกล่าวแทรกเพื่อจัดการสถานการณ์เก้กังนี้ พลันได้ยินเวทีด้านล่างมีคนกล่าวอย่างกลัวๆ ว่า “ข้า…ข้าเคยเกลียด พอเข้ามาแล้วราวกับถูกขังอยู่ในกรง บอกว่าปีหนึ่งได้กลับบ้านเกิดครั้งหนึ่ง จริงๆ แล้วโกหกทั้งนั้น! ข้า…ไม่ได้กลับไปเจอหน้าครอบครัวมาเกือบห้าปีแล้ว!”
มีคนเริ่มก่อน คนด้านหลังก็รีบแทรกกันขึ้นมา บ้างก็โกรธแค้นที่ไม่อนุญาตให้ออกจากตำหนัก บ้างก็โกรธแค้นที่ไม่อนุญาตให้แต่งงาน ยังมีโกรธแค้นที่ไม่รู้สักนิดว่าห่วงฟ้าเทียนจวินคืออะไร มีประโยชน์อะไร กลับต้องมาเป็นทาสรับใช้เหมือนของเล่นเสียอย่างนั้น กล่าวถึงสุดท้ายก็มีศิษย์ที่เข้ามาเป็นศิษย์ใหม่ได้เพียงหนึ่งปีสองเดือน แต่เป็นศิษย์ที่โดดเด่นกว่าผู้ใด ประสานมือกล่าวว่า “เจ้าตำหนัก ศิษย์ขอบังอาจ ศิษย์โง่เขลา สำนักปฏิบัติการลับเป็นหน่วยงานที่ทำให้คนขยาดหวาดกลัวมาตลอด ไม่ว่าออกนอกตำหนักหรืออยู่ในตำหนัก ทุกคนล้วนหวาดกลัว ยกพวกเขาให้สูงไว้ก่อน ผู้ใดก็ไม่กล้าล่วงเกินพวกเขา กลัวว่าวันหนึ่งจะถูกสำนักคุมกฎส่งไปขังคุกใต้ดินอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ศิษย์เคยมีพี่น้องคนหนึ่ง เพียงเพราะวาจาล่วงเกินคนสำนักปฏิบัติการลับเล็กน้อย ไม่ถึงครึ่งเดือนก็ถูกหาว่ามีพันธะกับสตรีที่เป็นมนุษย์ สำนักคุมกฎถึงกับไม่มีหลักฐานก็จับเขาเข้าคุก ไม่ถึงหนึ่งเดือนก็ตาย แม้ว่าเจ้าตำหนักอายุเท่ากับพวกเรา แต่พวกเราก็เลื่อมใสท่านมาก ไม่กล้าไม่เคารพแม้แต่น้อย แต่หากการปฏิรูปตำหนักหลีเจ๋อเป็นเพียงวาจาลวงหลอก ยังมีกฎเหล็กพวกนั้นอยู่ ยังมีสำนักปฏิบัติการลับอยู่ เช่นนั้นเกรงว่าวันนี้เจ้าตำหนักจะสังหารศิษย์ ศิษย์ก็คงไม่อยู่ต่อ!”
ทุกคนเดิมยังหวาดกลัวอยู่ แต่พอเห็นเขาตรงไปตรงมาเช่นนี้ก็เริ่มไม่กลัว อยู่ๆ พลันส่งเสียงเฮดัง เสียงดังสนั่นก้องทั่วหอตันหยา ดังไปถึงตำหนักซีโต้วกงด้านในสุดปลุกเสวียนจีตื่น
ทุกคนส่งเสียงร้องตะโกนดังนานมาก สุดท้ายอวี่ซือเฟิ่งยกมือขึ้น ยกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบ รอทุกคนค่อยๆ สงบลง จึงได้กล่าวว่า “คำตอบพวกเจ้า ข้าฟังเข้าใจแล้ว” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง กวาดตามองทุกคน สีหน้าความรู้สึกทุกคนล้วนดูสับสนมาก จ้องมองเขานิ่งราวกับหวาดกลัว แต่ก็เหมือนมีความหวัง
“สำนักปฏิบัติการลับปิดลงแล้ว” วาจานี้ทำทุกคนตื่นเต้นกันขึ้นมาอีกครั้ง อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวอีกว่า “ตำหนักหลีเจ๋อเป็นสถานที่พิเศษ แม้ว่าพวกเราทุกคนไม่มากก็น้อยที่รู้สึกโกรธแค้นตำหนัก แต่สุดท้ายพวกเราก็เลือกที่จะอยู่ต่อ เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ในฐานะศิษย์ ข้าอยากบอกว่า ทุกคนยอดเยี่ยมมาก! ในฐานะเจ้าตำหนัก ข้ากลับคิดว่า ข้าอายุยังน้อย ประสบการณ์ไม่มากพอ วันหน้ายังต้องขอคำแนะนำจากทุกคน”
เขาเก็บแขนเสื้อก้มตัวลงคำนับ บรรดาทุกคนตรงเวทีด้านล่างรีบพากันคุกเข่า กล่าวเสียงดังกังวานว่า “คารวะเจ้าตำหนักคนใหม่!”
จากนี้เป็นต้นไป อวี่ซือเฟิ่งมีสถานะเจ้าตำหนักคนใหม่แห่งตำหนักหลีเจ๋อแน่นอนแล้ว
หลังจากเป็นเจ้าตำหนัก เดิมว่าจะหาฤกษ์งามยามดีจัดพิธีขึ้นสู่ตำแหน่ง แต่อวี่ซือเฟิ่งที่เพิ่งขึ้นเป็นเจ้าตำหนัก วันๆ มีแต่งานรัดตัวจนหาตัวไม่เจอ พิธีนี้ได้แต่ยืดออกไป ไม่รู้ตัวก็ผ่านไปสิบวันแล้ว
พอแบกภาระหนักเช่นนี้ขึ้นมา ก็ยากจะสลัดทิ้ง อวี่ซือเฟิ่งยุ่งหัวปั่นกับงาน บางครั้งยังคิดถึงเรื่องแดนสวรรค์อยู่บ้าง พวกอู๋จือฉียังรอพวกเขากลับไป แต่ก็แค่ความคิดชั่ววูบ งานเขามากมายจริงๆ เรื่องแดนสวรรค์พวกนั้นตอนนี้ดูแล้วเหมือนเกิดขึ้นเมื่อชาติก่อน ดูราวกับไม่ใช่ความจริง
เสวียนจีไม่ได้รู้สึกไม่พอใจกับการเอาแต่ทำงานยุ่งของเขาเช่นนี้ ในที่สุดซือเฟิ่งก็หาที่ยืนของตัวเองพบ เขาจะไม่กล่าวว่าตนเองเป็นคนหลักลอยและเอาแต่ทำหน้าเศร้าอีกต่อไป ตอนนี้แม้ว่าทุกวันเขาจะเหนื่อยจนสองตาแดงก่ำ แต่ก็มีกำลังกายกระฉับกระเฉง ท่าทีหลักลอยไม่มั่นคงแบบหนุ่มน้อยค่อยๆ หายไป ค่อยๆ กลายเป็นท่าทีหนักแน่นมั่นคง
อวี่ซือเฟิ่งมักจะจุดตะเกียงอ่านงานทั้งคืน นางก็จะเท้าคางนั่งมองเขาอยู่ข้างๆ เงียบๆ ค้นหารายละเอียดแต่ละจุดบนตัวเขาที่ต่างกับเมื่อก่อน บรรดาศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อต่างให้ความเคารพ ‘ฮูหยินเจ้าตำหนัก’ ในอนาคตผู้นี้มาก แน่นอน สัดส่วนความเคารพนั้นก็มีความรู้สึกอื่นผสมอยู่ด้วย เพราะอย่างไรสองครั้งก่อนที่นางมาก่อเรื่องที่ตำหนักหลีเจ๋อ ก็สร้างความทรงจำไว้ในใจทุกคนอยู่มาก มีช่วงหนึ่ง บรรดาศิษย์ต่างถกเถียงถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองจนหน้าดำหน้าแดง
หนึ่ง เห็นว่าอวี่ซือเฟิ่งไล่ตามเสวียนจีก่อน อีกหนึ่งโต้ว่าทุกครั้งล้วนเป็นเสวียนจีมาหาอวี่ซือเฟิ่ง ดังนั้นนางต้องไล่ตามก่อน สุดท้ายผู้ใดถูกผู้ใดผิดล้วนไม่ได้ข้อสรุป ว่ากันว่าเรื่องนี้ถูกผู้อาวุโสปิดปาก ไม่อนุญาตให้พวกเขาคุยกันอีก ได้แต่ให้จบๆ ไป
ไม่ทันรู้ตัวก็ผ่านไปได้สิบวันแล้ว ทุกวันอวี่ซือเฟิ่งยังคงยุ่งราวกับลูกข่าง ร่างกายแม้ทำจากเหล็กไหลก็ไม่อาจทนทรมานเช่นนี้ได้ ตอนกลางคืนที่กำลังพิจารณาแผนการต่างๆ ที่บรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายส่งขึ้นมา เขาก็มักจะเท้าคางหลับไป
พริบตาก็รู้สึกราวกับมีเงาร่างวาบผ่านตรงหน้า เขาตกใจตื่นขึ้นลืมตามอง เห็นตากลมโตเสวียนจีมองจ้องอยู่
“เหนื่อยหรือยัง หรือให้ข้าช่วยเจ้า” นางปัดปอยผมที่ปรกหน้าผากเขาออก ถามน้ำเสียงอ่อนโยน
อวี่ซือเฟิ่งถอนหายใจ ยกสองแขนขึ้นบิดขี้เกียจ กล่าวเบาๆ ว่า “เรื่องวุ่นวายพวกนี้ เจ้าต้องไม่ชอบทำแน่”
เสวียนจีหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งตรงหน้าเขาขึ้นมาอ่านดูแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ความเห็นทุกคน เจ้าก็ต้องเติมความเห็นตนเองลงไปยาวเป็นชุดเลยหรือ บางเรื่องพูดเอาด้วยวาจาก็ได้นี่ ข้าบอกเจ้านะ ท่านพ่อเคยกล่าวว่า อยู่ในตำแหน่งเบื้องบน ดีที่สุดอย่าเอาเรื่องทุกเรื่องมากองไว้ที่ตน เช่นนี้ไม่เพียงแต่เหนื่อย คนเบื้องล่างยังจะแอบเกียจคร้าน ต้องเลือกคนมีความสามารถ ลองมอบอำนาจให้เขาไปทำดู ทุกคนล้วนได้แสดงความสามารถตน ไม่เช่นนั้นหากเจ้าเก่งกาจเช่นนี้ จะให้พวกอาวุโสและบรรดาศิษย์ทำอะไร ท่านพ่อข้าแต่ไรมาไม่เคยยุ่งเหมือนเจ้าเลย”
อวี่ซือเฟิ่งลูบคางคิดไตร่ตรองครู่หนึ่ง พยักหน้ากล่าวว่า “เจ้าสำนักฉู่กล่าวได้ถูกต้อง ข้ามักเป็นห่วง กลัวพวกเขาทำได้ไม่ดี หลายเรื่องต้องทำเองจึงวางใจ แต่เช่นนี้กลับทำให้พวกเขายิ่งแอบขี้เกียจ ดูท่าเป็นเจ้าสำนักก็ต้องเรียนรู้”
เสวียนจียิ้มเล็กน้อย กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้า เจ้ายังเรียกเจ้าสำนักฉู่หรือ”
ในใจอวี่ซือเฟิ่งวูบไหว กุมมือนางไว้กล่าวเบาๆ ว่า “ครั้งก่อนรีบออกจากสำนักเส้าหยาง ยังไม่ทันได้ขอเจ้ากับท่านพ่อเจ้าเลย ท่านพ่อตาคำนี้ ข้าจะกล้าเรียกออกมาได้อย่างไร”
“มีอันใดไม่กล้า…” เสวียนจีงึมงำกับตนเอง “ครั้งนี้ท่านพ่อไม่มีเหตุผลอะไรมาขัดเจ้าแล้ว อย่างพวกเรื่องไม่มีงานการอะไรพวกนั้นน่ะ…”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มถาม “เจ้าพูดงึมงำอะไรอยู่คนเดียว”
“ไม่มีอะไร” เสวียนจีหาว “ข้าง่วงแล้ว จะไปนอนแล้ว เจ้าพักผ่อนเร็วหน่อย อย่าทำงานยุ่งจนล้มป่วย”
อวี่ซือเฟิ่งรีบดึงแขนเสื้อนางไว้ เผยรอยยิ้มบางถามว่า “เสวียนจี อยากไปเดินเล่นข้างนอกไหม ป่าหลังตำหนักหลีเจ๋อมีน้ำพุสีเงินแห่งหนึ่ง กลางคืนส่องแสงได้ เมื่อก่อนข้ามักไปเล่นที่นั่นบ่อยๆ”
เสวียนจีจ้องเขาตากลมโต “แต่…เจ้าไม่ใช่มีงานมากมายยังไม่ได้ทำ…”
“ไว้กลับมาข้ามอบให้ผู้อาวุโสทั้งหลายไปจัดการ แอบขี้เกียจบ้างก็มีรสชาติไม่เลว”
“เจ้าไม่ง่วงหรือ”
“ตอนนี้ไม่ง่วงแล้ว”
แต่ข้าง่วงมากน้า…เสวียนจีแอบบ่นในใจ หากก็ตามใจเขา ได้แต่หน้ามู่ถูกเขาลากออกไป สองคนราวกับพวกย่องเบา ค่อยๆ ย่องผ่านเวรยามรอบๆ วิ่งตรงออกไปยังป่าด้านหลัง ก่อนจะหัวเราะดังลั่น
“ตอนเด็กข้ามักทำเรื่องเช่นนี้ แอบหนีออกไปเล่นในยามค่ำคืน มีครั้งหนึ่งถูกอาจารย์พบเจ้า ตีก้นข้าเสียยกใหญ่ แต่ยิ่งตีข้าก็ยิ่งคิดออกมา ตอนนั้นหนีมาเล่นที่น้ำพุสีเงินนี่ เป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุดในใต้หล้าแล้ว”
อวี่ซือเฟิ่งจูงมือนาง ทั้งสองค่อยๆ เดินไปท่ามกลางป่าเขา เสวียนจียิ้มกล่าวว่า “ข้าเองก็เคย ตอนเด็กข้ามักไม่ชอบฝึกยุทธ์ ทุกครั้งท่านพ่อจะส่งคนมาจับตัวข้า ข้าหนีไปแอบ บรรดาศิษย์พี่หาข้าไม่เจอ ได้แต่กลับไปโดนท่านพ่อด่า พวกเขาล้วนเกลียดข้ามาก แต่ตอนนั้นข้าเห็นพวกเขาถูกดุว่าแล้ว ในใจก็ดีใจอย่างมาก”
“เจ้าเป็นเด็กไม่ดีมาตั้งแต่เด็กเลยนี่” อวี่ซือเฟิ่งเคาะศีรษะนางเบาๆ ทีหนึ่ง เสวียนจีส่ายหน้า “ไม่ใช่นะ…เพราะปกติพวกเขาเห็นข้าเป็นอากาศธาตุ มีแต่ตอนถูกท่านพ่อด่าจึงจะมาคุยกับข้า มีคนคุยกับเจ้า หรือว่าไม่ใช่เรื่องน่าเบิกบานใจ”
โดดเดี่ยวเดียวดาย ล้วนเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุดบนโลกนี้
อวี่ซือเฟิ่งไม่กล่าวอันใด ได้แต่กุมมือนางคลึงเล่นไปมา
ตำหนักหลีเจ๋อไม่ค่อยมีวันท้องฟ้าแจ่มใส พระจันทร์ยามนี้ขึ้นจากทะเลราวกับวงน้ำแข็ง ส่องทั่วผืนป่าให้แสงสีเงินยวงอ่อนๆ มีเสียงน้ำดังมาจากที่ไกลออกไป พอเดินเข้าไปใกล้อีกนิด ก็รู้สึกเพียงแค่ป่าด้านหน้ายังมีพระจันทร์อีกดวงซ่อนอยู่ แต่สะท้อนจากด้านล่าง สะท้อนจนยอดไม้ส่องแสงประกายวาว
คิดว่าเป็นแสงน้ำพุสีเงินส่องขึ้นมา อวี่ซือเฟิ่งดึงมือนางกำลังจะโดดข้ามก้อนหินก้อนใหญ่ที่ขวางทาง พลันได้ยินด้านหน้ามีเสียง พึ่บพั่บ สองเสียง ราวกับมีบางอย่างตกใจบินทะยานขึ้นจากพุ่มไม้ ทั้งสองคิดว่าเป็นพวกนกตัวน้อยๆ น้ำพุสีเงินส่องแสงประกายมาพร้อมกับเสียง เงาร่างดำหายลับไปในป่าด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ดูแล้วเหมือนเป็นเงาคน
อวี่ซือเฟิ่งรีบไล่ตามไป ยามนี้เขามีเศษเสี้ยวห่วงฟ้าเทียนจวิน พลังปีศาจเพิ่มขึ้นมาก แทบจะกระโดดไปขวางคนด้านหน้าผู้นั้นได้ในทันที คนผู้นั้นเห็นเขาสองคนไล่ตามมารวดเร็วเพียงนี้ จึงไม่คิดหลบหนี หากยืนนิ่งกับที่ แสงจันทร์สาดส่องใบหน้าเขา เป็นหน้ากากอสุรา เนื่องจากการปฏิรูปตำหนักหลีเจ๋อ ในตำหนักไม่มีคนสวมหน้ากากแล้ว ดังนั้นเขาสวมหน้ากากปรากฏตัวขึ้นถือว่าเป็นเรื่องประหลาดอย่างมาก
“เจ้าคือ…” อวี่ซือเฟิ่งมองเขาอย่างสงสัย อยู่ๆ ก็มีชื่อหนึ่งแล่นขึ้นมาที่ปลายลิ้น “รั่วอวี้!”