ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 41 กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง (5)
พอเสวียนจีได้ยินชื่อนี้ ขนทั่วกายก็ลุกชันขึ้นทันที เรื่องที่คนผู้นี้เคยทำไว้ช่างน่าโมโหเสียจริง ก่อนหน้าก็เกือบสังหารซือเฟิ่ง ต่อมาก็เกือบสังหารจงหมิ่นเหยียน แม้ว่าสุดท้ายทั้งสองล้วนปลอดภัย แต่ในใจนาง รั่วอวี้เท่ากับเป็นมือสังหาร
นางแทบจะลงมือในทันที รั่วอวี้รู้สึกแค่แสงเยียบเย็นสะอึกมาเบื้องหน้า กระบี่เย็นเยียบก็มาจ่อตรงหน้าเขาแล้ว เขาไม่อาจหลบทัน เอาแต่จ้องมองคมกระบี่หยุดตรงหน้าห่างไม่ถึงสามนิ้ว ข้อมือเสวียนจีถูกอวี่ซือเฟิ่งจับไว้ กลิ่นอายกระบี่ตัดผมเขาไหลลื่นจากหน้ากาก เขารีบคุกเข่าลงเสียงดังกล่าวว่า “ศิษย์คารวะเจ้าตำหนัก!”
“ไร้ยางอาย!” เสวียนจีด่าอย่างแค้นใจขึ้นเสียงหนึ่ง สะบัดมืออวี่ซือเฟิ่งทิ้ง หอบหายใจฮึดฮัดกอดอกยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดอันใดอีก
อวี่ซือเฟิ่งขมวดคิ้วกล่าวว่า “ที่เจ้าควรคุกเข่าให้ไม่ใช่ข้า น่าเสียดายรองเจ้าตำหนักถูกเทพแดนสวรรค์จับไปแล้ว เหลือเจ้าคนเดียว เจ้าควรไปคุกเข่ากับเขาถึงจะถูก”
รั่วอวี้ก้มหน้าเงียบ อวี่ซือเฟิ่งกล่าวอีกว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ก่อนหน้านี้เจ้าไปอยู่ไหนมา”
รั่วอวี้กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ศิษย์อยู่ตำหนักหลีเจ๋อมาตลอด แต่เจ้าตำหนักไม่ทันได้สนใจเท่านั้น ศิษย์เห็นแสงจันทร์งามจึงออกมาเดินเล่น ไม่คิดว่าจะบังเอิญพบท่านทั้งสอง กำลังจะหลบไป ปรากฎไม่ทันได้หลบ”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “โกหกซึ่งหน้า! หากเจ้าอยู่ตำหนักหลีเจ๋อมาตลอด ทำไมจึงสวมหน้ากาก”
“ศิษย์คิดว่าเรื่องไม่ต้องสวมหน้ากากเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นของเจ้าตำหนักเท่านั้น ในเมื่อเจ้าตำหนักใส่ใจ เช่นนั้นศิษย์ก็จะถอดทันที” เขาไม่รออวี่ซือเฟิ่งตอบ ยกมือถอดหน้ากากออก แม้ว่าเสวียนจีโมโหเขา แต่ก็อยากรู้ว่าหน้าตาแท้จริงเขาเป็นเช่นไร ผู้ใดจะรู้ว่าพอถอดหน้ากากออก ก็เผยให้เห็นรอยแผลเป็นมากมายบนใบหน้า แผลเป็นพวกนี้ดูแล้วก็รู้ว่าคนลงมือโหดเหี้ยมมาก แทบจะเอาชีวิต อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าเขาดูไม่ได้ อัปลักษณ์ราวกับภูตผี ทั้งสองต่างตกใจยิ่ง
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “เจ้า…เกิดอะไรกับใบหน้าเจ้า เมื่อก่อนเจ้าไม่เป็นเช่นนี้…”
สายตารั่วอวี้นิ่งสงบ สวมหน้ากากกลับกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ทำเจ้าตำหนักตกใจแล้ว เป็นความผิดศิษย์”
อวี่ซือเฟิ่งขมวดคิ้วกล่าวว่า “อะไรศิษย์ อะไรเจ้าตำหนัก! เจ้าลุกขึ้นก่อน บอกข้าก่อนว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าทำงานให้รองเจ้าตำหนัก? นี่คือสิ่งที่เขาทำ?”
รั่วอวี้ค่อยๆ ลุกขึ้น น้ำเสียงเรียบนิ่ง “เรื่องผ่านไปแล้ว ไยต้องเอ่ยถึงอีก ท่านไม่ต้องแสดงความใจกว้างเห็นอกเห็นใจข้า ในเมื่อข้าตอนนั้นกล้าลงมือ ก็ย่อมไม่คิดว่าพวกท่านจะให้อภัย”
เขาถึงกับเป็นคนมีเหตุผลแล้ว! เสวียนจีถลึงตาใส่เขา สีหน้าเขียวคล้ำ ไอสังหารยังคงคุกรุ่น หากไม่ใช่เมื่อครู่อวี่ซือเฟิ่งรั้งไว้ นางคิดใช้กระบี่ฟันเขาขาดสองท่อนในทีเดียว อวี่ซือเฟิ่งคิดไปคิดมากล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ยอมพูด เช่นนั้นก็ลองให้ข้าเดาดู แม้ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดรองเจ้าตำหนักจึงสั่งให้เจ้าไปสังหารหมิ่นเหยียน แต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไปแล้ว หมิ่นเหยียนว่าก่อนเจ้าสังหารเขา เจ้าเล่าความลับตำหนักหลีเจ๋อไปมากมาย และยังถอดหน้ากาก หรือว่าจริงๆ แล้วเจ้าไม่ได้คิดสังหารเขา”
รั่วอวี้เงียบงันเป็นนานจึงได้กล่าวว่า “ท่านไม่เข้าใจจริงหรือว่าเหตุใดรองเจ้าตำหนักต้องการให้ข้าสังหารหมิ่นเหยียน เขาเป็นครุฑธรรมดาหกก้านปีก ชีวิตนี้ไม่อาจเป็นเจ้าตำหนักแท้จริงได้ รองลงไปยังมีท่านที่มีสิบสองก้านปีก เดิมเขาคิดสังหารท่านก่อน ปรากฏท่านดวงแข็ง ไม่ตาย ต่อมาเขามองเห็นช่องโหว่ ท่านชอบฉู่เสวียนจีจนแม้แต่ชีวิตก็ไม่ต้องการ เขาจึงคิดจับคู่ให้ท่าน ให้ท่านไปจากตำหนักหลีเจ๋อเอง แต่ระหว่างท่านสองคนมีอุปสรรคใหญ่หนึ่งคั่นอยู่ นั่นก็คือหมิ่นเหยียน?”
พอถามออกไป อวี่ซือเฟิ่งก็อึ้งไป เสวียนจีหน้าแดงทันที เรื่องที่นางเคยแอบชอบจงหมิ่นเหยียนแต่ไรมาก็เป็นความลับ ผู้ใดจะคิดว่าถึงกับรู้กันหมด! มารปีศาจหลิ่วอี้ฮวนก็แล้วไปเถอะ อวี่ซือเฟิ่งเป็นคนละเอียดอ่อน รู้ก็แล้วไปเถอะ เหตุใดรองเจ้าตำหนักก็รู้?!
รั่วอวี้กล่าวอีกว่า “นับประสาอันใดกับเขาเคยไปเขาปู้โจวซาน รู้สถานการณ์ที่นั่น ทิ้งไว้ก็รังแต่จะยุ่งยาก สำหรับข้า ไม่ใช่อยากฆ่าหรือไม่อยาก แต่เป็นคำสั่งรองเจ้าตำหนัก ข้าก็ย่อมต้องทำ”
“เพราะเจ้ามีน้องสาวอยู่ในกำมือเขาหรือ” อวี่ซือเฟิ่งถามเบาๆ
รั่วอวี้กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร ท่านจะเห็นใจข้า? เรื่องบ้าๆ มีเหตุให้ควรเห็นใจอะไรพวกนั้นหรือ ท่านก็จะใช้นางมาบีบข้า ให้ข้าทำงานให้ท่าน?”
อวี่ซือเฟิ่งไม่ได้สนใจคำถากถางเขา กล่าวต่อว่า “อารมณ์รองเจ้าตำหนักไม่ค่อยดีกระมัง ต้องการให้เจ้าไปสังหารคนคนหนึ่ง เจ้ากลับเอาแต่เล่าความลับให้เขาฟังมากมายไม่หยุด มิน่าเขาถึงโมโห หน้าเจ้า…ก็เป็นเขาทำในตอนนั้น?”
รั่วอวี้ไม่กล่าวอันใด ค่อยๆ ก้มหน้าลง ความคิดราวกับหวนย้อนกลับไปในบ่ายวันนั้น เขาสังหารจงหมิ่นเหยียนไปอย่างงุนงงและตามรองเจ้าตำหนักไปจากสำนักเส้าหยางอย่างงุนงง ต่อมามีหลายเรื่องที่เขาจำไม่ได้แล้ว เขาราวกับซากศพเดินได้ไปนานแล้ว หลังจากน้องสาวถูกจับขัง ให้เขาสังหารผู้ใด เขาไม่เคยถามสักคำ แทงกระบี่ลงไปให้จบเรื่องจบราว นานวันเข้าเขาก็รู้สึกสบายใจกับวันเวลาเช่นนี้มาก เริ่มคุ้นชินเป็นนิสัยเสียแล้ว
เขาไม่เคยรู้สึกสับสนเวิ้งว้างลึกๆ เช่นนี้มานานมากแล้ว หลังจากจงหมิ่นเหยียนล้มลงใต้คมกระบี่เขา เขาก็รู้สึกสับสนเวิ้งว้าง ความเจ็บปวดทำให้เขาได้สติคืนมา เบื้องหน้าเต็มไปด้วยเลือด รองเจ้าตำหนักใช้มีดสั้นกรีดใบหน้าเขาเละเทะ พลางยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “ทำไมจึงมีท่าทางแบบพวกจิตใจงดงามออกมาได้?! จิตใจงดงามของเจ้ายังมีค่า?!”
“ถอดหน้ากากทำไม เผยเสียงในใจให้คนซาบซึ้งหรือ! อา…ขอโทษ ข้าราวกับทำหน้าเจ้าเละไปแล้ว ครั้งหน้าหมิ่นเหยียนพี่น้องคนดีของเจ้าเห็นหน้าตาประหลาดนี้แล้วจะตกใจอย่างไรนะ ใช่แล้ว ข้าลืมไป เขาตายแล้ว! น่าเสียดาย ก่อนเขาตายไม่ได้เห็นใบหน้าเจ้าตอนนี้”
ไม่รู้สาเหตุอะไร สรุปเรื่องนี้ก็น่าจะแตะโดนเรื่องเจ็บปวดของรองเจ้าตำหนัก เขาลงมือโหดเหี้ยมทารุณมาก แทบจะทำลายใบหน้าเขาให้กลายเป็นผี เขาเจ็บปวดแต่ไม่กล้าขัดขืน สุดท้ายคุกเข่าจนสลบไป ยังถูกน้ำเย็นราดตั้งแต่หัวจรดเท้า รองเจ้าตำหนักเอายามาทาให้เขาอย่างอ่อนโยน เขาเป็นคนอารมณ์แปรปรวนมาก ตอนโมโหก็จะน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าผีร้าย แต่ตอนอ่อนโยนขึ้นมาก็แทบไม่น่าเชื่อ
“รั่วอวี้ พี่น้องล้วนไม่ใช่สิ่งที่ไว้ใจได้ เพียงเอามาใช้ประโยชน์ก็พอ เข้าใจไหม” นี่คือวาจาสุดท้ายที่รองเจ้าตำหนักบอกกับเขา เขาบาดเจ็บ มีบาดแผลลึกมากจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ทำให้รองเจ้าตำหนักเสียเวลาเดินทาง เลยทิ้งเขาไว้ระหว่างทางแล้วก็จากไปคนเดียว
ในเรื่องพวกนี้ รั่วอวี้เหมือนเป็นสุนัขแสนซื่อจริงๆ กว่าจะหนีรอดจากประตูนรกมาได้ก็ไม่ง่าย เรื่องแรกที่เขาทำก็คือรีบไปอยู่ข้างกายรองเจ้าตำหนัก หากไปสายเกินไป น้องสาวเขาย่อมไม่รอด จากนั้นเขาก็ได้ภารกิจลับให้คอยจับตาดูอวี่ซือเฟิ่ง
“ข้าเดาว่าเขาไม่ให้เจ้าทำ แต่ให้คนอื่นมาแอบจับตาดูข้ากับเสวียนจี ดังนั้นตอนพวกเรากับอู๋จือฉีเจอกัน เขาจึงมาถึงในทันที ข้ากล่าวถูกต้องไหม”
บางครั้งรั่วอวี้ก็รู้สึกกลัวความฉลาดเช่นนี้ของอวี่ซือเฟิ่งมากจริงๆ เขาเหมือนมีความสามารถมองทะลุเรื่องราวต่างๆ ได้ พูดออกมาก็ตรงทันที คนน่ากลัวเช่นนี้ มิน่ารองเจ้าตำหนักถึงคอยหาโอกาสกำจัดเขาตลอดเวลา หากเขาอายุมากกว่านี้อีกนิด ย่อมเป็นบุคคลที่รับมือยากที่สุดอย่างแน่นอน
เขาพูดได้ไม่ผิด ทันทีที่รองเจ้าตำหนักได้ข่าวการปรากฏตัวของอู๋จือฉีก็รีบเร่งไปทันที และเขากลับถูกไล่ให้ไปทำภารกิจที่อื่น รออยู่สามวันก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไร ลองกลับถึงตำหนักหลีเจ๋อดูก็พบว่าทุกอย่างพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ สองเจ้าตำหนัก หนึ่งถูกเทพแดนสวรรค์คุมตัวไป อีกหนึ่งถูกทรมานจนตาย อวี่ซือเฟิ่งเป็นความหวังของทุกคน กลับมาเป็นเจ้าตำหนักคนใหม่ ปฏิรูปกฎใหม่
“ตอนนี้รองเจ้าตำหนักถูกจับกุมไปแล้ว เจ้าเป็นอิสระแล้ว เหตุใดยังไม่ไปจากตำหนักหลีเจ๋อ เหมือนที่เจ้าพูด ข้าไม่ได้ใจกว้างมากขนาดนั้น หากจะให้ข้าใจกว้างยอมรับเจ้ากลับมา ตอนนี้เจ้าต้องลองให้เหตุผลข้ามา”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงเรียบ สีหน้าเคร่งขรึม “หากไม่อาจทำให้ข้าพอใจ ข้าไม่ถือสาที่จะจัดการเจ้าในฝ่ามือเดียวตรงนี้”
รั่วอวี้เงียบงันไปนาน จึงได้กล่าวว่า “น้องสาวข้า นาง…ถูกขังอยู่ที่นี่”
อวี่ซือเฟิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย “ที่นี่? เหลวไหล ละแวกน้ำพุสีเงินไยมีคุกใต้ดิน!”
“ข้าไม่มีความจำเป็นต้องหลอกท่าน” รั่วอวี้หันกายเดินกลับไปที่น้ำพุสีเงิน แสงสะท้อนน้ำพุส่องร่างเขาจนเป็นสีเงินยวง “ใต้น้ำพุมีห้องลับที่บรรพชนทิ้งไว้ ไม่รู้ใช้ทำอะไร ราวหนึ่งปีกว่าก่อนหน้ารองเจ้าตำหนักจึงพบที่นี่ เขาจับน้องข้ามาขังไว้ที่นี่ ข้าเคยมาเยี่ยมครั้งหนึ่ง”
อวี่ซือเฟิ่งขยับริมฝีปากเล็กน้อยเหมือนอยากจะกล่าวอันใดหากไม่ได้กล่าวออกมา ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงได้กล่าวว่า “ดี พวกเราลงไปด้วยกัน หากน้องสาวเจ้าอยู่จริง เช่นนั้นเจ้าก็พานางไปได้ กลับบ้านไปกับนางได้ อย่าได้อยู่ที่นี่ต่อ ที่นี่ไม่มีคนอยากเห็นเจ้า”
รั่วอวี้ไม่ตอบ หันหลังกระโดดลงน้ำดำลงไปอย่างรวดเร็ว เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “น่าสงสารจริง น้องสาวเขาถูกขังอยู่ใต้นี้จริงหรือ แม้ว่ามีห้องลับ แต่ขังไว้ปีหนึ่งก็ทำคนตายได้นะ” อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า กล่าวเบาๆ ว่า “อาจจะ…ไปแล้ว ตามลงไปดูกันเถอะ”
ทั้งสองกระโดดลงไปในน้ำพุสีเงิน แม้ว่าตำหนักหลีเจ๋อเป็นเกาะโดดเดี่ยวกลางทะเล แต่น่าแปลกที่น้ำพุสีเงินนี้ถึงกับไม่มีน้ำเค็มเลย ในน้ำก็ไม่รู้มีความพิเศษตรงไหนที่ทำให้ส่องแสงได้ พอดำลึกลงไปก็ยิ่งสว่าง ตรงหน้ามีแต่แสงสีเงินยวง ดำลงไปได้สิบกว่าฉื่อ ดังคาด เห็นบนผนังถ้ำมีประตูเล็กเปิดอยู่ ทั้งสองรีบพากันว่ายเข้าไป น่าแปลกที่ประตูแม้ว่าเปิดอยู่ แต่น้ำถึงกับหยุดอยู่หน้าประตู หยดเดียวก็ไม่มีซึมเข้าไป เหมือนว่าที่ประตูวาดอาณาเขตเวทไว้ชั้นหนึ่ง
หลังประตูมีแต่ความมืด มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง ความเหม็นอับชื้นลอยมากระทบจมูก เสวียนจีรีบชักกระบี่เปิงอวี้ออกมา วาดนิ้วมือไปบนกระบี่เบาๆ ตัวกระบี่เปล่งแสงสีเพลิงสว่าง ห้องลับใต้น้ำพุสีเงิน พลันปรากฏขึ้นตรงหน้า ที่แท้หลังประตูนี้มีเส้นทางเดินที่แคบและสั้นมาก ผนังด้านซ้ายมีแค่ประตูบานเดียว นอกจากนี้ก็ไม่มีอื่นใดอีก ยามนี้ประตูเปิดอยู่ ได้ยินน้ำเสียงรั่วอวี้อ่อนโยนดังออกมา
“น้องข้า ข้ามาหาเจ้าแล้ว ในที่สุดพี่ใหญ่ก็พาเจ้าออกไปได้แล้ว พวกเรากลับบ้านกัน เจ้าดีใจไหม”
แต่ไรมาเขาไม่เคยมีน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นนี้ อ่อนโยนจนทำให้คนหัวใจแทบแหลกสลาย ทั้งสองค่อยๆ เดินเข้าไป เสวียนจียกกระบี่ขึ้นส่อง กลับต้องตกใจจนเกือบจะหวีดร้องออกมา ในห้องลับมีเพียงเตียงเหล็กวางอยู่หลังเดียว บนเตียงมีซากกองกระดูกเน่าเปื่อยอยู่กองหนึ่ง รั่วอวี้ประคองกอดกองกระดูกนั้นแนบอก กล่าวพลางยิ้มอ่อนโยน
ภาพนี้ย่อมเป็นที่ตกใจและน่าแปลกมาก เสวียนจีผงะถอยหลังไปสองก้าว มองเขาอย่างคาดไม่ถึง กองกระดูกในอ้อมกอดเขาไม่เหมือนมนุษย์ มีลำคอยาว มีปีกแหลม เห็นชัดว่าเป็นนกขนาดใหญ่มาก ดังคาด นั่นคือครุฑ เสวียนจีน้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “เจ้า…เจ้า…นั่นคือน้องสาวเจ้า?”
รั่วอวี้หันกลับมามองนางอย่างตำหนิ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เบาหน่อย อย่าทำนางตกใจ น้องข้าขี้กลัว”
เสวียนจีอ้าปากค้าง ไม่รู้ควรกล่าวอันใด อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเบาๆ ว่า “เอาละ หาน้องสาวเจ้าเจอแล้ว ที่นี่อับชื้น ออกไปก่อนเถอะ” รั่วอวี้พยักหน้า กอดกองกระดูกนั่นแนบอกอย่างระมัดระวัง เหมือนกลัวว่าจะทำนางตกใจ เดินออกมาพร้อมรอยยิ้มบาง
“เขาเสียสติไปแล้ว?” เสวียนจีด้านหลังกระชากแขนเสื้ออวี่ซือเฟิ่งกระซิบถาม “หรือว่าหลอก?”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เมื่อก่อนตอนเขาดื่มจนเมาก็เคยกล่าวถึงว่าตนเองถูกบังคับให้เข้ามาอยู่ตำหนักหลีเจ๋อ พ่อแม่ถูกฆ่าตายตอนแย่งชิงเขามา เหลือน้องสาวคนเดียว รองเจ้าตำหนักรับปากจะดูแลนาง ไม่รู้ทำไม…เห็นกองกระดูกเช่นนี้ น่าจะตายมาไม่ต่ำกว่าปีแล้ว เขาเองน่าจะรู้นานแล้ว”
หรือว่าเขามาเก็บกระดูกโดยเฉพาะ? เหมือนไม่ถูกต้อง ในเมื่อเขารู้ว่าน้องสาวตายก่อนแล้ว เหตุใดจึงยังทำงานให้รองเจ้าตำหนัก เสวียนจีคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ได้แต่ตามอวี่ซือเฟิ่งกลับขึ้นฝั่ง รั่วอวี้กำลังใช้แขนเสื้อเปียกๆ เช็ดกระดูกสีขาวที่เปียกเช่นกัน กระดูกส่วนปีกมีห่วงหยกวงหนึ่ง รูปร่างประหลาด น่าจะเป็นของที่จงหมิ่นเหยียนมอบให้เขาตอนนั้น
“ยามนี้หาน้องสาวเจอแล้ว ข้ารับปากไว้แล้ว ข้าจะรีบไปทันที จะไม่กลับมาอีก” เขาหันกลับมากล่าว หน้ากากบนใบหน้าถูกน้ำซัดหายไป เผยเห็นใบหน้าอัปลักษณ์บิดเบี้ยว แต่สายตากลับอ่อนโยนและพึงพอใจ
อวี่ซือเฟิ่งพยักหน้าเงียบๆ มองเขาอุ้มกองกระดูกจะจากไป อดกล่าวไม่ได้ว่า “เจ้า…เจ้าอุ้มนางเช่นนี้? ไม่ต้องการ…หาอะไรบรรจุไว้หน่อยไหม”
รั่วอวี้ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าพูดอะไรของเจ้า บรรจุ? นางต้องการเสื้อผ้าใหม่ชุดหนึ่ง…อืม เด็กดี พี่ใหญ่จะรีบไปตลาดซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่กับของกินให้เจ้านะ”
ในที่สุดอวี่ซือเฟิ่งก็ไม่พูดอันใดอีก มองเขาจากไปเงียบๆ ในใจก็ไม่รู้ว่ารสชาติเป็นเช่นไร