ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 44 กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง (8)
“ต้องมีคนรังแกข้าจึงมาฟ้องเจ้าส่วนตัวได้หรือ” น้ำเสียงจิ้งจอกม่วงนิ่งเรียบราวกับแฝงน้ำเสียงเสียไม่ได้อยู่ส่วนหนึ่ง
อู๋จือฉี “อืม” ขึ้นเสียงหนึ่ง หย่อนก้นลงนั่งเสียเลย ก่อนจะทิ้งตัวล้มลงนอนแผ่ เกือบทำหลังคากระเบื้องแก้วแตก “ว่ามา” ท่าทางเขาสบายอารมณ์ หรี่ตามอง แหงนหน้ามองท้องฟ้า “มีเรื่องอะไร…ว่ามาได้เลย”
คำว่ามีอะไรว่ามาได้เลย ทำเอาในใจจิ้งจอกม่วงสั่นไหว อยู่ๆ รู้สึกถึงความสิ้นหวังและปวดร้าวอยู่ลึกๆ ระหว่างพวกเขาอยู่กันมาเรียบง่าย ความเรียบง่ายที่ต่างระแวดระวังไม่ให้ล้ำเส้นขีดขาดสะบั้น เขามักจะบอกว่ามีอะไรก็พูดมาได้ หากแต่ไรมานางไม่พูด เพราะพูดออกไป เขาคงต้องหนีไปแน่
ได้อยู่กับเขา มีทั้งความสุข มีทั้งความเจ็บปวด รู้สึกทรมานมาก
จิ้งจอกม่วงลุกขึ้นยืน เดินไปยังขอบหลังคา ลมกลางคืนพัดผมนางพลิ้วแผ่วราวกับคลื่นทะเล นางกล่าวช้าๆ ว่า “อู๋จือฉี ในใจเจ้า ข้าก็คือจิ้งจอกน้อยแสนน่ารักตลอดไป?”
อู๋จือฉีหรี่ตา ยิ้มอย่างเกียจคร้าน “อืม ถูกต้อง แน่นอน”
นางไม่กล่าวอันใดเป็นนาน เขาก็ไม่ถาม
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ด้านหลังมีเสียงอู๋จือฉีกรนดัง เขาถึงกับหลับไปแล้ว
นางสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนน้ำตาจะเอ่ยล้นขอบตา อยู่ๆ ก็กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “อู๋จือฉี แม้ข้าโดดลงจากที่นี่ตายไปตอนนี้ เจ้าก็คงไม่ชอบข้า ใช่ไหม?!”
เสียงกรนยังคงดังต่อเนื่อง เขาหลับสนิทมาก
จิ้งจอกม่วงรู้สึกตนเองใกล้จะเสียสติแล้ว พันปีมา นางรอแล้วได้อะไร เรื่องนี้สิ้นหวังอย่างแน่นอน มีแต่นางที่ยังคงมีหวัง เวลายาวนานนับพันปี เพียงพอจะทำให้นางจากสิ้นหวังค่อยๆ รวมตัวขึ้นหวังอีกครั้ง เถ้าแห่งความสิ้นหวังเริ่มเผาไหม้อีกครั้ง มีคนกล่าวว่า เปลวไฟแห่งดวงดาวเพียงพอจะทำให้ลุกโชน หากเปลวไฟแห่งความหวังริบหรี่ของนางกลับแผดเผาเพียงแค่นางเอง ความรู้สึกร้อนแรงราวเดือดพล่านเช่นนั้น เขากลับไม่ได้รู้สึกอะไรไปด้วยแม้แต่นิด
เถ้าแห่งความสิ้นหวังแผดเผาลุกไหม้อีกครั้ง เจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าความหวังที่ไม่เคยมีมากนัก
ไม่สู้ตัดขาดให้จบด้วยดาบเดียว!
นางตัดสินใจเด็ดขาด หันหลังคิดกล่าววาจาจบสิ้นกับเขาออกไป เห็นเขายังคงหลับสนิท วาจาเหล่านั้นไม่ว่าอย่างไรก็พูดไม่ออก เขาว่าเช่นนี้ไม่ดีหรือ นางเป็นจิ้งจอกน้อย เขาเป็นมารปีศาจวานรแปลกประหลาด สองคนอยู่ร่วมกันเฮฮา นางชอบกินองุ่นเหมือนเดิม เขาก็กะลิ้มกะเหลี่ยใส่สาวงามเหมือนเดิม อยู่ด้วยกันสองคนตลอดไป ตลอดกาล
จิ้งจอกม่วงยองลงนั่งข้างกายเขา น้ำตาร่วง กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้า หากเจ้าไม่ตื่นอีก ข้าจะจูบเจ้าแล้วนะ”
เจ้าวานรไร้ใจนี่ นอนหลับสนิท ในฝันยังไม่รู้กำลังกินอะไร เอาแต่หยุบหยับครางอือๆ จิ้งจอกม่วงก้มลงจะจูบริมฝีปากเขา อยู่ๆ ก็คิดอะไรได้ ยืดตัวลุกขึ้น หันหลังวิ่งหนี จากนั้นพลันหยุดชะงัก หันกลับมากล่าวน้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ข้าเกลียดเจ้าแล้ว อู๋จือฉี!”
เขายังคงนอนหลับฝันหวานอยู่อย่างนั้น ราวกับการดิ้นรนทุกข์ทรมานของนางล้วนไม่เกี่ยวอันใดกับเขา
จิ้งจอกม่วงจากไปอย่างปวดใจและสิ้นหวัง ก็ไม่รู้นางตัดใจจากเขาได้จริงหรือไม่ สายลมพัดแผ่วมา เสียงกรนบนหลังคาไม่รู้หยุดไปตอนไหน อู๋จือฉีลืมตาโพลงมองไปยังดวงดาวบนท้องฟ้าที่กำลังส่องแสงกะพริบเงียบๆ เอาแต่มองจ้อง แสงค่ำคืนค่อยๆ ถอยหาย แสงวันรุ่งขึ้นเยื้องกรายเข้ามาแล้ว
เสียงสาละวนกับการงานของบรรดาศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อเริ่มดัง เริ่มวันใหม่แล้ว
อู๋จือฉีลูบใบหน้า ยิ้มร่ากระโดดยืนขึ้น ยืดเส้นยืดสายโดดลงจากหลังคา พอลงถึงพื้นก็บิดขี้เกียจ ออกไปหาไรกิน
หากเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมาไม่มีคนเอ่ยถึงอีก จิ้งจอกน้อยของเขาน่าจะตัดใจจากไปได้แล้ว อู๋จือฉีส่ายหน้าถอนหายใจพลางผลักประตูเรือนข้างออก เห็นพวกเสวียนจีตื่นกันแล้ว กำลังกินอาหารเช้ากันอยู่ จิ้งจอกม่วงไม่อยู่ที่นี่ดังคาด
“อู๋จือฉีมาเร็ว วันนี้ห้องครัวทำซาลาเปาถั่วแดงที่เจ้าชอบที่สุด!” เสวียนจีกินจนหน้าเปื้อนถั่วแดง กวักมือเรียกเขาน้ำเสียงร่าเริง
แววตาอู๋จือฉีวาบขึ้นดังคาด “อืม” ขึ้นเสียงหนึ่ง ปรี่เข้าไปคว้าซาลาเปาลูกใหญ่สุด “จิ้งจอกม่วงล่ะ”เสวียนจีไม่เห็นนาง มองไปรอบๆ ปกตินางตัวติดกับอู๋จือฉีไม่ห่าง ยากที่จะไม่เห็นนางในวันนี้ “นางหรือ…อืม นาง…” อู๋จือฉีกัดซาลาเปา คิดอยู่ว่าจะพูดอย่างไรดี พลันได้ยินห้องข้างๆ เปิดออก เสียงจิ้งจอกม่วงดังมาอย่างเกียจคร้าน “ข้ามาแล้ว…หอมจัง! วันนี้มีซาลาเปาถั่วแดงหรือ”
อู๋จือฉีกัดซาลาเปาไปคำหนึ่งก็ติดคอพอดี สำลักตาเหลือก แผ่นหลังอยู่ๆ มีคนทุบเต็มแรง ซาลาเปานั่นในที่สุดก็ไหลลื่นลงลำคอไป เขาผ่อนลมหายใจพึมพำกล่าวว่า “ขอบคุณ…” จิ้งจอกม่วงพูดอย่างเกียจคร้านว่า “ไม่ต้องขอบคุณ หากข้าไม่อยู่ที่นี่ เจ้าสำลักซาลาเปาติดคอตายไปไม่มีคนสนใจแล้ว ไร้ประโยชน์จริง”
อู๋จือฉีไร้วาจาจะกล่าว จิ้งจอกม่วงเห็นในมือเขามีซาลาเปาถั่วแดงใบใหญ่สุดก็รีบแย่งไป เอ่ยเสียงหวานว่า “ของดีโดนเจ้าแย่งไปหมดแล้ว! เอามาให้ข้าใบหนึ่ง!” เสวียนจีหัวเราะดังลั่นกล่าวว่า “จริง! เขาตะกละเหมือนกับมกร!”
อู๋จือฉีดื่มโจ๊กข้าวเสี่ยวหมี่ไปคำหนึ่ง หัวเราะกล่าวว่า “เจ้าไม่เอ่ยชื่อนี้ ข้าเกือบลืมไปแล้ว คงได้เวลาออกเดินทางแล้วสินะ แดนสวรรค์มีหนี้ผายลมค้างเติ่ง ต้องไปเก็บแล้ว”
ทุกคนมองไปทางอวี่ซือเฟิ่ง เขาเป็นเจ้าตำหนัก มีงานกองท่วมตำหนักต้องจัดการ เขายิ้มกล่าวว่า “ก็ดี ข้าไปบอกกล่าวกับพวกผู้อาวุโสสักหน่อย พรุ่งนี้พวกเราก็ออกเดินทางกันได้เลย”
ว่ากันว่าเขาคุนหลุนเป็นอุทยานราชันสวรรค์ตอนลงมาโลกมนุษย์ ทิวทัศน์งดงามเหนือโลกปุถุชน แม้ว่าเป็นพื้นที่โลกมนุษย์ แต่มนุษย์ธรรมดาเข้าไปไม่ได้ อู๋จือฉีกับหลิ่วอี้ฮวนเคยผ่านเขาคุนหลุนไปถึงแดนสวรรค์ ย่อมนับว่าคุ้นเคยพื้นที่นั้น ทั้งสองวาดแผนที่อย่างละเอียดกันตลอดคืน วันรุ่งขึ้นก็โยนให้ทุกคนดู
“รู้ว่าทำไมมนุษย์ธรรมดาจึงไปไม่ถึงแล้วใช่ไหม เพราะรอบๆ มีแต่แม่น้ำรั่วสุ่ยล้อมรอบ น้ำนั่นแปลกมาก ขนห่านเส้นหนึ่งก็จม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมนุษย์ ผ่านแม่น้ำรั่วสุ่ยไปยังต้องเจอกับไฟนรกแผดเผา แต่ไฟนั่นย่อมเทียบกับอัคคีสวรรค์เก้าชั้นไม่ได้ จึงไม่มีค่าควรแก่การกังวล ผ่านไฟนรกไปได้ยังมีพายุหิน เพียงพอจะทำให้เนื้อหนาๆ ของช้างตัวใหญ่ถูกกระแทกแหลกได้ พวกเราผ่านไปเช่นนี้คงได้แหลกเละแน่”
อู๋จือฉีไม่รู้ตื่นเต้นอะไร เล่าจนน้ำลายแตกฟอง เสวียนจีพึมพำกล่าวว่า “ไฟและน้ำมากมายจริง อย่างนั้นพวกเราทำอย่างไรดี”
หลิ่วอี้ฮวนยิ้มกล่าวว่า “ฟังเขาเหลวไหล! ผู้ใดให้เจ้าลุยแม่น้ำรั่วสุ่ย ฝ่าพายุหินกัน! ไม่ใช่ยังมีเส้นทางอื่นไปได้อีกหรือ!”
เขาชี้ไปยังตำแหน่งบนแผนที่ทางตะวันออก ทางนั้นใช้สีชาดทำสัญลักษณ์เด่นชัดไว้ ‘ไคหมิง’ สองคำ “ผ่านทางนี้ได้ มีอู๋จือฉีกับเสวียนจี ผู้ใดยังจะกลัวสิงห์ไคหมิงอะไรนั่น!”
“สิงห์ไคหมิง?” เสวียนจีตกใจเล็กน้อย “ข้าเคยได้ยิน! เป็นสัตว์เทพ! ได้ยินว่ามีเก้าเศียร ผลัดกันเฝ้า เวร วันคืนไม่พัก”
อู๋จือฉีแสยะยิ้มกล่าวว่า “เจ้านั่นโง่เง่ายิ่งกว่าลาโง่ ให้มันดื่มสุราก็เมาแล้ว ผู้ใดยังจะเฝ้าเวรยามอะไรได้!”
หลิ่วอี้ฮวนจ้องมองพลางกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ไม่กระมัง ครั้งก่อนเจ้านำสุราไปมอมมัน แล้วก็ไปแดนสวรรค์?” เขายังคิดว่าอู๋จือฉีสำแดงพลังจัดการเจ้าไคหมิงนั่นปางตาย บุกเข้าไปอย่างไม่กลัวเกรง!
“ที่ไหนกัน! ทำไมข้าต้องสู้กับมัน มันมีเก้าหัว ดูอย่างไรข้าก็เสียเปรียบ” อู๋จือฉีลูบคางยิ้ม “อย่าบอกข้าว่า ตอนเจ้าไปขโมยดวงตาสวรรค์ เจ้าสู้กับมันนะ ตัวแห้งๆ อย่างเจ้า เกรงว่าทีเดียวก็งับเจ้ากลืนลงไปแล้ว”
หลิ่วอี้ฮวนถึงกับหน้าแดงเล็กน้อย งึมงำเป็นนานจึงได้กล่าวว่า “ข้า…แน่นอนไม่ได้สู้กับมัน ข้าเด็ดผลไม้ไปให้มันกิน หลอกมันว่าข้าเป็นเซียนเพิ่งสำเร็จผล มันก็ปล่อยข้าผ่านไปแล้ว”
ทุกคนต่างไร้วาจาจะกล่าว ผู้ใดก็คิดไม่ถึง สิงห์ไคหมิงถึงกับโง่เง่าเช่นนี้ เป็นนานอวี่ซือเฟิ่งจึงหัวเราะกล่าวว่า “ดูท่าพวกเราไปครั้งนี้ ยังต้องนำสุราดีไปด้วย”
อู๋จือฉีกล่าวว่า “พวกเราน่ะ ก็ล่องไปตามแม่น้ำชื่อสุ่ย[1] ไปจนสุดทางก็คือประตูไคหมิง ตำหนักราชันสวรรค์บนเขาคุนหลุนแล้ว สิงห์ไคหมิงนั้นไม่ควรค่าแก่การกังวล หลักๆ ก็คงมีแต่ตัวประกอบที่คอยกวนใจไม่หยุด วิหคเทพเฟิ่งหวงกับวิหคเทพหงหล่วนล้วนอยู่ที่นั่น เพราะที่นั่นมีต้นไม่อาสัญ ของศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่าแดนสวรรค์ ไม่อาจปล่อยให้คนขโมยเด็ดไปได้”
เสวียนจีรีบกล่าวว่า “ข้ารู้จักวิหคเทพหงหล่วน! ท่านพ่อข้าเลี้ยงสัตว์ภูตวิหคเทพหงหล่วนตัวหนึ่ง!”
อู๋จือฉียิ้มกล่าวว่า “วิหคเทพหงหล่วนธรรมดาไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง! อย่าเอาสัตว์ภูตไปเทียบกับสัตว์เทพ ครุฑร้ายกาจใช่ไหม เจอเฟิ่งหวงยังไม่กล้าแม้เงยหน้า นั่นคือราชาแห่งวิหค”
เสวียนจีมองอวี่ซือเฟิ่ง เขาพยักหน้านิ่งๆ กล่าวว่า “ดีที่สุดอย่าได้เจอกวิหคเทพเฟิ่งหวง เผ่าพวกเราเกรงบารมีเฟิ่งหวง”
อู๋จือฉีกล่าวอีกว่า “เฟิ่งหวงยังไม่เท่าไร ดีที่สุดอย่าได้เจอพวกจอมเวทพวกนั้น พวกนั้นวันๆ คิดแตปรุงยา นิสัยแปลกประหลาด หากไม่ได้ดังใจก็จะทำลายพลังเจ้าทิ้ง แม้แต่เวียนว่ายก็ไม่ต้องแล้ว ข้ากับแม่ทัพเทพสงครามย่อมไม่กลัว แต่พวกเจ้าอย่างไรก็เป็นกลุ่มที่ไม่ได้มีความสามารถอะไร ระวังไว้หน่อยดีกว่า”
เขาวางท่าราวกับตัวเองเป็นวีรบุรุษ เอาไว้ข่มผู้ใดกัน คนอื่นยังไม่ทันได้ออกอาการ เสวียนจียู่ปากก่อนกล่าวว่า “อะไรเรียกว่าไม่มีความสามารถอะไร! ซือเฟิ่งร้ายกาจกว่าเจ้าอีก! วันๆ เอาแต่ร้องเข่นฆ่าเรียกว่าความสามารถ?”
หลิ่วอี้ฮวนยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “ใช่! มีแต่ลาโง่เง่ามีแต่มือเท้ายืดยาวแต่ไร้สมองเท่านั้นที่จะคิดไปเองว่าตนเองเป็นไปหมด!”
อู๋จือฉีกะพริบตาปริบๆ ท่าทางไร้เดียงสา ปรากฏถูกจิ้งจอกม่วงผลักทีหนึ่ง จึงได้กล่าวว่า “ได้…ได้เลย ข้ากับเทพสงครามเป็นแนวหน้า เจ้าน่ะ ก็เป็นแม่ทัพใหญ่ เจ้าหนุ่มนั่นแม่ทัพน้อย”
“อย่างนั้นข้าล่ะ” จิ้งจอกม่วงเท้าเอวเลิกคิ้วถาม
อู๋จือฉีตั้งใจคิดอยู่เป็นนานก่อนจะ ชี้นิ้วออกมา “เจ้าเป็น…สัตว์เลี้ยงมงคล”
แน่นอนหูเขาย่อมถูกจิ้งจอกม่วงดึงจนน่าอนาถ
เส้นทางก้าวแรกกับแผนการกำหนดเช่นนี้ วันที่สามทุกคนก็เก็บของออกเดินทางไปเขาคุนหลุน
พวกอาวุโสหลัวมาส่งตั้งไกล ไม่ยอมกลับไป อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เรื่องตำหนักหลีเจ๋อ ฝากอาวุโสทุกท่านแล้ว ข้าไปครานี้ อย่างมากก็ปีหนึ่ง อย่างน้อยก็สามเดือน ต้องกลับมาแน่นอน”
อาวุโสหลัวถอนใจกล่าวว่า “เขาคุนหลุนอันตรายมาก เจ้าตำหนักจะต้องดูแลตัวเองให้ดี! อย่าลืมว่าชาวตำหนักหลีเจ๋อทุกคนรอท่านกลับมา!”
อาวุโสถังเห็นเขาเศร้าใจ เกรงว่าจะทำให้อวี่ซือเฟิ่งกลัดกลุ้มใจ จึงยิ้มกล่าวว่า “เจ้าตำหนักมีวาจาสั่งการอะไรอีกไหม”
อวี่ซือเฟิ่งคิดไปคิดมากล่าวว่า “ให้บรรดาศิษย์ได้รู้…ตำหนักหลีเจ๋อจะไม่ใช่กรงขังเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป”
ผู้อาวุโสทั้งหลายพากันรับคำพร้อมเพรียง ประสานมือส่งพวกเขา จนพวกเขาออกไปไกลไม่เห็นแม้เงาแล้ว ก็ยังเอาแต่ยืนมองอย่างอาวรณ์
[1] แปลว่าแม่น้ำสีแดง