ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 6 อู๋จือฉี (2)
เสวียนจีกับมกรตามผู้พิพากษามาถึงเมืองนรกอี้ตู ภาพที่นั่นไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย แม่น้ำลืมภพชาติหน้าประตูเมืองยังคงหลากสีวาววับ ดอกไม้ริมสองฝั่งยังคงผลิบานราวเปลวเพลิง ราวกับพรมสีแดงสดปูพรมออกไปไกลมาก เสวียนจีรู้สึกทั้งคุ้นเคยและคิดถึง อดยิ้มเล็กน้อยไม่ได้
ผู้พิพากษายิ้มตามพลางกล่าวว่า “ยังจำได้ไหม ตอนนั้นวันๆ เจ้าเอาแต่อาลัยอาวรณ์ทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำลืมภพ”
เสวียนจีพยักหน้ากล่าวว่า “อืม พอจำได้ลางๆ แต่สิ่งที่ข้าค้นหาก็ยังคงหาไม่พบ ตอนนี้ก็ยังเลือนราง”
ผู้พิพากษากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “วาสนาหรือเคราะห์กรรมขึ้นกับตัวเจ้าเองแล้ว วันหน้าจะได้รู้”
มกรฟังเขาสองคนพูดจากันมาตลอดทาง พูดแต่เรื่องแปลกๆ อดนึกรำคาญไม่ได้ เสียงดังกล่าวว่า “พูดวาจาเหลวไหลน้อยหน่อยได้ไหม อู๋จือฉีล่ะ เขาถูกขังอยู่ที่เมืองนรกอี้ตูนี่หรือ”
เขาคำรามดังเช่นนี้ เสวียนจีกับผู้พิพากษายังดี ผีน้อยกับยมทูตข้างทางตกใจกลัวจนตัวสั่นเทาไปหมด คนในเมืองนรกอี้ตูย่อมรู้เห็นอะไรมามากกว่า รู้สถานะแท้จริงของเสวียนจีกับมกร พวกรู้งานก็รีบหนีไปหลบไกลๆ ก่อนแล้ว หากไม่ระวังเจอเข้าก็ต้องรีบก้มหัวงุดๆ หนี ระหว่างทางผีน้อยหลายตนเห็นแววตาเสวียนจีเอาแต่จ้องมองเนื้องอกบนหัวพวกเขา เห็นชัดว่าไม่ได้การแน่แล้ว ได้แต่ยกมือขึ้นกุมเอาไว้เงียบๆ ไม่พูดไม่จา ก้มหน้าก้มตาหาที่หลบ
ผู้พิพากษายิ้มกล่าวว่า “เจ้าไปตั้งหลายวัน แต่บารมีน่าเกรงขามยังคงอยู่ ทำเอาคนที่นี่ตกใจไม่น้อย” เขาถึงกับไม่สนมกรที่กำลังร้อนใจ นำพวกเขาเดินไปถึงหน้าอาคารงดงามแห่งหนึ่ง ชายคางอนกระดกขึ้นสูงราวเฟิ่งหวงสยายปีก สีสันสวยสดงดงาม แต่ละชั้นงามงอนวิจิตรโดยแท้ โลกมนุษย์ไม่มีอาคารสูงลักษณะยิ่งใหญ่เช่นนี้
“ข้าต้องไปรายงานมหาเทพโฮ่วถู่ให้ทรงอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นแม้ข้าเองก็ไม่อาจไปพบอู๋จือฉี สองท่านตามข้ามา”
ประตูแดงชาดบานใหญ่ถูกผลักออกช้าๆ ผู้พิพากษานำเขาทั้งสองเข้าไป ตลอดทางผ่านห้องผ่านโถงมา ความงดงามไม่ต้องกล่าวถึง เดินจนสุดท้ายแม้แต่มกรก็ตาลาย แอบแลบลิ้นหอบ ก่อนหน้านี้ไม่ควรดูแคลนแดนนรกจริงๆ จากข้างนอกมองมาก็แค่อาคารเล็กๆ ปกติธรรมดา ไหนเลยจะรู้ว่าด้านในลึกลับซับซ้อนมากมายเช่นนี้
ผู้พิพากษามาหยุดตรงประตูรูปพัดบานหนึ่ง กล่าวว่า “ทั้งสองจะตามข้าเข้าไปคารวะมหาเทพโฮ่วถู่ไหม”
มกรไม่เคยพบกับมหาเทพโฮ่วถู่ เขาแอบมายังโลกมนุษย์ ยังมาก่อเรื่องแดนนรกหาอู๋จือฉี ไป๋ตี้ต้องว่าเขาเหลวไหลแน่ คิดว่ามหาเทพโฮ่วถู่เองก็คงต้องบ่นใส่เขาแน่ เขารีบส่ายหน้า “ข้าไม่ไปละ รออยู่ข้างนอกดีกว่า” เขากลัวคนพร่ำบ่นที่สุด โดยเฉพาะพวกสูงส่งเบื้องบน ไม่ฟังก็ไม่ได้ ให้ฟังก็ไม่อยากฟัง
ผู้พิพากษาไม่บังคับเขา พาเสวียนจีเดินเข้าไปในประตูรูปพัดทันที ไม่ใช่ห้องใหญ่โต มุมกำแพงมีกำบังตั้งวางไว้ ฝั่งตรงข้ามมีเก้าอีกสามสี่ตัว น่าแปลกก็คือกำแพงตรงหน้าเก้าอี้มีม่านสีหม่นผืนหนึ่งปิดไว้ ไม่มีช่องลอดดูแม้แต่นิด พอเสวียนจีเข้าไปก็เอาแต่จ้องมองม่านนั้น รู้สึกเหมือนว่าด้านหลังแอบซ่อนคนที่ไม่ธรรมดาเอาไว้
“ข้าน้อยคารวะมหาเทพโฮ่วถู่” ผู้พิพากษาคุกเข่าคำนับไปทางหลังม่าน เสวียนจีมือไม้เก้กัง ได้แต่ประสานมือโค้งคำนับ จะให้คุกเข่านั้นไม่ว่าอย่างไรก็ทำไม่ลง
หลังม่านมีเสียงแปลกๆ ไม่ชายไม่หญิงแต่อ่อนโยนยิ่ง กล่าวว่า “เสวียนจี เจ้ามาหาอู๋จือฉี?”
เสวียนจีได้ยินเขาไม่ต้องถามก็เรียกชื่อตนเองออกมาก็อดตกใจไม่ได้ อยู่ๆ ก็คิดได้ว่าชื่อนี้เป็นชื่อที่มหาเทพโฮ่วถู่ประทานให้ตนเอง ดังนั้นจึงตอบว่า “อืม ใช่ จริงๆ แล้วข้าก็ไม่ได้อยากพบเขา แต่สหายข้าหลายคนจะพบเขาให้ได้…”
มหาเทพโฮ่วถู่กล่าวว่า “วาสนาตรงต้องย่อมได้สัมพันธ์ วันนั้นเจ้าจับเขาแล้วยังปล่อยตัวพลการ จากนั้นจึงได้เป็นความผิดมหันต์ ทำเหตุไว้เช่นนั้น วันนี้เจ้าผ่านเคราะห์มาถึงที่นี่ได้พบกับเขาอีกครั้งก็คือผล ผลย่อมเกิดแต่เหตุก็เป็นเช่นนี้ ข้าอนุญาตให้เจ้าไปพบเขาได้ เหตุต้นผลกรรมของพวกเจ้า วันนี้ก็จัดการให้จบสิ้นด้วยตนเอง”
วาจาทางการของเขาทำเอามึนงงไปหมด เสวียนจีนิ่งอึ้งไปเป็นนานจึงได้กล่าวว่า “อะไรคือจัดการให้จบด้วยตนเอง ข้าจะต้องจัดการให้จบอย่างไร”
ผู้พิพากษาโมโหที่นางเสียมารยาท ส่งสายตาตำหนินาง เสวียนจีไม่ได้รู้สึกอะไร มหาเทพโฮ่วถู่ก็ไม่ได้ถือสา เพียงกล่าวอ่อนโยนว่า “อู๋จือฉีทำความผิดมหันต์ เดิมควรจองจำพันปี แต่เพื่อให้เขาได้พ้นเคราะห์กรรมนี้ คนที่จะส่งเขาไปเกิดเป็นมนุษย์ได้มีแต่เจ้าคนเดียว ข้าได้ยินว่าโลกมนุษย์มีมารปีศาจมากมายออกอาละวาด คิดจะช่วยอู๋จือฉีออกไปก่อเรื่องอีกครั้ง น่าเสียดายทุกสิ่งกำหนดวาสนาตามเหตุต้นผลกรรม วันนี้เจ้ามาถึงที่นี่ก็คือฟ้าลิขิต”
ยามนี้เสวียนจีจึงนับว่าเข้าใจแล้ว ที่แท้ตำหนักหลีเจ๋อก็ดี เขาปู้โจวซานก็ดี แดนสวรรค์ล้วนรู้ แต่พวกเขากลับไม่ออกหน้า ปล่อยพวกเขาก่อเรื่องกันไป ก็เพื่อรอเหตุต้นผลกรรมส่งผลเอง ที่แท้หลิ่วอี้ฮวนเอาแต่พร่ำบ่นว่าวิถีฟ้าไม่อาจฝืน ก็หมายถึงอู๋จือฉีสุดท้ายควรเป็นนางมากำจัดในแดนปรภพ นี่ก็คือเหตุวาสนาที่พวกเขาว่ากัน ที่เรียกกันว่าวิถีฟ้า
นางกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ข้าไม่รู้จักเขาแล้ว ชาติก่อนเกิดเรื่องอะไรก็ไม่เกี่ยวอันใดกับชาตินี้ของข้า เหตุใดข้าต้องฆ่าเขา พวกท่านต้องรอให้ข้ามาฆ่าเขาจบสิ้นเหตุต้นผลกรรมนี้ ดังนั้นจึงปล่อยมือวางเฉยไม่สนใจมารปีศาจอาละวาดในโลกมนุษย์พวกนั้น ปล่อยให้พวกเขาสังหารมนุษย์! นี่คือหลักการ?! ข้าไม่อาจเข้าใจ!”
“เสวียนจี!” ผู้พิพากษาตวาดเบาๆ มหาเทพโฮ่วถู่ราวกับไม่ตำหนิที่นางเสียมารยาท กล่าวเพียงว่า “ในโลกนี้หลักการนับหมื่นพัน เจ้าเข้าใจจริงแท้ได้เท่าไรกัน เจ้ามีวาสนากรรมเช่นนี้กับเขา ไม่เช่นนั้นวันนี้เจ้าก็ย่อมไม่มายืนต่อหน้าข้าเช่นนี้ มารปีศาจอาละวาดบนโลกมนุษย์ ย่อมมีเหตุต้นผลกรรม หากเข้าแทรกแซงพลการไม่ใช่การดี วันนี้เจ้าไม่จัดการจบเหตุต้นผลกรรมนี้ให้เรียบร้อย วันหน้าเรื่องราวก็ย่อมเป็นไปอย่างไม่อาจคาดเดา เจ้าไม่อยากรู้ความลับสถานะแท้จริงของตนเองหรือ ไม่คิดอยากได้ความทรงจำกลับคืนหรือ หากเจ้าสังหารเขา ข้าก็จะให้เจ้าได้เข้าใจในทุกสิ่งบัดเดี๋ยวนี้”
ช่าง…ช่างล่อหลอกเสียจริง! เสวียนจีถลึงตาใส่หลังม่านอย่างไม่อยากจะเชื่อ กล่าวว่า “นี่ก็เกินไปกระมัง เหตุใดต้องให้ข้าไปสังหารเขา…พวกท่านส่งใครไปจัดการก็ได้นี่ ไยต้องเป็นข้า…”
มหาเทพโฮ่วถู่ไม่ตอบ ในใจเสวียนจีพลันคิดได้ หลุดร้องออกมาว่า “อา! หรือเพราะว่านอกจากข้า ก็ไม่มีผู้ใดสังหารเขาได้ ดังนั้นพวกท่านจึงต้องรอข้ามา ใช่ไหม”
นางมองไม่เห็นสีหน้ามหาเทพโฮ่วถู่หลังม่าน หันไปมองท่าทางผู้พิพากษาแทน เห็นเขามีท่าทีหวาดกลัวสามส่วน ตกใจสามส่วน ในยามนั้นก็รู้ตนเองเดาได้ถูกต้องแปดเก้าส่วน คิ้วนางขมวดมุ่นกล่าวว่า “ข้าไร้ความแค้นกับเขา ลงมือไม่ลง”
มหาเทพโฮ่วถู่กล่าวอ่อนโยนว่า “หากไม่มีเหตุจากเขา เจ้าจะมาถึงแดนนรกได้หรือ ยังต้องไปผจญเคราะห์กรรมเช่นนั้นบนโลกมนุษย์หรือ ข้าบอกแล้วว่า นี่ก็คือเหตุกรรมของเจ้ากับเขา เจ้าไม่ต้องรีบร้อนตัดสินใจ รอคิดให้ดีก่อน ค่อยไปพบอู๋จือฉีแล้วกัน”
ความหมายก็คือหากนางไม่เห็นด้วยที่จะสังหารเขาก็อย่าได้คิดพบเขา และยังต้องใช้ชีวิตต่อในแดนนรก เสวียนจีคิดไปคิดมาก็กล่าวว่า “ข้า…มีสหายคนหนึ่ง คือจิ้งจอกม่วง นางเองก็มากับพวกเราด้วย ข้าอยากรู้ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน”
มหาเทพโฮ่วถู่ยิ้มกล่าวว่า “นางย่อมมีเหตุกรรมของนาง นางไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
เสวียนจีสูดลมหายใจเข้าลึก จริงๆ แล้วในใจนางก็สนใจอยากรู้เรื่องปีศาจอู๋จือฉีตนนี้มากว่าก่อนหน้านี้เคยมีบุญคุณความแค้นใดกับนาง นางคิดไม่ออก ดังนั้นอยู่ๆ ให้นางไปสังหารเขาทิ้ง ช่างเป็นอะไรที่แทบไม่อยากจะเชื่อ นางไม่รับปากก็อย่าคิดไปจากแดนปรภพ ท่านพ่อและท่านแม่ยังรอนางอยู่ที่เส้าหยาง
คิดถึงตรงนี้ นางพลันกล่าวว่า “ตกลง ข้าจะไปสังหารเขา! แม้ว่าข้าตอนนี้จะยังคิดอะไรไม่ออก แต่อาจเป็นไปได้ว่าพอได้เจอเขาก็อาจคิดอะไรออกก็ได้”
มหาเทพโฮ่วถู่หลังม่านเหมือนหัวเราะเบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง ผู้พิพากษาลุกขึ้นกล่าวว่า “ตามข้ามา”
****
จิ้งจอกม่วงถูกแรงดึงดูดประหลาดนั่นดูดเข้าไปในถ้ำ จากนั้นสติก็สะลึมสะลือราวกับถูกลากผ่านไปหลายที่ สุดท้ายก็หยุดลงในที่สุด แต่หัวเหมือนกระแทกเข้ากับของแข็งบางอย่าง สลบไปทันที
นางฟื้นขึ้นมาท่ามกลางพื้นที่หมอกหนาผืนหนึ่ง ลืมตาขึ้นกะพริบอย่างงุนงง มองไปรอบกาย นอกจากหมอกขาว นางมองไม่เห็นอะไรอีก จิ้งจอกม่วงกระโดดตัวลอยขึ้น ลนลานวิ่งไปรอบทิศ ร้องเรียกเบาๆ ว่า “เสวียนจี? ใต้เท้ามกร?…พวกเจ้าอยู่แถวนี้ไหม”
เรียกติดๆ กันหลายเสียง รอบๆ ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง นางก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว ไม่รู้ที่นี่คือที่ไหน นางคิดแต่จะไปพบอู๋จือฉี หากมาผิดที่ ก็คงต้องเสียชีวิตหนึ่งไปเปล่าๆ เช่นนั้นก็ย่อมเป็นเรื่องที่ทำใจยอมรับได้ยากยิ่ง
กล่าวกันว่าแดนปรภพไม่มีกลางวันกลางคืน มืดมิดตลอด แต่ที่นี่ไม่เหมือนดังว่าอยู่สักหน่อย ที่นี่ฟ้าสว่าง มีแต่หมอกขาวหนาปกคลุมชั้นหนึ่ง มองไม่เห็นอะไรชัดนัก จิ้งจอกม่วงเดินวนรอบหมอกหนารอบหนึ่ง เห็นรอบๆ ไร้ผู้คน ใจก็กล้าขึ้นมาอีกหน่อยหนึ่ง สุดท้ายยกมือป้องปากตะโกนดัง “มีคนไหม?! ที่นี่คือที่ผีบ้าอะไรเนี่ย อา อา อา อา!”
เสียงสะท้อนกลับมาราวกับไกลมาก พลันได้ยินเสียงคนหัวเราะขึ้นเสียงหนึ่งไกลออกไป จิ้งจอกม่วงราวถูกสายฟ้าฟาด สะดุ้งกระโดดโหยงขึ้นทันที สะบัดหน้าออกวิ่งทะยานไปตามทิศทางของเสียง
หมอกขาวค่อยๆ จางหายไป เบื้องหน้ามีกระท่อมปรากฏขึ้นลางๆ ฟางหญ้าเปียกชื้นทิ้งตัวห้อยอยู่ด้านบน ราวกับยังมีน้ำหยดลงมา ประตูปิดไม่สนิท ยังมองเห็นเงาเคลื่อนไหวไปมาของคนในนั้น จิ้งจอกม่วงได้กลิ่นที่คุ้นเคยมาก นั่นคือกลิ่นที่นางเฝ้าคิดคำนึงหา แม้ในฝันก็ไม่อาจลืม แม้ตายก็ไม่อาจลืม…
นางเริ่มตัวสั่นเทา เดินเข้าไปผลักประตูออก กระท่อมเล็กๆ มีชายรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งกำลังอยู่หน้ากระจกที่มีเพียงหนึ่งเดียวในห้อง พยายามจัดเสื้อผ้าขาดๆ ของตนเอง ตั้งแต่หัวจรดเท้าไปถึงสองมือสองเท้ามีโซ่เหล็กล่ามอยู่ถึงแปดเส้น
แต่น่าแปลกว่าโซ่เหล็กล่ามบนร่างกายเขา แต่ไม่ทำให้ดูน่าอเนจอนาถอันใด ราวกับสิ่งที่น่าอนาถที่สุดในใต้หล้านี้มาอยู่บนร่างเขาแล้ว ก็ไม่ทำให้รู้สึกรังเกียจ
จิ้งจอกม่วงรู้สึกเพียงแค่น้ำตาทะลักออกจากขอบตา ทั่วร่างทนรับความรู้สึกดีใจนี้แทบไม่ไหว สั่นเทาไปหมดทั้งร่าง นางอ้าปากกำลังจะเรียกคนที่ทำให้นางเฝ้ารักผู้นี้ อยู่ๆ เขาก็หันหลังกลับมาทันที บนใบหน้ามีรอยแผลสีแดงถากเป็นทางยาว แลดูอัปลักษณ์ยิ่ง
ผมเขายาวมาก มัดเป็นเปียง่ายๆ เส้นหนึ่งไว้ด้านหลัง เสื้อผ้าบนตัวแม้ว่าขาดจนดูไม่ได้ แต่ใบหน้ากับมือก็ยังสะอาด รอยแผลบนใบหน้าแม้ว่าทำให้ดูโหงวเฮ้งไม่ดี แต่พอมาอยู่บนใบหน้าเขาแล้วกลับไม่ทำให้คนรู้สึกเช่นนั้น คิ้วและดวงตาเขา จมูกโด่ง ผิวเข้มดำ สมเป็นชายชาตรีแท้จริง ทั้งร่างมีแต่กลิ่นอายวีรบุรุษที่ไม่ถูกสิ่งใดพันธนาการไว้ แต่รอยยิ้มเขากลับมีความเป็นเด็กน้อยอยู่สามส่วน
นี่ก็คือผู้ชายที่ทำให้สตรีไม่อาจระงับจนต้องส่งเสียงกรีดร้องคลั่งไคล้ หากไม่ได้มาก็แทบอยากฆ่าให้ตายแทน
แต่ตอนนี้ใบหน้าเขามีรอยยิ้มหลงใหล สองตาเป็นประกายราวกับทนเก็บมาพันปี ในที่สุดก็ได้กลิ่นผู้หญิง ความกระหายสุดขีด หันกลับไปมองจิ้งจอกม่วง ตาเป็นประกายวาว ดีใจกล่าวว่า “พี่สาวคนสวย! เจ้ามาหาข้าหรือ”