ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 105 ตำแห่งผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Times Group จะตกเป็นของใคร
สือเพ่ยหลินราวกับรู้สึกว่าตนเองถูกตัดสินโทษประหารและถูกขังอยู่ในนั้นทันที จู่ ๆ ก็ได้รับการแจ้งประกาศมา ว่าเขาอาจจะได้แปรเปลี่ยนเป็นการตัดสินประหารชีวิตแทน
ความรู้สึกแบบนี้ ทำให้เขามีปฏิกิริยากลับมาสองสามวินาที หลังจากนั้นจึงคว้าหมับเข้าที่แขนเสื้อเชิ้ตของสือมูเฉินอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณอาครับ ที่อาพูดมานั้นจริงหรือครับ? มีโอกาสที่จะวิจัยยาขึ้นมาจริง ๆ หรือครับ?”
สือมูเฉินพยักหน้า “ฉันได้รับข้อความจากเพื่อนทางฝั่งนั้นมาว่าอย่างนั้นแหละ เห็นว่าเป็นเพราะว่าแบรนด์ออเนอร์ทางฝั่งนั้นมีความสัมพันธ์สายตรงและเกิดสถานการณ์เดียวกันกับนาย ดังนั้นแล้ว พวกเราก็เลยตามหาคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อมาวิจัยยาประเภทนี้โดยเฉพาะ ช่วงนี้จู่ ๆ ก็พึ่งได้รับอุปสรรค”
แผ่นอกของสือเพ่ยหลินกระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้น……”
“แต่ทว่ายาของพวกเขาไม่ได้ส่งขายออกข้างนอก อีกอย่างการจัดระเบียบของแบนด์ออเนอร์เองก็ค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้นแล้ว นายจำเป็นที่จะต้องเดินทางไปด้วยตนเอง” สือมูเฉินเอ่ย “ยิ่งเร็วยิ่งดี”
สือเพ่ยหลินยืนอยู่ที่เดิม ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ทำให้เขาตื่นเต้นไปทั่วทั้งร่าง เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ก่อนจะต่อสายโทรศัพท์ไปหาสือมูชิง
“อาครับ ในเมื่อเพื่อนของอาได้รับข่าวมา ถ้าอย่างนั้นแล้วอากับผมจะไปที่ฟลอริดาพร้อมกันไหมครับ?” สือเพ่ยหลินโทรศัพท์เสร็จแล้วก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ประเดี๋ยวจะมีประชุมกับบริษัทซอฟต์แวร์ ผมจะให้พ่อไป”
สือมูเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ได้”
“ผมจะให้เลขาจองตั๋วให้เร็วที่สุดเดี๋ยวนี้เลยครับ!” สือเพ่ยหลินพูดไป ก่อนจะสาวเท้ายาวก้าวเข้าไปในห้องทำงานของตนเอง
สือมูเฉินกลับมายังห้องทำงานของตนเอง ก่อนจะรีบต่อสาย แล้วโทรศัพท์หาคนทางฝั่งนั้นว่า “เตรียมผู้หญิง ให้ไปขัดขวางสือมูชิงเอาไว้ ในขณะเดียวกัน แจ้งให้เริ่นเหม่ยเฟิ่งทราบด้วย”
ประจวบเหมาะกับมีสายการบินสายการบินหนึ่งใกล้จะบินในอีกสองชั่วโมงให้หลัง ดังนั้นแล้ว สือเพ่ยหลินไปกับสือมูเฉินด้วยกัน แทบจะไม่ทันได้มีเวลาหยิบกระเป๋าเดินทางอะไรเลย มุ่งตรงไปที่สนามบินทันที
ระหว่างการเดินทาง สือมูเฉินส่งข้อความหาหลานเสี่ยวถาง หลังจากนั้น ก็ให้คนจองเที่ยวบินในวันที่สองให้กับเธอ
ในขณะเดียวกัน สือมูชิงกำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางไปยังบริษัทซอฟต์แวร์ ก็พบเจอกับเรื่องวุ่น ๆ เข้าให้เสียแล้ว
เขากำลังขับรถอยู่ แต่ทว่าที่ท้ายรถดันถูกรถคันหลังชนเข้าให้ เป็นเพราะว่ามีเรื่องด่วน ดังนั้นเดิมเขาก็ไม่คิดที่จะเอาความอะไร แต่ทว่า ฝั่งตรงข้ามกลับบอกว่าจะรอให้คนจากบริษัทประกันมา
และในเวลาเดียวกันนั้นเอง เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ม่านตาก็อดไม่ได้ที่จะหดตัวเกร็ง
นั่นคือผู้หญิงที่เขารักเพียงหนึ่งเดียวแต่ทว่ากลับพลาดไปนั่นเอง เป็นเพราะว่าไม่ได้ครอบครอง ดังนั้นแล้ว ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเขาจึงราวกับว่าฝังลึกลงไปถึงกระดูกเลยก็ไม่ปาน
ในตอนแรก ภายใต้การวางแผนของบิดา เขากับเริ่นเหม่ยเฟิ่งจึงแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กัน ภายใต้ความกดดันของสองตระกูล เขาจึงได้แยกทางกับหญิงคนนั้น
ตอนนี้เวลาผ่านไปหลายปีแล้ว เขาไม่ได้คิดถึงเลย ว่าจู่ ๆ จะสามารถพบเห็นเธอได้อีก
ดังนั้นแล้ว ในตอนที่ผู้หญิงคนนั้นมองมา อีกทั้งยังเป็นในตอนที่จดจำเขาได้อีกด้วย ขาของเขาก็ไม่ฟังจิตใต้สำนึกอีกต่อไปแล้ว ก้าวเท้าเดินไปจากรถ ก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงหน้าของเธอ
แทบจะเป็นเพราะว่าหลายปีมานี้ผู้หญิงคนนั้นก็ผ่านไปได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ดังนั้นเมื่อทั้งสองเจอหน้ากันแล้ว จึงอดที่จะถอนหายใจออกมาเล็กน้อยไม่ได้
ในระหว่างที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง หญิงคนนั้นรู้สึกถึงความหลังจึงหลั่งน้ำตาออกมา เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว หัวใจของสือมูชิงกระตุก อีกทั้งยังยกมือขึ้นไปเช็ดน้ำตาให้เธออีกด้วย
เริ่นเหม่ยเฟิ่งกำลังเดินช้อปปิ้งอยู่ ได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งที่ไม่ปรากฏเบอร์ขึ้น บอกว่าสือมูชิงมีความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนกับหญิงสาวคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเธอจะทราบอยู่แล้วว่าอาจจะเป็นการจัดฉาก แต่ทว่า มีผู้หญิงที่ไหนกันที่จะแส่หาเรื่องแบบนี้?
ดังนั้นแล้ว เพื่อยืนยันความจริงหรืออาจจะเป็นเพราะอารมณ์อื่น ๆ ก็ตาม เธอก็ยังคงรีบตามไปทันทีอยู่ดี
เป็นได้ตามคาด เธอเห็นสือมูชิงอยู่ที่ด้านข้างของรถและกำลังยืนอยู่กับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เขากลับกล้าที่จะเช็ดน้ำตาให้เธอด้วยจริง ๆ!
ที่บันดาลโทสะที่สุดเลยก็คือ ผู้หญิงคนนั้นก็เข้าไปซบเข้าที่หัวไหล่ของสือมูชิงทันที ตามต่อมาด้วย ทั้งสองคนยังคงขึ้นรถของสือมูชิงด้วยกันไปแล้ว!
เริ่นเหม่ยเฟิ่งบันดาลโทสะจนถึงขีดสุด แทบจะคิดก็ไม่ต้องคิดเลย ก็ลงมาจากรถของตนเองแล้ว หลังจากนั้นก็พุ่งเข้าไปที่รถของสือมูชิงด้วยโทสะ
บรรยากาศภายในรถราวกับว่าแทบจะท่วมท้นไปด้วยทั้งสองคนเลย แทบจะไม่มีความรู้สึกเลยแม้แต่นิดเดียวถึงการมาของเริ่นเหม่ยเฟิ่ง
ดังนั้นแล้ว ทั้งสองคนจึงมีความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่อกัน อีกทั้งยังจูบกันในรถขึ้นมาอีกด้วย!
เป็นเพราะว่ากำลังรอที่จะจัดการเรื่องราวอยู่ ดังนั้นแล้ว กระจกรถของสือมูชิงจึงลดลง เริ่นเหม่ยเฟิ่งพุ่งเข้าไป แทบจะคิดก็ไม่ต้องคิดเลย ก่อนจะง้างมือขึ้น แล้วฟาดลงไปบนศีรษะของผู้หญิงคนนั้น
ตามต่อมาด้วย อาศัยจังหวะที่ทั้งสองคนยังไม่ทันได้ตั้งตัว เธอคว้าจับเข้าที่เส้นผมของผู้หญิงคนนั้น ก่อนจะออกแรงดึงอย่างรวดเร็ว
ผมกระจุกใหญ่ร่วงออกมา เสียงแหลมเล็กของผู้หญิงร้องดังขึ้น สือมูชิงก็มีปฏิกิริยาตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้น ทั้งสามคนจึงเริ่มสงครามครั้งใหญ่กันแล้ว
เป็นเพราะว่าสงครามใหญ่ครั้งนี้ ดังนั้นแล้ว สือมูชิงไม่ได้ไปที่บริษัทซอฟต์แวร์ อีกทั้งยังไม่ได้รับสายโทรศัพท์จากหันจื่ออี้อีกด้วย แม้กระทั่ง ตอนค่ำ ก็ยังคงอยู่ในไฟสงครามเช่นนี้อยู่เลย
ในตอนที่สือมูเฉินถึงฟลอริดาแล้ว ก็เป็นเวลาเที่ยงคืนของประเทศจีนแล้ว หลังจากที่เขากับสือเพ่ยหลินแยกย้ายกันเข้าพักที่โรงแรมแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
เพียงแต่ว่า หลังจากที่สือมูเฉินกลับเข้าห้องพักแล้ว กลับงีบหลับไปเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ก่อนจะลุกขึ้น แล้วเปิดคอมพิวเตอร์ รอให้พร้อมกันกับหยานชิงเจ๋อ หลังจากนั้นก็จับตามองตลาดหุ้นของประเทศที่จีนจะเปิดตอนเก้าโมงของประเทศจีน
เวลาผ่านไปทีละเล็กทีละน้อย ในที่สุดเก้าโมงก็มาถึงแล้ว
เส้นโค้งของตลาดหุ้นเป็นดังที่เขาคาดการณ์เอาไว้เลยก็ไม่ปาน หลังจากที่หุ้น Times Group เปิดตลาดหุ้นแล้ว หุ้นก็เริ่มดิ่งลง
“ชิงเจ๋อ อย่างพึ่งเคลื่อนไหวก่อนนะ รอข่าวจากทางฝั่งนั้นของ DR ก่อน แล้วพวกเราค่อยดำเนินการกัน!” สือมูเฉินเปิดการสนทนาผ่านวิดีโอกับหยานชิงเจ๋อ
“ครับผม” หยานชิงเจ๋อเอ่ย “ยังดีนะครับ เมื่อวานสือมูชิงไม่ได้เข้าร่วมประชุมกับหันจื่ออี้”
“วันนี้หันจื่ออี้ต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน นายคอยจับตาฝั่งเขาเอาไว้ ตลาดหุ้นทางฝั่งนี้ ฉันจะจัดการเอง!”
ตระเตรียมการมาหลานปี ในที่สุดวันนี้ที่รอคอยก็มาถึงแล้ว ใบหน้าของสือมูเฉินสงบนิ่ง แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและตื่นเต้น
ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นมา เขาบีนเบนสายตาไปมองอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเป็นหลานเสี่ยวถาง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจึงรีบรับสายแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เสี่ยวถางครับ”
“มูเฉินคะ ตอนนี้ฉันอยู่ในห้องโถงใหญ่ที่รับรองของสนามบินเรียบร้อยแล้วนะคะ อีกประเดี๋ยวเครื่องบินก็จะบินแล้ว” หลานเสี่ยวถางเอ่ย “คุณกำลังยุ่งอยู่หรือเปล่าคะ?”
“อืม” สือมูเฉินมองเห็นเส้นโค้งในตอนนี้ที่อยู่ในตำแหน่งที่เขาคาดเดาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงดำเนินการอย่างรวดเร็วในทันที!
“อา ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณจัดการธุระไปก่อนเถอะค่ะ ฉันไม่รบกวนคุณแล้วล่ะ ถึงแล้วค่อยโทรหาคุณอีกทีแล้วกันนะคะ” หลานเสี่ยวถางพูดไป ก่อนจะกำลังจะวางสายแล้ว
“รอเดี๋ยวครับ” สือมูเฉินรีบเอ่ยเรียกเธอเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“หืม?” หลานเสี่ยวถางเอ่ยถาม
“เสี่ยวถางครับ” น้ำเสียงของสือมูเฉินแฝงไปด้วยความตื่นเต้น “คุณเป็นคนแรกที่ผมจะบอกกล่าวข่าวนี้ด้วย”
“ข่าวอะไรหรือคะ?” ในใจจองหลานเสี่ยวถาง ตอนนี้มีการคาดเดาอย่างลับ ๆ เอาไว้อยู่เรียบร้อยแล้ว
“คุณรู้ไหมครับ ช่วงเวลาที่ผมใช้ไปไม่ต่ำกว่าสิบปี ในที่สุดถึงจะสามารถนำของในตอนแรกที่พ่อทิ้งเอาไว้ให้ นำมันกลับคืนมาได้แล้วนะครับ!” สือมูเฉินสบตามองตัวหนังสือบนหน้าจอ เขารู้สึกว่าตอนนี้ดวงตาของเขาเริ่มร้อนขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว “สามพันกว่าคืนวันนั้น ในที่สุดก็ทำให้ผมรอมาได้จนถึงวันนี้แล้วครับ!”
ถึงแม้ว่าหลานเสี่ยวถางจะอยู่ห่างจากเขาอยู่ครึ่งโลก แต่ทว่า ในเวลานี้ เธอกลับรู้สึกว่าเขาคล้ายกับพูดอยู่ที่ข้างใบหูของเธอเลยก็ไม่ปาน
เธอรู้สึกว่าลำคอของตนเองก็เริ่มติดขัดขึ้นมาแล้ว ภายในหัวใจ มีความรู้สึกยินดีพรั่งพรูออกมาหลายส่วน หลายส่วนเป็นความรู้สึกทอดถอนใจ ความรู้สึกซับซ้อน ยากจะเอ่ยออกมา
เธอมีคำพูดมากมายที่อยากจะเอ่ยออกมา แต่ทว่าในท้ายที่สุดแล้วกลับรวบรวมได้เพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น “มูเฉินคะ ยินดีด้วยนะคะ ที่นำของที่เป็นของตนเองกลับคืนมาได้แล้ว”
“เสี่ยวถางครับ ขอบคุณนะ” มุมปากของสือมูเฉินประดับไปด้วยรอยยิ้ม “คุณมาถึงแล้วผมจะไปรับคุณเองครับ แล้วค่อยแนะนำคุณกับสือเพ่ยหลินอย่างเป็นทางการ”
“หมายความว่าอย่างไรกันคะ?” หลานเสี่ยวถางเอ่ย “คุณจะเปิดเผยความสัมพันธ์ของพวกเราหรือคะ?”
“แน่นอนครับ” สือมูเฉินเลิกคิ้ว “ผมไม่สามารถให้คุณเป็นภรรยาใต้ดินของผมไปตลอดชีวิตหรอกนะครับ”
“ดังนั้นแล้ว เขาควรจะเรียกฉันว่าอาสะใภ้แล้วหรือคะ?” หลานเสี่ยวถางคิดมาได้จนถึงตรงนี้ ก็มีความรู้สึกชั่วร้ายก่อเกิดขึ้นก็ไม่ปานอย่างรวดเร็ว
“ถึงตอนนั้น สีหน้าของเขาจะหลากหลายมากแน่นอนครับ” สือมูเฉินเอ่ย “คุณเตรียมใจเอาไว้ได้เลย ต้องเตรียมท่าทีของอาสะใภ้เอาไว้ดี ๆ ด้วยนะครับ อย่าให้น่าตลก ต้องแสดงท่าทีเคร่งขรึมออกมานะครับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของสือมูเฉินแล้ว ผลลัพธ์ก็ส่งผลกระทบกลับมาแล้ว หลานเสี่ยวถางนั่งอยู่บนเครื่องบินด้วยท่าทางวางมาดอยู่ตลอดเวลา ดีไม่ดีก็ยกยิ้มขึ้นมาเสียดื้อ ๆ แม้กระทั่งผู้โดยสารที่นั่งอยู่ทางด้านข้างต่างก็คิดว่าเธอเป็นโรคประสาทเสียแล้ว
หลังจากที่วางสายไป สือมูเฉินยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่จะต้องจัดการ ในตอนนั้นเอง กลุ่ม DR ตอนนี้ต่างก็เต็มไปด้วยคำอวยพรและคำยินดีเต็มคอมพิวเตอร์ไปหมดแล้ว
“ยินดีด้วยลูกพี่ การแก้แค้นที่แสนจะหอมหวาน!”
“ลูกพี่ ช่วงนี้ดวงดีขึ้นนะครับเนี่ย ได้บินชิงเจ๋อบอกมาว่า ดูเหมือนว่าพี่กำลังมีความรักอยู่นี่?”
“ลูกพี่ หาเวลากับเหล่าพี่น้องสักหน่อย แล้วไปประเทศจีนดีไหมครับ? เหล้าชั้นเลิศไม่มีได้ แต่สาวงามต้องมีนะครับผม!”
สือมูเฉินพิมพ์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยขอบคุณกับกลุ่ม DR พูดคุยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกับคนที่ติดตามเขาอย่างยากลำบาก ในขณะเดียวกัน อีกทั้งยังรับปากด้วยว่าหากช่วงเวลาของฝั่งนั้นแลกเปลี่ยนกันเสร็จสรรพแล้ว จะให้วันหยุดเล็ก ๆ แก่ทุกคน เชิญให้ทุนคนไปเที่ยวเล่นด้วยกันที่หนิงเฉิงสองสามวัน ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เขาออกเอง!
เมื่อข่าวออกไป ทุกคนก็ต่างปีติยินดีเป็นอย่างมาก
เป็นเพราะว่า ทาง DR ฝั่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือทางด้านโปรแกรมและซอฟต์แวร์กันทั้งสิ้น มีตั้งแต่อายุสิบกว่าปีไปจนถึงสี่สิบกว่าก็มี ยามปกติทุกคนก็แทบจะจ้องแต่หน้าคอมพิวเตอร์เอาไว้ น้อยครั้งนักที่จะมีช่วงเวลารวมตัวกัน
ดังนั้น สามารถรวมตัวกันได้ทั่วทุกสารทิศ ก็ถือว่าเป็นเรื่องยากเย็นที่จะหามาได้อีกเรื่องหนึ่งเลยล่ะ
คนของ DR มีไม่มากนัก ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อน เพื่อนที่สือมูเฉินรู้จักมักจีกันมาหลายปี ถึงแม้ว่าทุกคนจะได้เจอหน้ากันน้อยนัก แต่ทว่า กลับมีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน ในยามปกติที่อยู่ร่วมกันบนอินเทอร์เน็ต ก็ไม่ได้มีการแบ่งชนชั้นกันเลย พูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง ราวกับว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ทุกคนก็เริ่มวางแผนและเตรียมตัวที่จะไปเที่ยวเล่นที่ประเทศจีนกันแล้ว
ในขณะเดียวกันที่สือมูเฉินกำลังยินดี หันจื่ออี้ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง กลับขมวดคิ้วติดกันจนแน่น
อันที่จริงแล้ว เมื่อวานในตอนที่เขาโทรศัพท์หาสือเพ่ยหลิน ก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องแล้ว แต่ทว่า Times Group กับเขตประเทศจีนมีสัญญาร่วมกันกับบริษัทซอฟต์แวร์ มีของบางอย่าง จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาอำนาจสูงสุดของบริษัทแม่ของบริษัทซอฟต์แวร์ ดังนั้นแล้ว เขาจึงสืบหาไม่ได้ชั่วคราว
เมื่อวานให้สือเพ่ยหลินมาเข้าร่วมประชุม ก็เป็นเรื่องที่จะทำเรื่องยื่นถึงอำนาจสูงสุดนั่นแหละ แต่ทว่า สือเพ่ยหลินไม่มาก็ช่างมันไปแล้ว แต่ทว่าสือมูชิงกลับไม่รับโทรศัพท์ในช่วงเวลาสำคัญนี่สิ!
ดังนั้นแล้ว ตอนนี้จึงเต็มไปด้วยความพ่ายแพ้อย่างราบคาบ……
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ครั้งหนึ่ง หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ก่อนจะต่อสายโทรออกไปหาสือเพ่ยหลิน
สือเพ่ยหลินกดรับสาย “รองประธานหัน”
“รองประธานสือ คุณเห็นการไหลของ Times Group หรือยังครับ?” ถึงแม้ว่าวันนั้นหันจื่ออี้จะเป็นเพราะเรื่องของหลานเสี่ยวถาง จึงรู้สึกไม่ค่อยดีกับสือเพ่ยหลินก็ตาม แต่ทว่า เรื่องของการทำงาน ตอนนี้เขาก็รู้สึกท้อใจอยู่เล็กน้อยเช่นกัน “ขอโทษนะครับ หุ้นใหญ่ของ Times Group ตอนนี้อาจจะเปลี่ยนเจ้าของไปเรียบร้อยแล้วครับ”
“อะไรนะครับ?!” เมื่อวานสือเพ่ยหลินส่งเรื่องต่อให้กับบิดาแล้วนี่ เดิมก็ไม่ได้กังวลใจอะไรมากนัก ภายในหัวใจคิดถึงแต่เรื่องยา แต่ทว่ากลับนึกไม่ถึงเลยว่า……
“ตอนนี้ นอกจากหุ้นของคุณกับพ่อของคุณแล้ว หุ้นอื่น ๆ อีกทั้งยังมีหุ้นที่กระจายอยู่ในตลาด แทบจะอยู่ในกำมือของคนอีกคนหมดเรียบร้อยแล้วครับ” หันจื่ออี้เอ่ย “ผมสืบมาได้แล้ว เขากำลังดำเนินการรวบรวมหุ้มเดิมอยู่ ความเชื่อถือเร็วมาก ดำเนินการผ่านฝ่ายภายในของตนเอง ตอนนี้หุ้นทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ที่เขาคนเดียวแล้วครับ”
มือที่กำลังถือโทรศัพท์มือถือของสือเพ่ยหลินอยู่ออกแรงบีบเข้าหากันแน่น นัยน์ตาฉายประกายทิ่มแทงจะเย็นยะเยือกออกมา เขาเอ่ยพูดทีละคำทีละประโยคออกมาว่า “สืบได้หรือยังครับว่าเป็นใคร?”