ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 108 คนดีมักจะถูกรังแก ยังไงก็ต้องชั่วสักหน่อยถึงจะดี
คุณหวังดีกับฉันอย่างนั้นหรอ ? หลานเสี่ยวถางดูเหมือนจะเคยได้ยินเรื่องตลกที่ไร้สาระที่สุดในโลก : “ สือเพ่ยหลิน บนโลกนี้มีคนที่ไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดประโยคนี้ออกมา ดูท่าแล้วจะเป็นจะคุณ !”
“ เสี่ยวถาง ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำไปเมื่อก่อนมาเกินไป แต่ตอนนี้ผมสามารถจะชดเชยส่วนที่ขาดให้กับคุณ ” สือเพ่ยหลิน : “ เลิกกับเขา และมาอยู่กับผม สามีหรือภรรยาคนแรก ถือว่าดีที่สุดแล้ว ”
“ ฮ๊ะ ฮาๆ ” หลานเสี่ยวถางถึงกับส่ายหัวและหัวเราะเยาะ : “ สือเพ่ยหลิน เมื่อก่อนฉันคิดมาโดยตลอดว่าการเป็นภรรยาคนแรกถือว่าเป็นเรื่องที่ดี พอตอนนี้คำนี้มันออกมาจากปากคุณแล้ว ฉันคงทำพลาดแล้วจริงๆ !”
สือเพ่ยหลินเหมือนจะพูดอะไร แต่ทว่าสือมูเฉินกำลังเดินมาทางนี้แล้ว
เพราะว่าจัดการที่ทันเวลา ฉะนั้นแล้วคราบไวน์บนเสื้อผ้าของเขาจึงจางลงมาก เหลือเพียงแค่รอยเล็กน้อย ถ้าเกิดว่าไม่มองดูดีๆก็มองไม่ออก
เขานั่งลง : “ ผมเช็คบิลเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราไปกันเถอะ ”
สือเพ่ยหลินก็ลุกขึ้นและพูดว่า : “ คุณอา ฉันว่าพวกเราควรที่จะสานต่อประเด็นหลักที่เรามาในครั้งนี้ได้แล้ว !”
“ ไม่เลว ” สือมูเฉิน : “ คืนนี้ มีงานประมูลส่วนส่วนบุคคล และมีหนึ่งในนั้น เป็นแบรนด์ออนเนอะที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับทองคำกรุ๊ป ”
เสือเพ่ยหลิน : “ แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรยาของฉัน ?”
“ แบรนด์ออเนอร์มีกฎหนึ่งข้อที่ไม่ได้กำหนดไว้ ถ้าจะเข้าไปสำนักงานใหญ่ของแบรนด์ออเนอร์ จำเป็นต้องพกแต่ของที่เป็นแบรนด์ของของพวกเขาเท่านั้น ” สือมูเฉิน “ เพราะฉะนั้นแล้ว เพ่ยหลิน คืนนี้ฉันต้องรบกวนให้นายถ่ายรูปแหวนทองนั่น ”
เมื่อสือเพ่ยหลินได้ฟังสิ่งที่สือมูเฉินหมายถึง ก็เข้าใจเลยว่าสือมูเฉินให้เขาใช้เงินตัวเองในการประมูล
และตอนนี้ Times Group ก็ตกไปอยู่ในมือของสือมูเฉิน แล้วยังให้จะเขาจ่ายค่าตั๋วเข้างานประมูลแพงๆอีกด้วย……
แต่ทว่า สือเพ่ยหลินก็ไม่รู้ว่าคำพูดของสือมูเฉินนั้นถูกหรือไหม เขาไม่กล้าเอาชีวิตของตัวเองมาเสี่ยงอันตราย แต่ก็ไม่มีทางเลือก ทำได้แค่รับปาก
ในตอนบ่าย สือมูเฉินไปหาเพื่อนเพื่อที่จะซื้อตั๋วสำหรับคืนนี้ หลานเสี่ยวนอนหลับอยู่ที่โรงแรมสักพัก พอตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าเขายังไม่กลับมา ดังนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ แล้วก็ไปเดินที่สวนของหลังโรงแรม
นี่ก็ถือว่าเป็นครั้งที่เธอมาต่างประเทศ ฉะนั้นอันที่จริงแล้วหลานเสี่ยวถางในใจก็ค่อนข้างที่จะตื่นเต้นเล็กน้อย
ถึงสวนจะไม่ใหญ่ แต่ทว่ามันก็สวยสดงดงาม ฉะนั้นแล้วหลานเสี่ยวก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและยังถ่ายเซลฟี่ตัวเองอยู่สองสามรูป
ในขณะนั้น จู่ๆก็มีเงาคนโผล่เข้ามาในเลนส์กล้องของเธอ หลานเสี่ยวถางก็หันกลับไปและเห็นว่าสือเพ่ยหลินยืนอยู่ด้านหลังของเธอ
ด้วยสัญชาตญาณของเธอที่อยากจะเดินหนีไป แต่ทว่าสือเพ่ยหลินกลับจับข้อมือของเธอเอาไว้ จากนั้น เขาก็ออกแรงและผลักหลานเสี่ยวถางเข้าไปที่ผนังข้างสวนอย่างแรง
“ สือพ่ยหลิน นี่คุณจะทำอะไร ? ปล่อยฉันนะ !” หลานเสี่ยวถางต้องการที่จะดึงมือออก แต่ทว่าพละกำลังต่างกันมาก เธอไม่เพียงแต่ดึงมือไม่ออก แต่แขนยังถูกสือเพ่ยหลินยกขึ้นไว้บนเหนือศีรษะ ติดกับผนังด้านบน
เขาเอนตัวพิงเธอ นัยน์ตาสีเข้ม และเสียงที่แหบเล็กน้อย : “ เสี่ยวถาง อยู่กับฉันนะ ”
“ ไม่มีทาง !” หลานเสี่ยวถางจ้องไปที่ดวงตาของเขา : “ ในชีวิตนี้ฉันอยู่กับใครก็ได้ แต่ยังไงก็ไม่มีทางที่จะอยู่กับคุณ ! ยิ่งไปกว่านั้น ฉันแต่งงานแล้วด้วย คุณไม่ต้องเรียกฮฉันอาสะใภ้ก็ได้ แต่พื้นฐานการให้เกียรติ คุณควรที่จะต้องมี !”
“ เสี่ยวถาง คุณเกลียดผมขนาดนี้จริงๆเลยหรอ ?” สายตาของสือเพ่ยหลินเต็มไปด้วยความบาดเจ็บ
“ ฮ่าๆๆ จากอีกคนกลายเป็นอีกคน จะให้ฉันไม่เกลียดคุณอย่างนั้นหรอ ? ในตอนที่คุณกลับตัวกลับใจ แล้วก็รู้สึกซาบซึ้งใจและรีบกลับไปหาอยู่ข้างคุณอย่างนั้นเหรอ ? ” หลานเสี่ยวถางหัวเราะเยาะ : “สือเพ่ยหลิน หัวใจของฉันก็เป็นกล้ามเนื้อนะ ถึงแม้ว่าพ่อแม่แท้ๆของฉันจะไม่ได้อยู่ข้างฉันมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ ฉันก็เป็นคนนะ เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะรู้สึกเฉยๆกับความเจ็บปวดแบบนี้ ”
พอได้ยินหลานเสี่ยวถางพูด สือเพ่ยหลินก็รู้สึกคลุมเครือเล็กน้อย : “ ผมสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเอง หลังจากนี้ ผมไม่ทางที่จะทำร้ายคุณอีกแล้ว……”
“ ทำไมจู่ๆคุณถึงได้เปลี่ยนทัศนคติ ?”หลานเสี่ยวถางหรี่ตามองเขาแล้วก็ถามเจาะลึก : “ สือเพ่ยหลิน บนตัวฉัน ต้องมีของอะไรที่คุณสามารถจะใช้ประโยชน์จากมันได้ใช่ไหม ?”
การแสดงออกของสือเพ่ยหลินก็หยุดชะงักลง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริง แต่สิ่งที่เขาพูดในรอบนี้ มันก็ถือว่าเป็นเรื่องจริงที่คิดอยู่ในใจ เขาพูดเปลี่ยนเรื่อง : “ เสี่ยวถาง เพราะอะไรผมแค่บอกว่าอยากให้คุณกลับมา ก็ต้องมีเจตนาอย่างอื่น แต่พอคุณอาแต่งงานกับคุณ คุณก็กลับเชื่อใจเขาขนาดนั้น ?”
“ คุณอยากรู้จริงๆหรอว่าเพราะอะไร ?” หลานเสี่ยวจ้องไปที่ตาของเขา : “ คุณปล่อยฉันก่อนสิ ฉันสงบจิตสงบใจบอกให้คุณ ”
สือเพ่ยหลินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และก็ปล่อยเธอ
หลานเสี่ยวถางพูด : “ รู้ไหมว่าพวกคุณต่างกันยังไง ? วันที่ฉันหย่ากับคุณในวันเดียวกันนั้น มีผู้หญิงคนหนึ่งสารภาพรักกับเขาต่อหน้าฉัน แต่เขาปฏิเสธในทันที โดยที่ไม่ไปไหนเลย หลังจากที่ฉันแต่งงานกับเขา เขาก็ให้โรงเรียนสอนขับรถมาสอนฉัน จ้างครูสอนซอร์ฟแวร์ให้ฉัน ให้ความมั่นใจและแนวโน้มกับฉัน และยังสอนวิธีการยืนหยัดด้วยกำลังของตัวเอง ”
“ หลายเดือนที่พวกเราอยู่ด้วยกันมา พอฉันตกอยู่ในอันตราย มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่จะรีบมา ถึงแม้ว่าเขามาแล้ว ก็อาจจะทำให้เขาเสียผลประโยชน์อะไรไป แต่ เขากลับพูดว่าการที่ปกป้องฉันมันคือความรับผิดชอบของเขา ”
ในขณะที่พูด หลานเสี่ยวถางเงยหน้าขึ้นมาจ้องไปที่สือเพ่ยหลินและพูดทีละคำทีละประโยค : “ หลังจากที่ฉันแต่งงานกับเขา นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เข้าใจถึงความรู้สึกสามีภรรยาที่ช่วยกันประคองซึ่งกันและกัน เป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกว่าได้ถูกปกป้องดูแล เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าการแต่งงานมันมีความสุขขนาดนี้ !”
พอสือเพ่ยหลิยได้ฟังสิ่งที่เธอพูดแล้ว ร่างกายของเขาก็สั่นขึ้นมาเล็กน้อย
หลานเสี่ยวถางยังพูดต่ออีกว่า : “ ดังนั้น ถึงแม้เขาจะแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างก็ตาม ยังไงฉันก็ซาบซึ้งใจที่ยังเต็มใจที่จะอยู่กับฉันต่อไป ”
วันนี้ หลังจากที่เธอหย่ากับสือเพ่ยหลิน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เธอได้พูดคุยกันอย่างสงบจิตสงบใจแบบนี้ หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าหลังจากที่พูดจบ เดิมทีความกลัดกลุ้มที่อัดแน่นอยู่ในใจพวกนั้นก็หายไปไม่ใช่น้อย
“ ดังนั้นอย่ามาบอกให้ฉันหันหลังกลับ และไม่ต้องพูดนะว่าฉันเจอกับมูเฉิน ถึงแม้ต่อให้ฉันจะไม่ได้เจอกับเขา ฉันก็ไม่มีทางที่หันหลังกลับ ” เธอมองสือเพ่ยหลินอย่างเยือกเย็น : “ หลังจากนี้ อย่างมาพูดเรื่องแบบนี้ต่อหน้าฉันอีก เพราะว่า ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณอีกต่อไปแล้ว ”
“เพราะฉะนั้น คุณกับผมในเมื่อก่อน……” สือเพ่ยหลินไม่กล้าที่จะคิดต่อไป แล้วเขาก็ถอยหลังออกมาสองสามก้าว : “ มีความรู้สึกอะไรไหม ?”
หลานเสี่ยวถางหัวเราะ : “ ฮ่าๆๆ ถ้าเกิดว่าไม่มี ฉันจะเต็มใจแต่งงานอย่างนั้นหรอ ? ถึงแม้ว่าพ่อแม่บุญธรรมของฉันจะรับสินสอดไปแล้ว แต่คุณเคยฉันไม่เต็มใจมาก่อนอย่างนั้นหรอ ? เมื่อ 2 ปีก่อน ฉันรู้ว่าคุณไม่ยินยอม แต่ว่าคุณลองมองย้อนกลับไปคิดดู ว่าฉันปฏิบัติยังไงต่อคุณบ้าง ? หรือว่าสิ่งที่ทุ่มเทไปทั้งหมดนั้น ล้วนเข้าใจว่าที่ฉันทำไปก็เพื่อเงินของคุณ ?”
เธอมองสือเพ่ยหลินด้วยใบหน้าที่อยู่ยิ่งอยู่ยิ่งซีดและถอนหายใจ : “ ถ้าเกิดว่าเพื่อเงินจริงๆแล้วละก็ สำหรับฉันแล้วหลังจากที่หย่ากับคุณ แม้แต่บ้านก็คงเช่าไม่ได้ ? คุณย่าของฉันป่วย ในบัตรเครดิตฉันทั้งหมดมีเงินแค่ 3,000 กว่าฉันจ่ายไปแล้วหนึ่งครึ่ง ที่เหลือก็ทำได้แค่ต้องประหยัดเท่านั้น ถ้าไม่มีมูเฉิน ฉันก็คงทำได้แค่นอนอยู่ข้างถนน…… ”
“ ฉันที่จบมาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง แต่ไม่ได้ทำงานเลย 2 ปี สิ่งที่เรียนมาก็แทบจะลืมหมดแล้ว ในสถานการณ์แบบนั้น ฉันที่แม้แต่จะเลี้ยงตัวเองก็ไม่รอด คุณเคยคิดบ้างไหมว่าฉันจะมีทางเลือกบ้างหรือเปล่า ?” หลานเสี่ยวถางพูด : “ ถึงอย่างไรเวลาก็เป็นเครื่องพิสูจน์ ว่าเส้นทางที่จะเลือกในตอนนั้นมันถูก !”
“ ผมไม่รู้เลยจริงๆว่าคุณไม่มีเงิน ผมในตอนนั้นก็แค่……” สือเพ่ยหลินส่ายหัว : “ เสี่ยวถาง ผมขอโทษ ถ้าเกิดว่าผมรู้ ผมแน่ใจเลยว่าไม่มีทางที่ผมจะไม่ให้อะไรกับคุณ ไม่ ผมไม่ควรหย่ากับคุณ……”
“ ตอนนี้มันจบลงแล้ว และฉันก็ผ่านมันมาได้ด้วยดี เรื่องที่ผ่านมา ก็ให้มันจบลงที่นี่ !” หลานเสี่ยวถาง : “ วันนี้ถือว่าพวกเราได้คุยกันอย่างชัดเจนแล้ว หลังจากนี้ มันก็จะเป็นเพียงแค่อดีตที่ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แต่วันนั้นที่คุณผลักฉันและนั่นมันทำให้ฉันเกือบถูกรถชนตาย ฉันยังคงจำมันได้ และเรื่องที่ฉันเคยพูดกับคุณหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้น ฉันยังจำมันได้ คุณก็ภาวนาให้มันไม่มีวันนั้นแล้วกัน !”
“ ถ้าเกิดว่ามีวันนั้นขึ้นมาจริงๆแล้วละก็ คุณที่เห็นคนกำลังจะตายจะไม่ช่วยหรอ ?” สือเพ่ยหลินจ้องตาไม่กระพริบไปที่หลานเสี่ยวถาง
“ มันก็อาจเป็นไปได้ ” หลานเสี่ยวถางยกมุมปากขึ้น : “ เพราะฉันพบว่า บนโลกใบนี้ คนดีมักจะถูกรังแก คนเรา ก็ต้องชั่วสักหน่อยถึงจะดี ”
ในขณะที่พูด เธอก็หันหลังแล้วเดินออกไป
สือเพ่ยหลินมองเธอเดินจากไปและภาพด้านหลังของหายไปจากสายตา และไม่ได้ขยับเลยเป็นเวลาสักพัก
เมื่อกี้ เธอเป็นคนพูดเองกับเขาว่า เธอเคยมีความรู้สึกกับเขามาก่อน……
เป็นเขา ที่ทำความรักอันบริสุทธิ์นั้นพลาดเองกับมือ และมาในตอนนี้ที่สูญเสียมันไป แต่ก็รู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่เขาควรที่จะเห็นคุณค่ามากที่สุด……
ท้องฟ้าก็ค่อยๆเริ่มมืดลง ขณะที่สือเพ่ยหลินยังก็คงอยู่ที่สวน จนกระทั่งสือมูเฉินโทรมาและบอกให้เขาไปเข้าร่วมงานประมูล
งานประมูลในครั้งนี้ ถูกจัดโดยเศรษฐีลึกลับท่านหนึ่งในฟลอริดา สือมูเฉินหยิบตั๋วเข้างานมา 3 ใบ จากนั้นก็จับมือหลานเสี่ยวถางและเดินเข้าไปในสถานที่ประมุล
นี่คือคฤหาสน์ส่วนตัวที่ตั้งอยู่ในเมืองชายฝั่งทางตอนใต้ของฟลอริดา ในคฤหาสน์ มีทะเลสาบขนาดเล็ก และยังมีปราสาทบรรยากาศหรูหราอยู่สองแห่ง
และงานประมูลในครั้งนี้ มันถูกจัดขึ้นในปราสาทแห่งหนึ่งที่เปิดให้ผู้คนเข้ามาได้
นี่เป็นครั้งแรกที่หลานเสี่ยวถางมาในที่แบบนี้ รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย โชคดีที่สือมูเฉินจับมือเธอเอาไว้ ทั้งสามยื่นตั๋วเข้างาน และในไม่ช้า พนักงานก็ให้บัตรห้องพักส่วนตัวแก่พวกเขา
พวกเขารับคีย์การ์ดมาและเปิดเข้าไปที่ห้องส่วนตัว แม้ว่าจะเป็นไปตามคาด แต่ถึงอย่างไรก็ตามหลานเสี่ยวถางก็ตกใจเล็กน้อยกับการตกแต่งภายในห้อง
ที่พื้นปูด้วยพรมที่ทอมือเนื้อนุ่มสวยงาม ในห้อง มีเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นทองทั้งหมด บนผนัง ยังมีภาพสีน้ำมันจากศิลปะวรรณคดี
ทั้งสามคนนั่งลงบนโซฟาหนัง ในไม่ช้า ก็มีพนักงานเข้ามาถามพวกเขาว่าอยากดื่มอะไรไหม
ในอีกไม่นาน งานประมูลก็จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว รูปก็เหมือนกับงานประมูลทั่วไป ง่ายมาก กฎก็คือการเพิ่มขึ้นในแต่ละครั้งต้องไม่ต่ำกว่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ
เลขห้องของสือมูเฉินก็คือ 217 ดังนั้น หากต้องการเพิ่มราคาในแต่ละครั้ง ก็ให้กดอุปกรณ์ที่อยู่บนโต๊ะและกดเลขที่ต้องการเพิ่ม ข้อมูลที่เกี่ยวข้องก็จะถูกส่งแบบไร้สายและส่งไปยังหน้าจอขนาดใหญ่ในสถานที่จัดงาน
และขณะที่พวกเขานั่งอยู่ในห้องส่วนตัว ก็ยังสามารถมองจากหน้าต่างที่สูงหรือว่าหน้าจอขนาดใหญ่ในห้อง ดูภาพเหตุการณ์ที่อยู่ด้านนอก ของที่นำมาประมูลทุกชิ้น ก็แนะนำและฉายอยู่บนจออีเลคโทรนิคส์ และยังสามารถเห็นได้จากในเมนู
พูดได้เลยว่า เป็นการป้องกันความเป็นส่วนตัวได้อย่างดี แล้วก็โปร่งใสมากเช่นกัน
เหตุผลที่ทั้งสามคนมาในวันนี้ก็เพื่อแหวนวงนั้น ดังนั้น สือมูเฉินจึงเลือกหน้าจอที่แนะนำของที่ประมูลก่อน
ภาพที่ซูมเข้าไป และทันใดนั้น โลโก้พิเศษที่อยู่บนวงแหวนก็ปรากฏขึ้น
หลานเสี่ยวถางถึงกับตาค้าง จริงๆแล้วมันเหมือนกับต่างหูที่อยู่ที่บ้านของเธอ ที่สลักด้วยดอกกล้วยไม้ที่เป็นงานฝีมือละเอียดอย่างงดงาม
หัวใจเธออดไม่ได้ที่จะเต้นเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง เธอจะสามารถเข้าไปในสำนักงานของแบรนด์ออเนอร์ได้หรือเปล่า แล้วก็ยังเห็นผู้อาวุโสผู้หญิงที่คล้ายกับเธอมาก ?
อารมณ์ก็เริ่มแปรปรวน และของที่ประมูลชิ้นแรกก็ได้ถูกซื้อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เพราะว่าทุกคนส่วนใหญ่ก็ต่างมีเป้าหมาย ดังนั้น ต่อมาของที่ประมูลชิ้นต่อไปก็ไม่ผ่านการประมูล และการซื้อขายก็เป็นไปด้วยความรวดเร็วเช่นกัน
ณ ตอนนี้ ทำได้แค่ฟังพิธีกรเท่านั้น : “ ของประมูลชิ้นต่อไปเป็นแหวนทองคำ ราคาเริ่มต้น 10,000 เหรียญสหรัฐ ”
เป็นการแนะนำอย่างเรียบง่าย แล้วก็ไม่ได้เน้นย้ำประวัติความเป็นมา และอีกอย่างราคาก็ต่ำมาก
แต่ทว่า ทุกคนที่มาก็เพื่อของชิ้นนี้ เมื่อพวกเขาเห็นโลโก้ดอกกล้วยไม้นี้ ต่างก็นั่งอย่างตัวตรงและรออย่างจริงจัง