ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 113 ความหลงใหลที่ข้ามผ่านกาลเวลา
หลานเสี่ยวถางพูดจบ หลังจากนั้นก็เริ่มวางแผนว่าจะใช้คฤหาสน์หลังใหญ่เช่นนี้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร
เดิมทีเธอไม่ได้รู้ตัวด้วยซ้ำ ตนเองคิดว่าไวน์เป็นเครื่องดื่ม กระทั่งหลังจากนั้น เธอรู้สึกว่าแขนขาไม่สามารถควบคุมได้ และสือมูเฉินที่อยู่ตรงข้ามก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นภาพเบลอๆ……
“เสี่ยวถาง นี่คุณเมาแล้วเหรอ?” สือมูเฉินเห็นหลานเสี่ยวถางตาปรือ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“เหมือนจะนิดหน่อยนะ……” หลานเสี่ยวถางพูดจบ สายตาก็มองไปรอบๆ
เปลวเทียนที่พลิ้วไหว แสงสะท้อนที่สลัวๆในทะเลสาบ ยังมีแสงจันทร์ที่เจิดจ้าบนท้องฟ้า……
มุมปากของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม : “มูเฉิน ที่นี่สวยจริงๆเลย ฉันชอบมากเลยค่ะ……”
“อย่างนั้นก็วางแผนจัดการงานให้ดีๆ คุณอยากจะจัดตั้งทีมเขียนโปรแกรมที่นี่ก็ได้เลยนะ” แล้วสือมูเฉินก็พูดต่อว่า : “ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นของคุณ คุณจัดการได้ตามสบายเลยครับ”
“ดีจริงๆเลย ฉันจะจัดการให้ดีเลยค่ะ!” หลานเสี่ยวถางพูดจบ ก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง
เพียงแต่ภายใต้ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ทำให้เธอที่เพิ่งจะลุกขึ้นยืน ก็รู้สึกเวียนศีรษะอย่างฉับพลัน ร่างกายเสียสมดุลจนกำลังจะล้มลงไป
สือมูเฉินลุกขึ้นยืนอย่างทันท่วงที ยื่นมือออกไปโอบกอดแล้วนำหลานเสี่ยวถางมาไว้ในอ้อมกอด
เธอแนบชิดอยู่บนตัวของเขา แล้วยิ้มแหยๆให้เขา : “มูเฉิน คุณดีจริงๆเลย!”
“อืม ฉะนั้น?” สือมูเฉินก้มมามองเธอ ในแววตาเป็นหลานเสี่ยวถางและเปลวเทียนที่พลิ้วไหวอยู่รอบๆ
“ฉะนั้นฉันจึงรู้สึกมีความสุขมากที่ได้อยู่ด้วยกันกับคุณ!” คำพูดเช่นนี้ ก่อนหน้านี้หลานเสี่ยวถางเพียงแค่จดจำไว้ในใจ แต่เพราะว่าวันนี้ดื่มมากไปหน่อย บวกกับจิตใจที่ตื่นเต้นหวั่นไหว ก็เลยพูดแบบนี้ออกมา
สือมูเฉินตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาเข้าไปใกล้ๆเธอ แล้วพูดยั่วยวนว่า : “นั่นไม่ใช่เพราะตกหลุมรักฉันหรอกเหรอ?”
หลานเสี่ยวถางอยากจะพยักหน้า แต่ดวงตาก็ถูกดึงดูดโดยริมฝีปากที่ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยของสือมูเฉิน ราวกับถูกมัวเมาให้ลุ่มหลง หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้น จากนั้นจึงค่อยๆโน้มเข้าไปใกล้ๆทีละนิดๆ
สือมูเฉินหลุบตาลง มองดูหลานเสี่ยวถางที่เงยหน้าขึ้นจูบบนริมฝีปากของเขา
เพราะเธอเตี้ยกว่าเขามาก อีกทั้งร่างกายที่อ่อนแรง จูบแบบนี้จึงดูยากลำบาก ดังนั้นเธอสัมผัสเพียงเล็กน้อยก็ต้องการจะผละออก
ในขณะที่ริมฝีปากของหลานเสี่ยวถางกำลังจะผละออก สือมูเฉินก็จับเอวของเธอไว้แน่น ยกเธอขึ้นมาเล็กน้อยแล้วกดลงไปที่ริมฝีปากของเธอ
เพราะดื่มไวน์เข้าไป นอกจากรสชาติหวานละมุนที่คุ้นเคยระหว่างริมฝีปากและฟันแล้ว ยังมีกลิ่นของไวน์ที่ค่อยๆกระจายอยู่ในลมหายใจ ด้วยรสชาติที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แววตาของสือมูเฉินลึกซึ้งขึ้น เขาหลับตาลงแล้วจูบอย่างดูดดื่ม
หลานเสี่ยวถางรู้สึกแค่ว่าการสัมผัสที่ริมฝีปากนั้นนุ่มนวลและมีแรงกด เธอถูกบังคับให้อ้าปากเล็กน้อย ในชั่วขณะก็ถูกสือมูเฉินรุกล้ำเข้าไปในโลกของเธอ
เธอถูกเขารัดไว้แน่นมากจนสามารถสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจของกันและกัน ในทิวทัศน์ที่สวยงามของทะเลสาบและภูเขา ก่อให้เกิดเสียงสะท้อนอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
รูขุมขนของเธอเปิดออก แขนของเธอยกขึ้นไปโอบกอดรอบคอของสือมูเฉินไว้แน่น แหงนหน้าขึ้นแล้วเริ่มนัวเนียเขาด้วยตนเอง
ฝ่ามือของเขาเคลื่อนย้ายไปตามแผ่นหลังของเธอ และทุกๆที่ที่เขาเคลื่อนผ่านก็เหมือนนำพากระแสไฟฟ้าไปด้วย
ลมหายใจที่ปรวนแปรมากยิ่งขึ้น พวกเขาจึงกำลังแย่งชิงอากาศเพียงเล็กน้อยระหว่างตารางนิ้วนั้น
แอลกอฮอล์เร่งกระตุ้นความปรารถนาในเลือด จนแผดเผากลายเป็นอุณหภูมิที่ร้อนแรงทีละนิดๆ
สือมูเฉินโอบกอดหลานเสี่ยวถาง จูบเธอไปพลาง เดินไปทางคฤหาสน์ด้วย
เพียงแต่เดินไปถึงเสาหินอ่อนสีขาวด้านล่างคฤหาสน์ มือของเขาก็เลื่อนเข้าไปในเสื้อที่รุ่งริ่งของเธอ จากนั้นร่างกายของคนทั้งสองก็สั่นสะท้านไปหมด
ที่ด้านหลังหลานเสี่ยวถาง เป็นเสาหินอ่อนสีขาวสูงห้าเมตร ด้านบนมีภาพแกะสลักนูนต่ำสไตล์อังกฤษสมัยศตวรรษที่ 19
ด้านหลังของเธอถูกกดอยู่บนภาพแกะสลักนูนต่ำ ผมยาวสยายที่พลิ้วไหวตามสายลมไปพัลวันอยู่กับเสาหินอ่อน
ที่ด้านหลังรู้สึกได้ถึงการเสียดสี เธอจึงร้องออกมาเบาๆ เขาผ่อนคลายให้เธอเล็กน้อย แต่ก็ฉวยโอกาสถลกกระโปรงเธอขึ้น
เธอตกใจมองไปที่เขาด้วยแววตาพร่าเลือน
เขาเข้ามาใกล้ๆแล้วจูบไปที่ดวงตาของเธอ เธอถูกบังคับให้หลับตาแล้วถูกเขาเข้ามาพัลวันอีกครั้ง
จนกระทั่งเมื่อเขาเข้าไป เธอจึงลืมตามองไปที่ปราสาทสีฟ้าขาวที่อยู่ตรงหน้า ตระหนักได้ถึงความละอาย คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะยังอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าคฤหาสน์
เธอเอื้อมมือออกไปทางด้านหลัง เริ่มสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกแต่เรียบลื่น นำพาไปด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์และศิลปะที่ถาโถมเข้ามา
หลานเสี่ยวถางอดไม่ได้ที่จะกระซิบเบาๆว่า : “อย่ามูเฉิน เราทำอย่างนี้ความบริสุทธิ์ของศิลปะจะด่างพร้อยได้นะ……”
เขาเอามือลูบผมของเธอ เมื่อเห็นว่าเธอติดอยู่ระหว่างเขากับเสาหินอ่อน ก็เอ่ยด้วยเสียงทุ้มๆที่น่าดึงดูดใจผสมกับความแหบพร่า : “เสี่ยวถาง คุณไม่รู้เหรอ ภาพยนตร์ศิลปะและวรรณกรรมฝรั่งเศสในหลายๆเรื่อง ในนั้นก็มีฉากเหมือนกับเรา……”
จู่ๆเธอก็นึกขึ้นได้ว่าตอนอยู่มหาวิทยาลัยก็เคยดูหนังฝรั่งเศสหลายเรื่อง แม้ว่าจะไม่มีฉากจุกโผล่ แต่มันทำให้เธอเข้าใจเรื่องเพศศึกษาได้มากขึ้นจริงๆ
แก้มของหลานเสี่ยวถางแดงก่ำ หัวใจเต้นเร็วขึ้น : “ทำไมทุกๆครั้งของเราถึงรู้สึกเหมือนว่ากำลังแอบเล่นชู้กันอยู่เลยล่ะ?”
สือมูเฉินยกยิ้มมุมปาก ยืดอกขึ้น : “แล้วชอบไหมล่ะ?”
เธอถูกความนูนของภาพแกะสลักด้านหลังทำให้เจ็บปวดเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาเบาๆ : “โอ๊ยเจ็บ……”
สือมูเฉินมองแก้มที่แดงระเรื่อของหลานเสี่ยวถาง แล้วกวาดสายตาไปมองกระจกสีด้านบนของคฤหาสน์
เวลานี้ ภายใต้แสงจันทร์ กระจกที่เดิมทีสีใสแวววาวก็เปลี่ยนเป็นสลัวเล็กน้อย มองเห็นดวงดาวในระยะไกลด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง
เขาโอบกอดเธอ ดวงตายิ่งลึกซึ้งมากขึ้น: “อย่างนั้นพวกเราขึ้นไปข้างบนกันเถอะ”
พูดพลาง สือมูเฉินก็อุ้มหลานเสี่ยวถางเข้าไปในคฤหาสน์จริงๆ แต่เสื้อผ้าของพวกเขา ก็กระจัดกระจายอยู่หน้าประตูคฤหาสน์แบบนั้น
“ในนี้เป็นอย่างไร?” สือมูเฉินมองเชิงเทียนที่ทอแสงสาดส่องอยู่ข้างๆกาย แล้วก็ภาพวาดที่มีสีสันบนผนังที่อยู่ตรงหน้า
หลานเสี่ยวถางโอบคอของสือมูเฉิน: “ตามใจคุณค่ะ”
สือมูเฉินยกยิ้มมุมปาก ดูเหมือนว่า เพียงแค่ดื่มไวน์เข้าไป หญิงสาวตัวน้อยของเขาก็สามารถปลดปล่อยออกมาได้ไม่น้อยเลย!
เขาก้มหน้าลงไปจูบเธอ แล้วนำเธอวางลงบนโต๊ะไม้ชิงชันอินเดีย กลิ่นของเหล้าที่ผสมผสานกับกลิ่นของไม้กระตุ้นระบบประสาทอย่างต่อเนื่อง สือมูเฉินจับหลานเสี่ยวถางไว้แน่น และกดลงไปอย่างลึกซึ้ง
หลานเสี่ยวถางเงยหน้าขึ้น ในสายตาของเธอเต็มไปด้วยภาพสลักนูนที่งดงามบนฟ้าเพดาน แล้วก็กระดิ่งลมที่บนมุมห้องทั้งสี่
พอดีที่เวลานี้ มีลมพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ ทันใดนั้น กระดิ่งลมก็มีเสียงตัวโน้ตขึ้นมาเบาๆ
สัมผัสทั้งห้าคล้ายกับถูกห้อมล้อมไปด้วยความเร่าร้อนของสือมูเฉิน จิตใจของหลานเสี่ยวถางเป็นอิสระ ทำได้เพียงเหนี่ยวเกาะเขาเอาไว้ ปล่อยให้เขาพาเธอปีนขึ้นเขาสูงครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างต่อเนื่อง
เวลาผ่านไป คาดไม่ถึงว่าเขาจะเปลี่ยนสถานที่อีก
เมื่อประตูถูกเปิดออก บรรยากาศทางวิชาการคล้ายกับวิ่งข้ามผ่านช่วงเวลา ปะทะเข้ากับสัมผัสทั้งห้าของคนทั้งสอง
ในนี้เคยเป็นห้องสมุด มีชั้นวางหนังสือสูง กระทั่งตำแหน่งบนสุดจำเป็นต้องปีนบันไดไม้ยาวขึ้นไป
เพียงแต่ หนังสือที่เก็บสะสมไว้ถูกย้ายออกไปแล้ว เหลือเพียงชั้นวางหนังสือที่สูงเกือบถึงยอด เป็นบรรยากาศที่เคยมีคุณค่าในอดีต
ด้านบนศีรษะ เป็นหลังคารูปโดมกระจกหลากหลายสีสัน หลานเสี่ยวถางสามารถจินตนาการได้ว่า ถ้าเป็นตอนกลางวัน แสงอาทิตย์จะสามารถสาดส่องลงมาจากด้านบน ภายในห้องสมุด ที่เดิมทีมีบรรยากาศที่รู้สึกกดดันจะคลี่คลายลง และจะไม่ทำให้คนรู้สึกอึดอัดใจอย่างแน่นอน
ตลอดทั้งคืน หลานเสี่ยวถางรู้สึกเพียงว่าพวกเขาเหมือนกับเปลี่ยนสถานที่ไปหลายแห่งอย่างมาก เซลล์ของเธอส่งเสียงโห่ร้องกระโดดโลดเต้นอย่างบ้าคลั่ง
จนเธอก็ลืมที่จะเก็บอาการ และตอบรับสือมูเฉินอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุด เมื่อเธอถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ก็อิงแอบในอ้อมกอดของเขาแล้วหลับไป
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น มีแสงสลัวสาดส่องเข้ามาจากด้านหลังของผ้าม่านสีทองเข้ม หลานเสี่ยวถางบิดขี้เกียจอย่างสะลึมสะลือ พอลืมตา ก็พบว่าสือมูเฉินยังคงอยู่ข้างๆเธอ
เขายิ้มให้เธอเล็กน้อย: “เสี่ยวถาง อรุณสวัสดิ์!”
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ!” หลานเสี่ยวถางเคลื่อนย้ายสายตา ค่อยๆนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างในความทรงจำเมื่อคืน เธออดไม่ได้ที่จะมองไปในห้อง พบว่า พวกเขาไม่ได้นอนหลับไปในสถานที่ที่ไม่สมควรนอน
ในนี้ น่าจะเป็นห้องนอนของคฤหาสน์หลังนี้
ด้านบนพื้นปูด้วยพรมหนาๆสีน้ำเงิน ผนังกำแพงเป็นสีฟ้าอ่อน บนผนังมีภาพสามมิติ ด้านบน มีโคมระย้าคริสทัลอันวิจิตรห้อยลงมา บริเวณโดยรอบ มีเฟอร์นิเจอร์ไม้สีขาว ทำให้ในห้องที่สีสันสดใสดูซอฟต์และสะอาดขึ้นอย่างมาก
เธอกะพริบตา: “สวยจัง…..” อีกทั้ง เตียงก็ยังนุ่มด้วย
สือมูเฉินโอบเอวของเธอ แล้วนำเธอมาไว้ในอ้อมกอด: “วันนี้ไม่มีธุระอะไร พวกเรานอนต่อกันอีกสักพักเถอะ…..”
เมื่อคืน เขากระทำครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ครึ่งค่อนคืน ไม่แปลกที่เขาผู้ซึ่งยากที่จะนอนตื่นสาย เช้าตรู่จึงตื่นขึ้นมาไม่ไหว…..
หลานเสี่ยวถางที่อยู่ในอ้อมกอดของสือมูเฉินกล่าวว่า: “อืม ฉันก็ยังง่วงอยู่เหมือนกัน”
เมื่อก่อน น้อยมากที่หลานเสี่ยวถางจะตื่นแล้วนอนต่อ ปกติพอตื่นแล้ว ถึงแม้จะยังง่วงอยู่เล็กน้อย ก็จะนอนไม่หลับแล้ว
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร บางทีอาจจะเป็นผลจากกลิ่นอายระหว่างชายหญิง เพียงแค่สือมูเฉินอยู่ข้างๆ เธอที่ไม่ง่วงนอน เมื่อหลับตาอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดเขาสักครู่หนึ่ง กลับรู้สึกง่วงขึ้นมาจริงๆ แล้วจากนั้นก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว
คนทั้งสองถูกเสียงโทรศัพท์ปลุกให้ตื่น
สือมูเฉินได้ยินเสียงมือถือรางๆ คล้ายกับว่าดังมาจากชั้นล่าง ทันใดเขาก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อคืนดุเดือดเกินไป เหมือนกับว่ามือถือของเขาและหลานเสี่ยวถางจะถูกทิ้งเอาไว้ชั้นล่าง
เสียงเรียกเข้าดังไม่หยุดหย่อน สือมูเฉินจึงขมวดคิ้ว แล้วกล่าวกับหลานเสี่ยวถางว่า: “เสี่ยวถาง ฉันไปหามือถือก่อนนะ น่าจะอยู่ที่เสาหินอ่อนด้านล่าง”
เขาพูดพลาง เปิดผ้าห่มบางๆออก กวาดสายตามอง พบว่าภายในห้องนอนไม่มีเสื้อผ้าของเขาโดยสิ้นเชิง แม้กระทั่งรองเท้าก็ไม่รู้ว่าเอาไปทิ้งไว้ที่ไหน
สือมูเฉินอดไม่ได้ที่จะโน้มตัวลงมา มือทั้งสองค้ำที่ขอบเตียง ก้มหน้าลงไปใกล้ใบหูของหลานเสี่ยวถาง ปลายลิ้นม้วนวนที่ติ่งหูของเธอ กล่าวอย่างแฝงไปด้วยความมันเขี้ยวว่า: “ยายจิ้งจอกน้อย”
พูดจบ เขาก็ยืดตัวตรง หาผ้าคลุมปลอกหมอนผืนหนึ่ง มาพันเอวตนเองเอาไว้แก้ขัด เพื่อไม่ให้เดินออกไปอย่างเปลือยเปล่า
หลานเสี่ยวถางรู้สึกขำ เมื่อสือมูเฉินเดินออกจากห้องไป ก็ลุกขึ้นตาม เมื่อก้มหน้ามองไปยังร่างกายของตนเองที่เต็มไปด้วยรอยจูบแล้ว แก้มก็แดงระเรื่อเล็กน้อย จากนั้นจึงไปเปิดผ้าม่านในห้องนอน
ด้วยเหตุนี้ แสงอาทิตย์อันเจิดจ้าจึงสาดส่องเข้ามา แสงสีสันสวยงามที่อยู่ตรงหน้า สะท้อนหักเหราวกับลายเส้นของเปียโน
หลานเสี่ยวถางยืนอยู่ตรงหน้าต่างที่สูงจรดพื้น อย่างรวดเร็วก็เห็นสือมู่เฉินเดินออกมา
ในแสงอาทิตย์ ผิวสีน้ำผึ้งเล็กน้อยของเขาดูเปล่งประกายขึ้น ลายเส้นกล้ามเนื้อที่งดงาม ดูมีกำลังแต่ไม่โอเวอร์จนเกินไป ขาทั้งคู่ที่เรียวยาว มองดูแล้วคล้ายกับภาพวาดสามมิติที่อยู่บนหน้าปกนิตยสาร
สือมูเฉินก้มลงเก็บเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมา มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นอีกครั้ง เขาจึงกดรับสาย ได้ยินสือเพ่ยหลินกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า: “คุณอา ทางด้านนั้นตอบกลับมาแล้ว บอกว่ามียาชนิดนี้อยู่จริงๆ แต่ว่า จะเสนอให้ใช้เฉพาะแบรนด์ออเนอร์ ไม่ได้ขายสู่ภายนอก”
นึกถึงประโยคที่ทอดถอนใจของคุณยายหลัวซือเมื่อวาน สือมูเฉินก็หรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วมองไปยังหลานเสี่ยวถาง