ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 120 ฮันนีมูน หรือว่าลักลอบหลบหนี
ทั้งสามคนเดินเข้าประตูบ้านไปพร้อมกัน จู่ ๆ หลานเสี่ยวถางก็พึ่งค้นพบอะไรขึ้นมาได้ ว่าที่ผ่านมาตนเองนั้นประมาทมากเกินไปแล้วจริง ๆ
แต่ทว่ายังดีที่สือมูเฉินให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่เธอมาโดยตลอด มิฉะนั้นแล้ว ในช่วงเวลาอันแสนสั้นแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้อีก
บนโต๊ะอาหาร ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่ โทรศัพท์มือถือของสือมูเฉินก็ดังขึ้นมาแล้ว เขากดรับสาย หลังจากที่พูดคุยเสร็จแล้ว วางโทรศัพท์มือถือลงก่อนจะหันไปเอ่ยกับหลานเล่อซินว่า “เล่อซิน พรุ่งนี้คุณตรวจสอบดูบัตรเครดิตของคุณดูเสียหน่อย ฝ่ายบุคคลฝั่งนั้นพวกเขาคงโอนเงินเดือนล่วงหน้าของเดือนนี้ให้คุณไปแล้ว”
หลานเล่อซินได้ยินดังนั้น สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ฉันถูกไล่ออกแล้วหรือคะ?”
สือมูเฉินเอ่ย “ไม่ใช่ครับ ผมก็เพียงแค่บอกกล่าวสถานการณ์ของคุณให้ฝ่ายบุคคลฟังเท่านั้นเอง บอกว่าจำเป็นที่จะต้องทำเรื่องขอเบิกเงินก่อนล่วงหน้า ดังนั้นแล้ว พวกเขาก็เลยส่งเรื่องไปยังฝ่ายบัญชีก่อนแล้ว พรุ่งนี้เช้าคงจะโอนเงินให้คุณ”
หลานเสี่ยวถางนึกถึงคำพูดของหลานเล่อซินที่เคยเอ่ยขึ้นก่อนหน้านี้ ขอเพียงแค่ให้ได้รับเงินเดือนก็จะย้ายออกไปแล้ว ดังนั้น……
เธออดที่จะหันไปมองสือมูเฉินไม่ได้ ก่อนจะเผยรอยยิ้มบางเบาออกมาครั้งหนึ่ง
หลานเล่อซินเองก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ก่อนจะรีบยิ้มอย่างตื่นเต้นแล้วเอ่ยว่า “มูเฉิน ขอบคุณนะคะ! พอดีเลย พรุ่งนี้ฉันได้รับเงินเดือนแล้ว ก็จะไปดูห้องเช่า รบกวนพวกคุณมาหลายวันแล้ว ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะ!”
สือมูเฉินไม่ได้เอ่ยอะไร นั่นจึงถือว่ายอมรับไปโดยปริยายแล้ว แต่ทว่าโจวเหวินซิ่วกลับวางตะเกียบลง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีความสุขว่า “เล่อซินจ๊ะ เธอบอกว่าจะออกไปเช่าห้องอะไรน่ะ? ฉันก็เห็นนะว่าห้องโยคะของสือมูเฉินทางฝั่งนี้ก็ยังมีอยู่ห้องหนึ่ง หรือไม่ ทำห้องแต่งหน้าให้เห็นห้องนอนก็ได้นี่ ย้ายอะไรกันล่ะ!”
“คุณป้าคะ ฉันก็เป็นเพียงแค่พี่สาวของเสี่ยวถางเท่านั้นเองนะคะ อาศัยอยู่ที่นี่ไม่เหมาะสมเท่าไหร่มั้งคะ” หลานเล่อซินเอ่ยขึ้นอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยไมตรีจิต “อีกทั้งเสี่ยวถางกับมูเฉินก็พึ่งจะแต่งงานกันด้วยนะคะ พึ่งพาอาศัยกันมานานแล้ว ฉันอาศัยอยู่ที่นี่ก็ไม่ค่อยสะดวกนัก”
“ไม่สะดวกตรงไหนหรือ? ดูจากที่เธอพูดออกมาแบบนี้แล้ว ฉันอาศัยอยู่ที่นี่ก็ไม่สะดวกงั้นหรือ?” โจวเหวินซิ่วเอ่ย “ถ้าไม่อย่างนั้น ฉันก็ย้ายออกไปพร้อมกับเธอดีกว่า!”
เธอพูดออกมาขนาดนี้แล้ว สือมูเฉินจึงอดที่จะเอ่ยปากขึ้นมาไม่ได้ “”แม่ครับ แม่พูดออกมานั่นคือคำจากที่ไหนกันน่ะครับ? แม่เป็นแม่ของผม ย่อมต้องอาศัยอยู่ที่นี่อยู่แล้ว แต่ทว่าเล่อซินนั้นมันไม่เหมือนกันนะครับ เธอยังไม่แต่งงาน หลังจากนี้ถ้าหากว่าจะคบหากับใครหรือจะพาผู้ชายกลับบ้านมา อาศัยอยู่ที่นี่ ก็ยังคงเป็นพวกเราที่รบกวนเธออยู่ดีนะครับ
สีหน้าของโจวเหวินซิ่วเข้มขึ้นเล็กน้อย แต่ทว่า ประโยคที่สือมูเฉินเอ่ยขึ้นมาก็มีเหตุผล ในช่วงเวลาหนึ่งเธอก็ไม่อาจโต้เถียงกลับไปได้เลย เพียงแค่เอ่ยขึ้นมาว่า “เล่อซินเป็นผู้หญิงอาศัยอยู่ตัวคนเดียว ยังไงก็ตามแต่ไม่ค่อยจะปลอดภัยมากนักหรอกนะ”
“คุณป้าคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ตอนที่อยู่ต่างประเทศ ฉันก็อาศัยเองอยู่คนเดียวไม่ใช่หรือคะ?” หลานเล่อซินยกยิ้ม “งั้นก็เอาตามนี้แล้วกันนะคะ! อีกอย่างฉันก็เพียงแค่ไปอาศัยอยู่เท่านั้นเองค่ะ ในตอนที่ฉันเลิกงานแล้ว ย่อมสามารถมาเยี่ยมคุณป้าได้บ่อย ๆ อยู่แล้วค่ะ!
โจวเหวินซิ่วได้ยินดังนั้นแล้ว ถึงยอมรับอย่างฝืนทน ก่อนจะถอนหายใจออกมา “เอาเถอะ เด็กอย่างเธอความคิดความอ่านเยอะนัก ฉันก็ไม่รู้จะพูดกับเธออย่างไรแล้วละนะ! มูเฉิน พรุ่งนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์พอดีเลย ลูกช่วยเล่อซินหาห้องสักห้องหนึ่งสิ เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ผู้หญิงตัวคนเดียว ถูกคนเช่าห้องรังแกเอาได้น่ะ!”
สือมูเฉินพยักหน้าขึ้นลง “ได้ครับ แม่ครับ แต่ว่าพรุ่งนี้ผมต้องออกไปทำงานนอกสถานที่ ผมจะให้เลขาธิการช่วยจัดการนะครับ แม่วางใจเถอะครับ!” พูดไป เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วไปหยิบนามบัตรใบหนึ่งมอบให้กับหลานเล่อซิน “เล่อซิน เขาจะช่วยเธอจัดการเอง ประเดี๋ยวผมจะโทรศัพท์ไปบอกเขาให้”
หลานเล่อซินยิ้มก่อนจะยื่นมือไปรับมา “ได้ค่ะ ต้องขอบคุณมูเฉินแล้วค่ะ!”
ตอนกลางคืน หลานเสี่ยวถางยังคงอ่านหนังสืออยู่ สือมูเฉินนั่งลงที่ด้านข้างของเธอก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “เสี่ยวถางครับ ไปจัดเก็บกระเป๋าเดินทางหน่อยครับไป พรุ่งนี้ออกไปข้างนอกกับผม”
หลานเสี่ยวถางอดที่จะเอ่ยถามอย่างตกตะลึงไม่ได้ “มูเฉิน คุณไม่ได้จะต้องออกไปทำงานนอกสถานที่หรือคะ?”
“ครับ ไปทำงานนอกสถานที่ อีกทั้งก็ยังถือโอกาสพาคุณไปผ่อนคลายด้วยไงครับ” สือมูเฉินเลิกคิ้วก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ไม่อยากไปหรือ?”
“ไม่นี่คะ!” หลานเสี่ยวถางส่ายหน้า “ย่อมต้องไปอยู่แล้วสิคะ! พวกเราจะไปไหนกันคะ?”
“ที่มาเลเซียมีโครงการหนึ่งของ Times Group อยู่ครับ ประจวบเหมาะกับว่าผมจะไปดูอยู่พอดีเลย ก็เลย ถือโอกาสพาคุณไปเที่ยวนอกประเทศเสียเลย”
“ไม่จำเป็นที่จะต้องทำวีซ่าหรือคะ?” หลานเสี่ยวถางอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“วางใจได้ครับ พรุ่งนี้เช้าน่ะ ทางฝั่งสถานทูตฝั่งนั้นสามารถจัดการได้ครับ” สือมูเฉินเอ่ย “ต้องไม่สามารถทำให้คุณไม่ได้ไปไม่ได้แน่นอน!”
หลานเสี่ยวถางอดที่จะยิ้มไม่ได้ จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าหัวใจที่หนักอึ้งกลับปลอดโปร่งขึ้นมาหลายส่วนในทันที “ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณไปพาคุณแม่คุณไปด้วยหรือคะ?”
สือมูเฉินได้ยินคำถามนี้ สีหน้าบนใบหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นเล็กน้อย “เสี่ยวถางครับ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าแยกจากกันมายี่สิบปี ผมมักจะรู้สึกนะ ว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อแม่เมื่อก่อนมันมีความแตกกันไม่น้อยเลยทีเดียว ผมเองก็จำเป็นที่จะต้องจัดการกับความรู้สึกของตัวเองด้วยเช่นกันนะ เพื่อมารองรับความเปลี่ยนแปลงแบบนี้น่ะ”
หลานเสี่ยวถางพยักหน้า “ใช่สิคะ ในเมื่อพวกคุณแยกจากกันมาตั้งยี่สิบปี ช่วงระยะเวลายี่สิบปี มีเรื่องมากมายเกิดขึ้น ดังนั้นแล้ว ไม่สามารถทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หรอกค่ะ”
“ขอบคุณนะครับที่คุณเข้าใจผม” สือมูเฉินก้มศีรษะลงไปประกบจูบเธอ “ภรรยาที่แสนดีของผม”
หลานเสี่ยวถางอดที่จะยิ้มอย่างเก้อเขินไม่ได้ “ถ้าหากว่าเธอรู้เข้าว่าพวกเราจะไปเที่ยวกัน……”
“ตอนนี้ความสนใจของเธอพุ่งไปยังตัวของพี่สาวของคุณทั้งหมดแล้วครับ นั่นจึงทำให้ผมรู้สึกว่า ผมนั้นราวกับไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ไปเสียแล้วล่ะ” สือมูเฉินเอ่ยอย่างหมดความอดทน “รอให้เวลาค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนไปเถอะครับ ตอนนี้น่ะ ผมก็ต้องการปรับอารมณ์ด้วยเหมือนกัน”
“ฮ่า ๆ ๆ ที่คุณกำลังหึงพี่สาวของฉันอยู่หรือเปล่าคะ?” หลานเสี่ยวถางอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“ครับ ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณหึงไหม?” สือมูเฉินลูบไล้ไปที่เนื้อไวต่อสัมผัสของเธอ “วันนี้ใครกันที่เห็นหลานเล่อซินในรถของผม แป๊บเดียวก็จะร้องไห้ออกมาแล้วน่ะ?”
หลานเสี่ยวถางเบนสายตา บู้ปาก
“วางใจได้ครับ ผมไม่ได้สนใจอะไรเธอ” สือมูเฉินเอ่ย “ถึงแม้ว่าจะให้ผมต้องพาเธอไปเข้างานเลิกงานด้วยกัน สำหรับผมแล้วก็ไม่มีการรบกวนอะไรใด ๆ เลย อีกทั้งพรุ่งนี้เธอก็จะย้ายออกไปแล้วด้วย หลังจากนี้ หากอ้างอิงจากตำแหน่งของเธอแล้ว ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะว่าแม่ของผมเชื้อเชิญมา เธอก็จะไม่มีโอกาสที่จะได้พบเจอประธานบริษัทของบริษัทหนึ่งได้แล้วครับ”
“ค่ะ ฉันเชื่อคุณ” หลานเสี่ยวถางยกแขนขึ้นไปคล้องที่ลำคอของสือมูเฉินเอาไว้
เขาจึงถือโอกาสลูบไล้มือลงไปที่ช่วงเอวของเธอ “อยากแล้วหรือครับ?”
หลานเสี่ยวถางเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด “ก็เห็นได้ชัดเลยนี่นาว่าคุณน่ะ……”
“ครับ ครับ ครับ เป็นผมที่อยาก……” สือมูเฉินพูดไป ก่อนจะก้มลงไปประทับริมฝีปาก
วันที่สอง สือมูเฉินนำกระเป๋าเดินทางลงไปที่ชั้นล่างก่อนแล้ว หลังจากนั้น หลานเสี่ยวถางก็หอบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คขึ้นมา ก่อนจะหันไปเอ่ยกับโจวเหวินซิ่ว “คุณแม่คะ บริษัทของฉันมีการจัดฝึกอบรมค่ะ สองสามวันนี้เลยจำเป็นที่จะต้องเข้าร่วมอบรมด้วย ดังนั้นจะไม่กลับมาพักแล้วนะคะ ถ้าหากว่าคุณแม่อยู่บ้านต้องการอะไรแล้วละก็ สามารถติดต่อโทรศัพท์หาฉันกับสือมูเฉินได้ตลอดเวลาเลยก็ได้นะคะ”
มุมปากของโจวเหวินซิ่วยกยิ้มขึ้นเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “เสี่ยวถาง มูเฉินเชื่อฟังฉันมาโดนตลอด แต่ทว่า ถ้าหากทำให้เขามีความรู้สึกสับสนต่อฉันแล้วละก็ ไม่ว่าใครหน้าไหน ก็จะไม่ให้อภัยทั้งนั้น!”
หลานเสี่ยวถางทำราวกับว่าฟังไม่รู้ความก็ไม่ปาน “คุณแม่คะ คุณพูดอะไรหรือคะฉันไม่ค่อยเข้าใจเลย แต่ทว่า ฉันรู้ว่าสือมูเฉินในหลายปีมานี้ ตามหาคุณอยู่ตลอดเวลา เขาเคยพาฉันไปที่นอกเมืองแล้วไปพักอยู่ที่คฤหาสน์เล็กนั่นของคุณอยู่ระยะหนึ่งด้วยนะคะ บอกว่าจะรอคุณแม่กลับมาแหนะ! ดังนั้นแล้ว คุณวางใจได้เลยค่ะ เขาน่ะ กตัญญูรู้คุณต่อคุณเป็นอย่างมากมาโดยตลอดเลยนะคะ”
“งั้นหรือ? เขาเคยไปอยู่ที่นั่นด้วยหรือ?” นัยน์ตาของโจวเหวินซิ่วแฝงไปด้วยความสงสัยบางเบา
หลานเสี่ยวถางพยักหน้า “ใช่ค่ะ ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้เข้าร่วมด้วย แต่ทว่า เขาบอกว่า ในทุก ๆ ปีของช่วงเวลานั้น เขาจะไปพักอยู่ตลอดเลยค่ะ บอกว่าหวังว่าจะได้พบคุณ”
สีหน้าของโจวเหวินซิ่วซับซ้อนขึ้นมาเล็กน้อย ผ่านไปได้ครู่หนึ่ง เธอหยักหน้าหงึกหงัก “ได้ ฉันรู้แล้วล่ะ เธอไปทำงานเถอะ!”
หลานเสี่ยวถางถึงบอกลาเธอ ก่อนจะหยิบกระเป๋าแล้วเดินจากมาแล้ว
สือมูเฉินรอเธออยู่ที่หน้าประตูของเขตเล็ก หลานเสี่ยวถางขึ้นรถแล้ว อดที่จะหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ว่า “จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกถึงการปิดบังผู้ปกครองเลยนะคะเนี่ย ความรู้สึกราวกับว่าจะลอบหลบหนีไปกับคุณน่ะ”
“ได้ ถ้าอย่างนั้นแล้วก็หนีไปด้วยกันเลย!” สือมูเฉินพูดขึ้น ก่อนจะส่งหนังสือเดินทางนั่นให้กับเธอ เธอค้นพบว่าที่ด้านบนมีวีซ่าเพิ่มขึ้นมาหน้าหนึ่งแล้ว
ผ่านการบินมาสี่ชั่วโมงแล้ว ทั้งสองคนในตอนนี้ก็ได้เหยียบบนแผ่นดินของประเทศมาเลเซียเรียบร้อยแล้ว
เสี่ยวเมิ่งรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลและรับผิดชอบของ Times Group ที่นี่รอรับอยู่ที่หน้าประตูสนามบิน เมื่อเห็นทั้งสองคน ก็รีบกุลีกุจอเข้ามาตอบรับด้วยความกระตือรือร้น “ท่านประธานสือ ท่านผู้หญิงสือครับ!”
สือมูเฉินหยักหน้าขึ้นลง เอ่ยว่า “ป่าชายเลนคืนวันนี้กับที่จะต้องออกทะเลวันพรุ่งนี้จัดการเรียบร้อยหมดแล้วใช่ไหมครับ?”
ผู้รับผิดชอบเสี่ยวเมิ่งหยักหน้า “ครับผม ทั้งหมดถูกจัดการเรียบร้อยแล้วครับ วันนี้อากาศดีมาก ตอนกลางคืนจะต้องมีดวงดาวเต็มท้องฟ้าอย่างแน่นอนครับ!”
ตกบ่าย ทั้งสองคนรับประทานอาหารท้องถิ่นและผลไม้ที่โรงแรม ก่อนจะนั่งรถที่เสี่ยวเมิ่งตระเตรียมเอาไว้ แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังป่าชายเลน
เมื่อถึงท่าเรือ ที่นั่นมีเรือจอดเตรียมเอาไว้อยู่ที่ฝั่งเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เสี่ยวเมิ่งพาทั้งสองคนเดินมาถึงที่หน้าของเรือลำสีขาวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยว่า “ประธานสือครับ นี่คือเรือที่พวกเราตระเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าครับผม คุณว่า จะให้ผมเป็นคนขับเรือให้ หรือว่าคุณจะเป็นคนขับเองครับ……”
สือมูเฉินเอ่ย “ผมขับเองดีกว่าครับ คุณรอผมอยู่ที่ท่าเรือเถอะ”
“ครับผม ผมตั้งค่าระบบนำทางบนเรือเอาไว้ที่เรือเรียบร้อยแล้วครับ คุณขับตามเส้นทางไปก็พอแล้วครับ” พูดไป เสี่ยวเมิ่งก็ส่งโคมไฟดวงเล็กดวงหนึ่งมาให้ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับหลานเสี่ยวถางว่า “คุณผู้หญิงครับ ทั้งสองฝั่งของป่าชายเลน ตอนกลางคืนจะมีหิ่งห้อยมากมายเลยครับ ให้คุณถือมันแล้วส่องไปที่หิ่งห้อยบนมือ พวกมันจะออกมาจากป่าชายเลนแล้วมาที่เรือครับ”
นัยน์ตาของหลานเสี่ยวถางอดที่จะเป็นประกายไม่ได้ “หิ่งห้อยไม่กลัวคนหรือคะ?”
“ไม่กลัวครับผม อีกทั้งยังสามารถมาเกาะบนมือของคุณได้ด้วยนะครับ!” เสี่ยวเมิ่งหัวเราะก่อนจะเอ่ยว่า “เมื่อถึงตอนนั้นแล้วคุณก็จะทราบเองครับ หิ่งห้อยของพวกเราที่นี่ ไม่น้อยหน้าไปกว่าในซีรีส์เลยนะครับ!”
ตอนนี้ ท้องฟ้ามืดแล้ว สือมูเฉินเปิดเครื่องยนต์ของเรือ ก่อนจะขับพุ่งตรงไปกลางสายน้ำ หลานเสี่ยวถางยืนอยู่ที่ทางด้านข้างของเขา เอ่ยอย่างริษยาว่า “มูเฉินคะ นึกไม่ถึงเลยนะคะเนี่ยว่าคุณจะขับเรือเป็นด้วย!”
“มานี่สิครับ” สือมูเฉินพูดไป ก่อนจะดึงหลานเสี่ยวถางให้มายืนอยู่ที่ทางด้านหน้าของเขา
เขาดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดของตนเองและควบคุมความเร็วของเรือไปพร้อมกัน “อยากเรียนไหมครับ? สามีจะสอนคุณเอง”
“เอาสิคะ!” หลานเสี่ยวถางพึงจะพูดจบไปเมื่อครู่ ก็มองเห็นป่าชายเลนที่มืดสนิทตรงสายน้ำทั้งสองข้าง “ฉันจะไม่ชนอะไรเข้าใช่ไหมคะเนี่ย?”
“ไม่มั่นใจกับตัวเองมากขนาดนั้นเลยหรือครับ?” สือมูเฉินเลิกคิ้ว “ง่ายจะตายไปครับ มาสิ ผมจะบอกคุณว่าจะดำเนินการอย่างไรเอง”
พูดไป เขาก็กดหน้าจอแสดงผลแบบแอลอีดี หลังจากนั้น ก็หันไปบอกกว่าวิธีดำเนินการกับปุ่มต่าง ๆ ให้กับหลานเสี่ยวถาง สุดท้ายแล้ว ก็หันไปเอ่ยกับเธออีกว่า “ลองจับพวงมาลัยของเรือดูครับ ผมเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบการควบคุมด้วยมือแล้ว”
หลานเสี่ยวถางประม่านเล็กน้อยแต่ทว่ายังคงจับเข้ากับที่ควบคุมของเรือที่อยู่ทางด้านข้างเอาไว้แน่น ก่อนจะค่อย ๆ ลดระดับความเร็วลง
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ความเร็วของเรือในมือเธอจังเปลี่ยนไปเป็นช้าลงแล้ว เงอะ ๆ งะ ๆ ตลอดทาง ราวกับว่าเป็นมือใหม่ที่กำลังเล่นเกมอยู่เลยก็ไม่ปาน
ในตอนนั้นเอง ทางด้านข้างทั้งสองข้างของแม่น้ำ จู่ ๆ ก็ปรากฏให้เห็นแสงจากดวงดาวเล็ก ๆ หัวใจของหลานเสี่ยวถางตื่นเต้นขึ้นมาในทันที “มูเฉิน ทางฝั่งนั้นคือหิ่งห้อยหรือเปล่าคะ?”
สือมูเฉินมองดูตำแหน่งในแผนที่อยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้า “ครับ พวกเราใกล้จะถึงสถานที่ที่หิ่งห้อยรวมตัวกันแล้วล่ะ”
พูดไป เขาก็เปลี่ยนไปเป็นรูปแบบการขับเรือแบบอัตโนมัติ ในที่สุดหลานเสี่ยวถางก็เป็นอิสระแล้ว เธอเปิดโคมไฟที่เสี่ยวเมิ่งให้มา ก่อนจะเผยรอยยิ้มอย่างตื่นเต้นที่หัวเรือ
จู่ ๆ เดิมท้องฟ้าอันมืดมิดตอนกลางคืนกลับเปิดให้เห็นแสงสว่างเส้นหนึ่ง แสงจากดวงดาวบนท้องฟ้าตกกระทบลงที่เส้นทางทั้งสองข้างอย่างระยิบระยับและแวววาว
หลานเสี่ยวถางมองเห็นแล้ว ทางด้านข้างของป่าชายเลน ราวกับว่ามีแสงไฟเล็ก ๆ นับไม่ถ้วนถูกจุดขึ้น เป็นประกาย ราวกับว่าเหมือนดวงดาวกำลังลืมตาอยู่เลยจริง ๆ
เธอยกโคมไปดวงเล็กในมือขึ้น ก่อนจะแกว่งไปมาอยู่บนหัวเรือ ไม่นานนัก ก็มีเจ้าหิ่งห้อยน้อยกล้าหาญตัวหนึ่งบินเข้ามาแล้ว
“มูเฉินคะ ในที่สุดพวกเขาก็มาแล้วค่ะ!” สือมูเฉินเอ่ยขึ้นด้วยความยินดีระคนประหลาดใจ
สือมูเฉินหยุดเรือเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะโยนสมอเรือไว้กลางแม่น้ำ เขาได้ยินเสียงของเธอ หลังจากนั้นจึงเดินไปโอบล้อมรอบช่วงเอวของเธออยู่ทางด้านข้าง “เสี่ยวถางครับ ในตอนที่คุณหันมาพูดกับผมเมื่อครู่นี้น่ะ นัยน์ตาเป็นประกายสวยกว่าหิ่งห้อยอีกนะ”