ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 143 เสี่ยวถาง คุณเคยรักผมหรือไม่
เมื่อเห็นความโศกเศร้าในดวงตาของเหยาเหยา หลานเสี่ยวถางอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกมากุมมือเธอ
หลานเสี่ยวถางพยายามเกลี้ยกล่อมเพื่อให้เธอเลิกโศกเศร้า บางทีลูกสาวของเธออาจจะไม่เป็นไร จู่ ๆ เธอก็นึกขึ้นได้ว่าถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ ถ้าเช่นนั้นตัวเองก็ยังมีโอกาสไม่ใช่หรอกเหรอ?
ทันใดนั้นหลานเสี่ยวถางก็จำคำพูดของเหยาเหยาขึ้นได้ และกุมมือของเธอไว้แน่น :“ใช่สิ ก่อนหน้านี้คุณเคยบอกว่าคุณเคยให้คนมาเอาผมของหนูไปตรวจ DNA คุณเอาไปตอนไหนคะ ? ทำไมหนูถึงไม่รู้เรื่องล่ะคะ?”
“ก่อนหน้านั้นตอนอยู่ในร้านกาแฟ” เหยาเหยากล่าว ” สือมูเฉินน่าจะตรวจสอบโลโก้บนต่างหูหยกนั้นแล้วล่ะ ใช่ ฉันเป็นคนของ honor”
หลานเสี่ยวถางนึกเหตุการณ์วันที่อยู่ร้านกาแฟและพูดว่า :“ผู้ชายคนนั้นไม่ได้ตัดผมของหนูไปนี่นา!”
เหยาเหยากล่าวว่า :“เขารู้วิธีทำเวทย์มนตร์ และเคลื่อนไหวเร็วมาก เร็วจนแม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้สึกตัวเลย”
“ไม่นะคะ” หลานเสี่ยวถางกล่าวว่า:“เขาได้ตัดผมหนูไปยาวแค่ไหนคะ?เยอะไหมคะ? เพราะตอนที่หนูสระผมและหวีผมนั้นก็ไม่ได้รู้สึกว่าผมของตัวเองนั้นถูกตัดไปค่ะ”
เมื่อเหยาเหยาได้ยินคำพูดของเธอ และรู้สึกเพียงว่าขนเธอลุกซู่ไปทั้งตัวพร้อมทำท่าทาง: “ยาวประมาณเจ็ดหรือแปดเซนติเมตร”
หลานเสี่ยวถางแสดงออกด้วยสีหน้าที่งงงวยมาก : “ผมของหนูตรงมากนะคะ และไม่มีรอยเป็นชั้นเลย ดังนั้นถ้ามันถูกตัดจริง ๆ หนูก็ต้องรู้สึกสิคะ”
ในขณะที่พูดอยู่นั้น เธอก็ยกผมของตัวเองขึ้น: “ดูสิคะ มันอยู่เหนือไหล่เพียงเล็กน้อย ถ้าถูกตัดออกจริงๆ ก็จะเห็นได้ชัดค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้น–” เหยาเหยาดวงตาเบิกกว้างขึ้นทันที: “ถ้าอย่างนั้นเขาอาจตัดผมผิดคนก็ได้?!”
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าหลานเสี่ยวถางที่อยู่ตรงหน้าเธออาจเป็นลูกสาวแท้ๆของเธอก็เป็นได้? !
ทั้งสองคนรู้สึกว่ามันน่าจะมีความเป็นไปได้สูง เวลานี้ในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบทันที
หลานเสี่ยวถางมองไปที่ผู้หญิงคนนั้น รู้สึกว่าคิ้วของทั้งสองคนนั้นดูเหมือนกันมาก เธอต้องการดูอีกครั้ง แต่เธอก็เขินอายเล็กน้อยที่จะจ้องหน้าเธอ
ความรู้สึกนี้มันละเอียดอ่อนมาก หัวใจของเธอรู้สึกยุ่งเหยิง ความคิดต่างๆนานา แวบผ่านเข้ามามากกว่าหนึ่งครั้ง และในท้ายที่สุดมันกลับกลายเป็นความรู้สึกชื่นมื่นสุดใจ
รอยยิ้มผุดขึ้นจากปากของเธอ ซึ่งไม่สามารถหุบยิ้มได้เลย
*
พอออกมาจากคฤหาสน์สือเพ่ยหลินก็โบกแท็กซี่
เขาไม่รู้ว่าควรไปที่ไหน เขารู้เพียงแค่ว่าชีวิตอยู่ได้ไม่นานแล้ว และทุกอย่างก็ดูน่าเบื่อหน่ายไปหมด
มองจากกระจกมองหลังของรถ เขาเห็นว่าสือมูเฉินได้ขับรถไล่ตามเขาออกมาแล้ว
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกเกิดความโศกเศร้าขึ้นมาในหัวใจของเขาทันที
ในอดีต เขาเป็นคุณชายคนหนึ่งที่เพียบพร้อมไปทุกอย่าง และแม้แต่สือมูเฉินก็ยังดูด้อยกว่าเขาอีก แต่เขาเป็นได้แค่รองประธานที่ไม่ได้มีอำนาจใด ๆ แล้วจะเอาอะไรไปสู้กับเขาได้ล่ะ?
แม้ว่าจะมีผู้หญิงมากมายที่เห็นสือมูเฉินแวบแรกก็จะหวั่นไหวและตกหลุมรักทันที แต่สุดท้ายแล้วถ้าเขาเปิดเผยตัวตนของเขาและใช้เงินซื้อมัน และผู้หญิงเหล่านั้นก็จะทำตัวเชื่องชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ทันที
แม้ว่าเขาจะไม่ได้คิดอะไรกับผู้หญิงเหล่านั้น แต่เขาก็สนุกกับเรื่องราวนี้เช่นกัน!
อย่างไรก็ตาม เมื่อทุกอย่างพลิกผัน สือมูเฉินไม่เพียงแต่แย่งบริษัทไป แม้แต่ผู้หญิงของเขาก็ถูกสือมูเฉินแย่งไปอีกด้วย !
ครั้นถึงวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว จะมีอะไรไปสู้กับเขาได้อีกกันเล่า?
อย่างไรก็ตาม ในใจก็ยังรู้สึกไม่ค่อยพอใจอยู่เล็กน้อย
สือเพ่ยหลินโยนเงินก้อนหนึ่งใส่คนขับ และให้เขาไปนั่งฝั่งตรงข้ามคนขับ * แล้วเขาเหยียบคันเร่งจนมิด
ข้างๆเขา คนขับตกใจจนตะโกนออกมาเสียงหลง แต่ไม่กล้าแย่งพวงมาลัยจากเขา ดังนั้นเขาจึงขับซิ่งไปตามถนนเรื่อยๆ
เขาคิดว่าในเมื่อเขากำลังจะตายอยู่แล้ว ต่อให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์จริงๆ มันก็มีค่าเท่ากัน มันก็ยังดีกว่ามานั่งรอความตายไปวันๆ!
ในโลกนี้มีบางคนที่อยากตายแต่ไม่ตาย บางคนอยากมีชีวิตรอดแต่เป็นเรื่องที่ยาก
เขาไม่ได้ตายสมใจ แต่เขาได้ขับรถเข้าไปในโลกแห่งสีสันโดยไม่รู้ตัว
บนถนนข้างหน้ามีสิ่งกีดขวางมากมาย และเมื่อสือเพ่ยหลินไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องชะลอความเร็วลง เขามองดูกระจกมองหลัง และพบว่าสือมูเฉินขับไล่ตามเขาไม่ทันแล้ว
แน่นอนว่าตอนนี้เขาต้องการบริษัทก็ได้บริษัท เขาต้องการผู้หญิงก็ได้ผู้หญิง แล้วคนอื่นจะมาล้อเล่นความเป็นความตายเช่นนี้กับเขาได้อย่างไรกัน?
สือเพ่ยหลินหัวเราะเยาะตัวเอง คืนรถให้คนขับ แล้วหยิบกระเป๋าเงินลงจากรถไป
เขาเดินเข้าไปในบาร์แห่งหนึ่ง นั่งลงในมุมที่เงียบๆคนเดียว และสั่งเหล้าทีเดียวห้าขวดทันที
เขาดื่มเหล้าเหมือนดื่มเครื่องดื่มทั่วไป และเมื่อเขาดื่มขวดที่สี่อยู่นั้น ในที่สุดเขาก็ดื่มจนเมา
ในขณะนั้นเอง ผู้หญิงสวมหน้ากากคนหนึ่ง เดินบิดเอวเหมือนงูที่อยู่ใต้น้ำเดินตรงเข้ามาหาเขา
สือเพ่ยหลินมองเห็นเลือนรางเพราะความเมา มองไปที่ผู้หญิงคนนั้น และหยิบเหล้าขึ้นมาอีกขวด
ผู้หญิงคนนั้นนั่งลงข้างหน้าเขา และเอื้อมมือไปแย่งเหล้าของเขา: “คุณเมามากแล้ว”
“มันไม่ใช่เรื่องของคุณ!” สือเพ่ยหลินขมวดคิ้วและผลักผู้หญิงคนนั้นออกไปอย่างรู้สึกรำคาญ
ผู้หญิงคนนั้นก้าวถอยหลังหลบ เธอถอนหายใจออกมาพร้อมหัวเราะแล้วพูดว่า: “คุณอกหักเหรอคะ ?หรือคนรักของคุณถูกคนอื่นแย่งไปแล้ว?”
หลังจากฟังคำพูดของเธอ สือเพ่ยหลินเริ่มแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา และคำรามออกมาด้วยความโกรธ: “ไสหัวไป!”
หญิงคนนั้นก็ไม่โกรธ บิดเอวเหมือนงูที่อยู่ใต้น้ำ แล้วก็เดินจากไปอย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอกลับมาอีกครั้ง เธอได้เปลี่ยนเสื้อผ้าของเธอแล้ว
กระโปรงชุดนางเงือกสีน้ำเงิน ทรงเข้ารูปทำให้เห็นช่วงเอวของเธอเพรียวบางได้ชัดเจนขึ้น เธอสวมหน้ากากขยับเข้าไปใกล้จนอยู่ตรงหน้าสือเพ่ยหลิน
ในความมึนเพราะความเมา สือเพ่ยหลินเห็นกระโปรงและรู้สึกคุ้นตามาก และแสงไฟที่ส่องไปที่ชุดนางเงือกนั้นเหมือนอยู่ในทะเล
เขาอดไม่ได้ที่จะยืนขึ้น ร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อยเนื่องจากผลของแอลกอฮอล์ และเขากระตุกมุมปากเล็กน้อยแล้วเดินพุ่งเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น
เธอยืนอยู่ตรงหน้าเขาภายใต้หน้ากากนั้น เธอยกมุมปากขึ้นพร้อมเรียกชื่อเขา :“เพ่ยหลิน”
สือเพ่ยหลินอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกไปและแตะเอวที่เรียวบางของผู้หญิงคนนั้น: “เสี่ยวถาง”
เธอแข็งทื่ออยู่เพียงครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็ขยับเข้าไปแนบกายเขาอย่างอ่อนโยน
สือเพ่ยหลินรู้สึกเพียงว่าทั่วร่างปลดปล่อยเปลวเพลิงร้อนแผดเผา ให้ความรู้สึกถึงพลังที่เดือดพล่าน เขากอดผู้หญิงคนนั้นไว้ในอ้อมแขนของเขา แล้วก้มศีรษะลงเพื่อจูบเธอ
เธอใช้นิ้วแตะริมฝีปากของเขา แล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งมวนจากด้านหลัง จุดบุหรี่แล้วยื่นให้กับสือเพ่ยหลิน
สือเพ่ยหลินดูดนิ้วของหญิงสาวคนนั้น แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วเหยียดแขนออกคว้าเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา
เธออยู่ในอ้อมแขนเขาอย่างเต็มใจ และทำท่าเหมือนเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายมาก
สือเพ่ยหลินพ่นควันออกมาใส่หน้าผู้หญิงคนนั้น จากฤทธิ์ของยาตัวนี้ทำให้มึนเมา มีอาการเคลิ้มสุข ไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ถึงแม้จะรู้ว่ามันอันตรายถึงชีวิตกลับรู้สึกมีความสุขมาก
เขากำลังสูบบุหรี่ไปด้วย ฝ่ามือของเขาก็ลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างของหญิงสาวคนนั้น
เธออยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างเชื่อฟัง และเธอยังคงร้องเพลงด้วยน้ำเสียงต่ำเบาๆ
ไฟในใจของเขากำลังลุกเต้น เขาสูบบุหรี่ทีเดียวสองสามครั้ง จากนั้นเขาก็อุ้มหญิงสาวคนนั้นเพื่อไปหาสถานที่ลับๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อสือเพ่ยหลินยืนขึ้น เขารู้สึกว่าเงาที่อยู่ข้างหน้าเขาเลือนรางเล็กน้อย
ดูเหมือนหญิงสาวเห็นท่าทางที่ผิดปกติของเขาแล้ว เธอจึงลุกขึ้นจากอ้อมแขนของเขา เอื้อมมือไปดึงเขาและพาเขาไปที่ห้องส่วนตัวในบาร์แห่งนั้น
ประตูถูกปิดหลังจากที่เข้ามาแล้ว และผู้หญิงคนนั้นก็โยนหน้ากากไปอีกทาง ใบหน้าของเธอท่ามกลางแสงสลัว เป็นใบหน้าที่คุ้นเคยและสวยงามไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ
มีรอยแผลเป็นตื้น ๆ บนแก้มของเฉินจื่อโร่วซึ่งเป็นร่องรอยที่หลานเสี่ยวถางเคยกรีดมาก่อน อย่างไรก็ตาม ภายใต้คอนซีลเลอร์นั้นก็แทบจะไม่สามารถมองเห็นแผลเป็นนั้นได้ชัดเจน
เธอมองไปที่ชายที่คุ้นเคยที่อยู่ข้างหน้าเธอ ด้วยแววตาไม่พอใจและความเกลียดชัง แต่ร่างกายของเธอกลับอ่อนไหวเหมือนน้ำ และอ่อนตัวลงในอ้อมแขนของสือเพ่ยหลิน
ในขณะนี้สายตาของสือเพ่ยหลินเบลอจนแทบจะไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าได้อย่างชัดเจน ในความรู้สึกของเขา เขารู้สึกว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้เป็นหลานเสี่ยวถางคนที่หัวใจเขาเรียกร้องมาเป็นเวลานาน
เขาก้มลงจูบเธอ นุ่มนวลแต่กลับเอ้อระเหย พวกเขาล้มตัวลงนอนบนโซฟา เขาก้มศีรษะและลูบผิวของเธอทุก ๆส่วน ก่อนที่จะรีบถอดเสื้อผ้าและแยกขาของเธอออก
สือเพ่ยหลินรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขาก้มศีรษะลงและถามผู้หญิงที่อยู่ใต้ร่างเขาว่า: “เสี่ยวถาง ทำแบบนี้ได้ไหม?”
เขาคิดว่าตอนที่พวกเขาแต่งงานกันสองปี เขาไม่เคยแตะต้องเธอเลยสักครั้งเดียว ตอนนี้พวกเขาแยกทางกันแล้ว และเขาเหมือนต้องการได้ตัวเธออย่างมาก แต่พอในสถานการณ์ตอนนี้ เขากลับรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
เธอไม่ตอบกลับ แต่คว้าแขนเขาไว้
พฤติกรรมดังกล่าวสามารถเข้าใจได้ว่าเป็นการแสดงความยินยอมที่ดีโดยปริยาย
สือเพ่ยหลินรู้สึกตื่นเต้นเพียงครู่หนึ่ง เขากอดเฉินจื่อโร่วที่อยู่ใต้ร่างของเขาไว้แน่น แล้วดันมันเข้าไป
ในห้องนั้น เมื่อออกกำลังกายแล้วอุณหภูมิก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ สือเพ่ยหลินรู้สึกว่าร่างกายของเขากำลังบ้าคลั่ง และเขาไม่สามารถควบคุมความตื่นเต้นนี้ได้เลย
จิตวิญญาณของเขาพุ่งสูงขึ้น และความรู้สึกของการพังทลายของกระดูกนั้นอย่างบ้าคลั่งกว่าทุกครั้งที่เขามีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่น
เขาตะโกนชื่อผู้หญิงที่อยู่ใต้เรือนร่างเขา: “เสี่ยวถาง! เสี่ยวถาง!”
เฉินจื่อโร่วรู้สึกเพียงว่าความเกลียดชังของเธอนั้นที่มีอยู่แล้วก็ยิ่งเกลียดจนเข้ากระดูกดำของเธอ เธอมองดูมีดผลไม้ที่อยู่ด้านข้าง หยิบมันขึ้นมา และกำลังจะแทงเข้าที่หน้าอกของสือเพ่ยหลิน
เธอยังคงจำได้ว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อนเธอถูกสือเพ่ยหลินทุบตีจนเธอแท้งลูกของตัวเอง เธอนอนจมกองเลือดอยู่นั้น เขาไม่แม้แต่จะชำเลืองมองเลยสักนิด !
ต่อมา เธอดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด ได้รับการช่วยเหลือจากคนอื่นและถูกนำตัวส่งไปโรงพยาบาล แต่จบลงด้วยการที่ต้องตัดมดลูกทิ้ง นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เธอก็ไม่สามารถมีบุตรได้อีกต่อไป!
หลังจากนั้น เธอก็เปลี่ยนชื่อนามสกุล และไปประเทศอเมริกาพร้อมกับชายที่ช่วยชีวิตเธอ และเริ่มทำงานเป็นพนักงานพีอาร์สาว
แต่เธอคาดไม่ถึงว่า* ชะตากรรมชีวิตจะเล่นตลกกับเธอ จนเธอได้พบกับสือเพ่ยหลินจริงๆ!
เธอให้เขาสูบบุหรี่ที่ผสมยาเสพติด และหลอกให้เขาเข้าไปในห้องส่วนตัวในฐานะหลานเสี่ยวถาง เพียงเพื่อต้องการล้างแค้นเขา!
เธอบีบมีดแน่น มือของเธอสั่นเล็กน้อย
แต่ในเวลานี้ สือเพ่ยหลินกอดเธอแน่น และกระซิบข้างหูของเธอ: “ผมควรทำอย่างไรดี ผมจะตายแล้ว ผมยังไม่อยากตาย……เสี่ยวถาง ผมเสียใจมาก ผมเสียใจมากที่ตอนนั้นผมทิ้งคุณไป ……”
มือของเฉินจื่อโร่วที่ถือมีดอยู่นั้นสั่นเล็กน้อย
เธอพยายามเพิกเฉยต่อความขุ่นเคืองที่เธอรู้สึกอยู่ในจิตใจ และถามเขาว่า:“ทำไมคุณถึงจะตายคะ?”
“คุณลืมไปแล้วหรือว่าผมป่วยและป่วยเป็นมะเร็งระยะ……” สือเพ่ยหลินกล่าว:“เสี่ยวถาง นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ด้วยกันหรือเปล่า?”
เขาป่วยเหรอ? มีอาการป่วยระยะสุดท้ายหรือไม่?
เฉินจื่อโร่วอยากจะหัวเราะออกมา แต่เธอกลับไม่สามารถหัวเราะออกมาได้ เธอกลับอยากจะร้องไห้แทน
ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและสือเพ่ยหลินนั้นพัวพันกันเป็นเวลานาน เธอเกลียดชังเขาจะตาย และตอนนี้เขากำลังจะตายแล้ว? เธอไม่จำเป็นต้องลงมือเองแล้ว?
“เสี่ยวถาง คุณเคยรักผมไหม?”สือเพ่ยหลินถามเธอ: “ผมอยากได้ยินจากปากคุณพูดอีกสักครั้ง แม้ว่ามันจะเป็นเพียงอดีตก็ตาม……”
ดวงตาของเฉินจื่อโร่วเต็มไปด้วยความเกลียดชังอีกครั้ง!
พวกเขาขึ้นเตียงกันอีกครั้ง แต่ในใจของสือเพ่ยหลินยังคงมีแต่หลานเสี่ยวถาง! เกรงว่าเขาลืมเฉินจื่อโร่วไปตั้งนานแล้วล่ะ!
มีความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา และเธอก็วางมีดบนหลังของสือเพ่ยหลินและถามเขาว่า:“ถ้าอย่างนั้นคุณบอกฉันก่อนสิ ว่าคุณเคยรักเฉินจื่อโร่วไหม?”
หลังจากที่เธอพูดจบ เธอรอคำตอบจากสือเพ่ยหลินอย่างประหม่า
“ไม่เคย” สือเพ่ยหลินก้มลงจูบเธอ: “เสี่ยวถาง ผมรักคุณตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ เพียงแค่ ผมพึ่งรู้หัวใจของตัวเองก็แค่นั้นเอง……”