ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 154 พี่เฉิน ศัตรูหัวใจของพี่ได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว
“คุณอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” หลานเสี่ยวถางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
วันนี้สมาชิก DR มาร่วมงานปาร์ตี้ หันจื่ออี้ไม่น่าจะรู้เรื่องนี่นา
“วันนี้ผมไปหาคุณที่ชุมชนที่คุณพักอาศัยอยู่” หันจื่ออี้กล่าวว่า: “ผมบังเอิญไปเจอเข้ากับคุณแม่ของสือมูเฉินและหลานเล่อซิน หลานเล่อซินจำผมได้ คุณแม่ของสือมูเฉินได้ยินมาว่าผมเป็นรุ่นพี่ของคุณ ท่านจึงบอกว่าคุณอยู่ที่นี่”
หัวใจของหลานเสี่ยวถางหนักอึ้ง หันจื่ออี้เป็นชายหนุ่ม ทำไมโจวเหวินซิ่วถึงไม่ได้ถามหน่อยล่ะว่ามีธุระอะไรกับเธอ ยังไม่ได้ถามอะไรก็บอกว่าเธออยู่ที่ไหนแล้วอย่างนั้นเหรอ!
ดังนั้น เธอไม่พอใจลูกสะใภ้คนนี้ขนาดไหนกันนะ เธอจึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้เธอและสือมูเฉินแยกจากกัน!
แม้ว่าหลานเสี่ยวถางจะรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาเช่นกัน
เธอยิ้มให้หันจื่ออี้อย่างสุภาพ: “แล้วที่คุณหาฉันมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”
หันจื่ออี้พยักหน้า: “อืม ใช่”
เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้อีกนิด เพราะเมื่อขยับเข้ามาใกล้ ดังนั้นหลานเสี่ยวถางได้กลิ่นแอลกอฮอล์บนร่างกายของเขา
“คุณดื่มมาเหรอ?” หลานเสี่ยวถางขมวดคิ้ว: “คุณเมาแล้วขับเหรอ?”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่หล่อเหลาของหันจื่ออี้: “เสี่ยวถางคุณห่วงใยผมอยู่เหรอ?”
หลานเสี่ยวถางเหลือบมองเขาสักครู่: “ฉันเป็นห่วงผู้บริสุทธิ์ที่สัญจรไปมาบนท้องถนนต่างหาก” เธอจ้องมองเขา: “ไหนคุณบอกว่ามีธุระกับฉันไงล่ะ?ธุระอะไรกันคะ?”
“เสี่ยวถาง ผมกลับไปที่บ้านเก่าเมื่อวานนี้” เมื่อหันจื่ออี้พูดอยู่นั้น สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นขมขื่นทันที
หลานเสี่ยวถางรู้ได้ทันทีว่าที่บ้านเขาต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างแน่นอน และเธอก็รู้ด้วยว่าตั้งแต่คุณพ่อและคุณแม่ของหันจื่ออี้ไม่อยู่แล้ว เขาจึงไปเช่าบ้านอยู่ข้างนอกแทนและไม่เคยกลับไปอีกเลย
ดังนั้น น้ำเสียงของเธอจึงอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย: “อืม แล้วไงต่อล่ะ?”
หันจื่ออี้มองลงไปที่หลานเสี่ยวถาง: “ตู้ไปรษณีย์ที่นั่นกำลังจะถูกทำลายแล้ว และบังเอิญเมื่อวานผมกลับไป เห็นพนักงานไปรษณีย์กำลังรื้อถอนมันอยู่”
ในยุคนี้ยังคงใช้วิธีการสื่อสารแบบเดิม ๆ ยังจะมีอยู่สักกี่คน? ดังนั้นตู้ไปรษณีย์เกือบทั้งหมดในหนิงเฉิงที่อยู่ติดริมถนนจึงถูกรื้อทิ้งหมดแล้ว
หลานเสี่ยวถางพยักหน้าและพูดอย่างเป็นธรรมชาติว่า: “โอ้ มันถูกรื้อทิ้งก็ดีแล้ว ตอนนี้ถนนได้ขยายออกไปเพื่อไม่ให้กระทบต่อการจราจร”
เมื่อหันจื่ออี้เห็นท่าทางสีหน้าของเธอเป็นปกติ เขาก็อดไม่ได้ที่จะค่อย ๆเงียบลง เขาเงียบไปครู่หนึ่ง จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ: “เสี่ยวถาง ผมเห็นจดหมายที่คุณเขียนถึงผมเมื่อหกปีก่อนแล้ว”
หลานเสี่ยวถางตกตะลึง
หกปีที่แล้ว หันจื่ออี้จากไปโดยไม่บอกลา ราวกับว่าหายไปอย่างไร้ร่องลอย เธอติดต่อเขาไม่ได้ และต้องใช้เวลาสองสามวันกว่าจะรู้ว่าเขาไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ
สมัยนั้นเธอไม่มีปัญญาโทรไปต่างประเทศได้? ยิ่งกว่านั้นเธอส่งอีเมลถึงเขาหลายฉบับแต่ว่าทั้งหมดถูกตีกลับคืนมา
เธอกังวลว่าเมื่อเขาออกไปข้างนอกแล้วเกิดเรื่องขึ้น ดังนั้นเธอจึงเขียนจดหมายแล้วส่งไปที่บ้านของเขาแทน
เนื่องจากเขาไม่ได้กลับมาเป็นเวลาหกปี ดังนั้นจดหมายจึงอยู่ในกล่องจดหมายนั้นเป็นเวลาหกปีแล้ว และไม่มีใครสนใจเรื่องนี้
บางที ถ้าหากไม่ใช่เพราะตู้ไปรษณีย์ถูกรื้อทิ้งแล้วล่ะก็ จดหมายนั้นก็อาจจะไม่มีใครเห็นอีกเลย
“โอ้” หลานเสี่ยวถางพยักหน้า: “ถ้าคุณไม่บอก ฉันก็เกือบลืมไปแล้วว่ายังมีเรื่องแบบนี้อยู่อีก”
“เสี่ยวถาง–” หันจื่ออี้รู้สึกเหมือนถูกคำพูดของหลานเสี่ยวถางบาดเข้าไปที่หัวใจ และเขาก็พูดตัดพ้อกับเธอ: “แม้ว่ามันจะผ่านไปหกปีแล้ว และเนื้อความตัวหนังสือบางส่วนคงเรือนลางไปหมดแล้ว แต่ผมยังพอจะอ่านเนื้อหาในจดหมายนั้นได้ชัดเจน บนจดหมายนั้นคุณสัญญากับผมว่าจะคุณเป็นแฟนของผม”
สีหน้าของหลานเสี่ยวถางรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เธอครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วยิ้มพูดออกมาว่า :“นั้นเป็นเรื่องตั้งแต่สมัยที่เรียนอยู่แล้ว มันผ่านไปหกปีกว่าแล้ว จะมาพูดรื้อฟื้นทำไมกันอีก?”
“เสี่ยวถาง สำหรับคุณมันอาจจะผ่านไปแล้ว แต่สำหรับผมมันอยู่ข้างในมาตลอดและไม่เคยจางหายไปไหน” หันจื่ออี้เหยียดแขนของเขาออกไปและกำลังจะดึงแขนของหลานเสี่ยวถาง: “เสี่ยวถาง ผมจะเขียนจดหมายกลับไปให้คุณตอนนี้ยังทันอยู่ไหม?”
หลานเสี่ยวถางเดินก้าวถอยหลังหลีกเลี่ยงมือของหันจื่ออี้
เธอส่ายหัว: “ฉันแต่งงานกับมูเฉินแล้ว และความสัมพันธ์ของเราดีมาก ดังนั้นฉันขอโทษ ฉันไม่สามารถตอบรับคุณได้”
“เสี่ยวถาง คุณไม่จำเป็นต้องตอบผมเร็วขนาดนั้นก็ได้” ในขณะที่หันจื่ออี้พูดอยู่นั้น และเขาก็ยกข้อมือขึ้นมา:“คุณดูนี่สิ ผมสวมนาฬิกาเรือนนี้มาตลอด เสี่ยวถาง การที่ผมไปต่างประเทศเพราะผมถูกบังคับให้ไป และสมัยที่ผมอาศัยอยู่ต่างประเทศ ผมไม่เคยมีแฟนเลย ในใจของผมนั้น คู่ชีวิตของผมมีก็แค่เพียงคุณคนเดียวเท่านั้น”
“จริงเหรอ?” ในขณะนี้ สือมูเฉินเดินออกจากลาน ‘ฤดูใบไม้ร่วง’ และมองไปที่หันจื่ออี้ด้วยน้ำเสียงประชดประชันเล็กน้อย: “คุณหัน ทำไมผมถึงไม่รู้ว่าภรรยาของผมได้กลายเป็นคู่ชีวิตของคุณไปแล้วล่ะ?”
หลานเสี่ยวถางหันไปมองสือมูเฉิน เธอตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาจะไม่เข้าใจผิดเธอหรอกใช่ไหม?
ในวินาทีถัดมา เธอรู้สึกเหมือนโดนคว้าแขนอย่างแรงจนร่างกายของเธอเสียการทรงตัวในทันที แล้วเธอก็กระแทกเข้าที่หน้าอกที่แข็งกระด้าง
สือมูเฉินคว้าตัวหลานเสี่ยวถางเข้ามากอด ก้มศีรษะพูดกับเธอว่า: “เสี่ยวถางในเมื่อหันจื่ออี้ก็มาแล้ว คุณในฐานะภริยาของผมทำไมถึงไม่เชิญชวนเขาเข้าไปข้างในล่ะ?”
เมื่อหันจื่ออี้มองที่แขนของสือมูเฉินที่กำลังจับแขนหลานเสี่ยวถางไว้แน่น เขารู้สึกเพียงว่ามันขัดสายตา เขาพยายามอดทนข่มอารมณ์ที่อยากจะดึงหลานเสี่ยวถางออกมา และรีบพูดกับสือมูเฉินว่า: “คุณสือครับ ถ้าเช่นนั้นผมก็จะรับคำเชิญแล้วกันนะครับ!”
หลานเสี่ยวถางอยากอาเจียนเป็นเลือด หันจื่ออี้จะเข้าไปทำอะไร? บรรยากาศจะคงอึดอัดน่าดู?
สือมูเฉินสวมกอดหลานเสี่ยวถาง และทำท่าทางยินดี: “คุณหัน สมาชิกของ DR ยินดีต้อนรับคุณครับ”
หันจื่ออี้สีหน้าเคร่งขรึม และเขามองไปที่สือมูเฉินด้วยความสงสัย: “คุณสือครับ คุณเป็นท่านประธานของ DR จริงๆด้วย ความสัมพันธ์ระหว่าง DR และบริษัทเทคโนโลยีรายย่อยนั้นเป็นปมเงื่อนซับซ้อน ผมอยากจะถามคุณสือว่าคุณและคุณ Jarvis มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอะไรกันครับ?”
หลานเสี่ยวถางอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองสือมูเฉิน อย่างไรก็ตามเธอไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้!
ริมฝีปากของสือมูเฉินค่อยๆ เต็มไปด้วยรอยยิ้มลึกลับ: “คุณหันครับ คุณคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณดีมากจนผมสามารถเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของคุณ Jarvis ต่อหน้าคุณได้อย่างนั้นเหรอครับ?”
ท่าทางที่แสดงออกของหันจื่ออี้หยุดนิ่งแล้วยิ้มเบา ๆ: “แต่จากการเดาของผม คุณสือและเขานั้นต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาใช่ไหมครับ? ในเวลานั้น เสี่ยวถางเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และบริษัทเทคโนโลยีรายย่อยได้ร่วมมือกับบริษัทแม่ของ Latitude Headquarters ล่วงหน้า มันควรจะเป็นของขวัญจากคุณสือใช่ไหมครับ?”
แขนของสือมูเฉินโอบรอบไหล่ของหลานเสี่ยวถาง และนิ้วมือของเขาหยิบเส้นผมของหลานเสี่ยวถางวนเป็นวงกลมแล้วพูดว่า: “ไม่ว่าคุณหันจะคาดเดาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณ Jarvis อย่างไร แต่ผมสามารถยืนยันได้เรื่องหนึ่งนั่นก็คือ ผมกับเขาไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบชายรักชายอย่างแน่นอน”
ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เขาหยุดเดินแล้วหันข้าง ยกคางของหลานเสี่ยวถางขึ้นเล็กน้อย ก้มศีรษะลงและจูบลงริมฝีปากสีแดงของเธอ เลิกคิ้วขึ้นและพูดอย่างหนักแน่นว่า: “ผมก็เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งและผมชอบผู้หญิงเท่านั้น และทำแบบนี้ได้กับเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น”
หลานเสี่ยวถางไม่คาดคิดว่า* สือมูเฉินจะกล้าจูบเธอต่อหน้าหันจื่ออี้ แก้มของเธอแดงระเรื่อขึ้น เมื่อสือมูเฉินกอดเธออีกครั้ง เธออดไม่ได้ที่จะซุกไปหลบอยู่ในแขนของสือมูเฉินอย่างเขินอายเล็กน้อย
สือมูเฉินเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขารู้สึกเพียงแค่ว่าเขาโมโหที่ได้ยินหันจื่ออี้สารภาพรักหลานเสี่ยวถาง ในเวลานี้ความโกรธนั้นได้บรรเทาลง
“เหอะ” หันจื่ออี้พยายามไม่มองภาพที่บาดตาบาดใจนั้น เขาเบือนหน้ามองไปทางอื่น เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ: “คุณสือครับคุณนี่ล้อเล่นเก่งจริง ๆ นะครับ!คุณพยายามอธิบายอย่างหนักมากขนาดนี้ หรือว่าระหว่างคุณและคุณJarvis มีความสัมพันธ์บางอย่างแอบแฝงไว้จริงๆ?” คุณปฏิเสธความสัมพันธ์แบบคู่รัก เป็นพ่อลูกกันหรือเป็นพี่น้องกัน?ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ หรือว่ามันเป็นอีกตัวตนหนึ่งของคุณ?หรือว่าเป็นคน ๆ เดียวกันกันแน่ครับ?”
หลานเสี่ยวถางตกตะลึงอย่างมากเมื่อได้ยินคำพูดของหันจื่ออี้
คนเดียวกัน?
เป็นไปได้อย่างไรกัน ! หลานเสี่ยวถางส่ายหัว
เธอจะไม่รู้ได้อย่างไรกันว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาบริษัทเทคโนโลยีรายย่อยนั้นพัฒนาก้าวหน้าไปยิ่งใหญ่เพียงใดแล้ว นอกจากนี้คุณ Jarvis เป็นคนที่ลงทุนทำธุรกิจด้วยตัวเอง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ในตอนแรกเขาทุ่มเทอย่างมากใช้เวลาในการเตรียมการไปก็ไม่น้อย เกินกว่าที่คนอื่นจะจินตนาการได้ มันจะเป็นสือมูเฉินไปได้อย่างไรกันล่ะ?
สือมูเฉินเพิ่งจะอายุเพียง 30 ปีเอง แม้ว่าเขาจะเคยไปเรียนต่างประเทศมาก่อนแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นถ้าเขาเก่งกาจขนาดนั้นจริงๆ เมื่อ 4 ปีที่แล้วทำไมเขาถึงไม่มีอะไรหลงเหลือติดตัวเขาเลยแม้แต่น้อย เขาเพิ่งแย่ง Times Group กลับคืนมาได้ในปีนี้เอง?!
ในจินตนาการของหลานเสี่ยวถางนั้น คุณJarvis อย่างน้อยต้องมีอายุ 40 ปีขึ้นไปแล้ว
เมื่อสือมูเฉินได้ยินคำพูดของหันจื่ออี้มุมริมฝีปากของเขาก็ยิ้มลึกขึ้น: “ทำไมครับ เพราะอะไรคุณหันถึงต้องสนใจเรื่องของผมขนาดนี้ด้วยล่ะครับ นี่คิดอะไรกับผมอยู่หรือเปล่าเนี่ย?แม้ว่าคุณหน้าตาอาจจะดูดีไม่น้อย และทางหน้าทางครอบครัวก็พอใช้ได้ แต่เนื่องจากคุณเป็นผู้ชายและผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณและผมก็หมดหนทางแล้วจริง ๆครับ!”
“คุณสือครับ ผมไม่นึกเลยว่าคุณจะเป็นคนหลงตัวเองขนาดนี้!” หันจื่ออี้หัวเราะ: “น่าเสียดายนะครับ ผมก็เหมือนกับคุณที่ชอบผู้หญิงเท่านั้น และผมก็ชอบเพียงรักแรกของผมเท่านั้น!”
หลานเสี่ยวถางตัวสั่นไปทั้งตัว
ทำไมเปลวเพลิงของสงครามจึงวนเวียนมาตกใส่เธออีก?
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเธอกับหันจื่ออี้เป็นรักแรกจริงเหรอ? แม้ว่าตอนนั้นเธอจะรู้สึกหลงกับความรักครั้งนั้นจริง ๆ แต่ก่อนหน้านั้นความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเขายังไม่ได้ยืนยันว่าเป็นคนรักกันเลย และเขาก็หายตัวไปก่อน
อาจกล่าวได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเพิ่งเริ่มต้นและหยุดลงอย่างกะทันหันต่างหาก
“ที่แท้แล้วคุณหันชอบแฟนคนแรกเหรอครับเนี่ย” ดูเหมือนสือมูเฉินเพิ่งรู้ยังไงยังงั้นแหละ เขาก้มศีรษะลงแล้วถามหญิงสาวตัวเล็กในอ้อมแขนของเขาว่า:“เสี่ยวถาง คุณกับนายหันนั้นเป็นเพื่อนเก่าในโรงเรียน คุณรู้ไหมว่าแฟนคนแรกของเขานั้นคือใครกัน?”
หลังจากพูดจบ สายตาของหันจื่ออี้ก็จ้องไปที่หลานเสี่ยวถางอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าแม้ว่าการจ้องมองเหนือศีรษะของเธอจะเบาบาง แต่เธอก็รู้ว่าถ้าเธอพูดอะไรบางอย่างผิดออกมาแล้วล่ะก็ เธอจะต้องถูก ‘ลงโทษทางร่างกาย’ โดยสือมูเฉินอย่างแน่นอน
เมื่อนึกถึงอะไรบางอย่าง แก้มของเธอก็แดงระเรื่อและรู้สึกลมหายใจเริ่มติดขัด
เธอส่ายหัว และทำท่าทางสาบานออกมา “ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้จริงค่ะ”
แสงสว่างแห่งการรอคอยคำตอบในดวงตาของหันจื่ออี้ก็ดับลง
คิ้วของสือมูเฉินเหมือนมีรอยยิ้มอย่างผู้ชนะเล็กน้อย เขาพูดกับหันจื่ออี้ด้วยน้ำเสียงเซ็ง ๆว่า: “คุณหัน คุณดูสิ ภรรยาของผมไม่รู้ว่าแฟนคนแรกของคุณคือใคร……”
น้ำเสียงของเขานั้นไร้เดียงสาและรู้สึกเสียใจ แต่ฟังยังไงก็เหมือนว่าเขากำลังพูดยั่วโมโห
หันจื่ออี้กำมือที่แนบกายไว้แน่น เขารู้สึกเพียงแค่ว่าตัวเองนั้นไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงจดหมายฉบับนั้น เปลวไฟที่เกือบจะดับในหัวใจของเขาก็กลับมาสว่างอีกครั้ง
เขากำลังจะตอบ แต่ทั้งสามเดินมาถึงทางเข้าห้องโถงแล้ว
ในขณะนี้สมาชิกของ DR ต่างมองมาทางนี้แล้ว และมีคนถามด้วยความสงสัย: “ท่านนี้คือ……”
อีกคนจำหันจื่ออี้ได้ และดวงตาของเขาเป็นประกาย: “เฮ้ นั่นมันรองประธานหันของบริษัทซอฟต์แวร์ไม่ใช่เหรอ?”
จากนั้นสือมูเฉินก็แนะนำให้ทุกคนรู้จัก: “ทุกคน นี่คือคุณหันจื่ออี้จากบริษัทซอฟต์แวร์ วันนี้ผมบังเอิญไปพบเขาเข้าก็เลยเชิญชวนเขามาร่วมงานสังสรรค์ด้วยกันกับเราน่ะ!”