ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 175 เยี่ยมมาก ทุกคนมาเจอหน้ากันหมดแล้ว
“คุณจะต้องไร้หัวใจมากขนาดนี้เลยจริง ๆ หรือคะ?” หลานเล่อซินตะโกนอยู่ทางด้านหลังสือมูเฉิน
สือมูเฉินไม่ได้สนใจ อีกทั้งยังเดินมุ่งตรงไปหาโจวเหวินซิ่ว “คุณแม่ครับ แม่จะกลับไปบ้านไปพร้อมกับผมเลยหรือเปล่าครับหรือว่าอย่างไร?”
โจวเหวินซิ่วเบิกตาขึ้นเล็กน้อย แทบจะเป็นเพราะว่าความเจ็บปวดภายในใจของหลานเล่อซินที่ออกมาเมื่อวานเลยทีเดียว เธอส่ายศีรษะไปมา “แม่อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนยายหนูเล่อซินดีกว่า เห้อ เธอก็เป็นเพราะว่าชอบลูกนั่นแหละถึงเป็นแบบนี้ นี่มันคือเวรกรรมแท้ ๆ แม่จะคอยช่วยพูดกับเธอเอง!”
สือมูเฉินพยักหน้าขึ้นลง “ถ้าอย่างนั้นแล้วผมจะจัดแจงผู้ดูแลไปจองอาหารให้แม่แล้วกันนะครับ”
“ได้จ้ะ” โจวเหวินซิ่วพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะมองไปทางหลานเสี่ยวถางที่อยู่ทางด้านข้างสือมูเฉิน และเอ่ยปากขึ้นก่อนเป็นครั้งแรกว่า “เสี่ยวถาง พี่สาวของเธอก็เป็นแค่เพราะว่าคิดไม่ได้ชั่วคราวเท่านั้น หลังจากนี้ก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นแล้วล่ะ เธอไม่ต้องนำมันไปใส่ใจมากนักหรอก”
หลานเสี่ยวถางตกตะลึงเล็กน้อย แม้กระทั่ง ทั้งยังมีความรู้สึกราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงที่ตกตะลึงก็ไม่ปานขึ้นมาหลายส่วน เธอพยักหน้าหงึกหงัก “คุณแม่คะ ฉันทราบดีค่ะ ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณแม่กับพี่พักผ่อนเถอะนะคะ พวกเราจะต้องขอตัวไปทำงานก่อนแล้ว”
เดิมบาดแผลของหลานเล่อซินก็ไม่ได้ลึกอะไรมาก อีกทั้งก็ไม่ได้บาดเจ็บจนไปถึงหลอดเลือดใหญ่ด้วย ดังนั้นแล้ว ไม่ถึงสองวันก็จะสามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว
หลังจากนั้น โจวเหวินซิ่วก็ย้ายกลับเข้าไปในคอนโดมิเนียมของสือมูเฉิน อีกทั้งหลานเสี่ยวถางในตอนกลางวัน ก็ทำงานผ่านระยะไกลอยู่ด้านนอกตลอด
ไม่นานนักการถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ของคฤหาสน์ก็กำหนดเอาไว้แล้ววันนั้นที่จะได้บ้านมา หลังจากที่หลานเสี่ยวถางร้องขอความคิดเห็นจากสือมูเฉินแล้ว ก็ต่อสายหาเฉียวโยวโยว
“โยวโยวจ๊ะ สุดสัปดาห์นี้มีเวลาว่างไหม?” หลานเสี่ยวถางเอ่ย
“มีสิ ทำไมหรือ คิดถึงฉันแล้วหรือไง?” เฉียวโยวโยวเอ่ย
“เธอไม่ต้องตระเตรียมงานแต่งหรือไง?” หลานเสี่ยวถางเอ่ย “ได้ยินมาว่าก่อนงานแต่งงานจะยุ่งมาก ๆ มีของมากมายเป็นกองเลยที่จะต้องซื้อ”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ให้คุณแม่ของเจียนปอกับแม่ของฉันเตรียมการก็โอเคแล้วละนะ” เฉียวโยวโยวเอ่ย “อันที่จริงแล้ว ฉันน่ะไม่อยากที่จะจัดพิธีสมรสเท่าไหร่หรอกนะ แต่ทว่าทางผู้อาวุโสทั้งสองตระกูลต่างก็บอกกันว่าต้องจัด อีกอย่างเธอก็รู้นี่นา แม่ของเขากับแม่ของฉันมีความสัมพันธ์อันดีราวกับเป็นพี่น้องกันมาโดยตลอด พวกเขาทั้งสองคนรวมตัวกันแล้ว บอกว่าจะต้องจัดให้ใหญ่โต น่ารำคาญจะตายอยู่แล้วเนี่ย!”
“ก็ในเมื่องานแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตนี่เนอะ ตลอดชีวิตจัดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ย่อมต้องให้ความสำคัญอยู่แล้ว” หลานเสี่ยวถางคิดไปคิดมา ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ช่วงนี้เธอกับเจียนปอยังดีกันอยู่ใช่ไหม? เขาได้……”
“อันที่จริง หลังจากที่เขากลับมาจากต่างประเทศแล้ว โทรศัพท์ของเขาก็วางเรี่ยราดไปทั่วเลยล่ะ แม้กระทั่งรหัสผ่านยังบอกให้ฉันรู้เลย มีอยู่หลายครั้งเลยนะ ที่เขากำลังยุ่งอยู่ แล้วก็ได้ยินเสียงข้อความอะไรขึ้นมา ก็ให้ฉันช่วยดูให้เขาแทน มันไม่มีอะไรเลยจริง ๆ น่ะสิ” เฉียวโยวโยวถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง “ถ้าหากไม่ใช่ว่าตอนนั้นเผอิญได้พบกับผู้หญิงคนนั้นเข้า อันที่จริงแล้ว ฉันในตอนนี้ก็คงจะมีความสุขดีมากเลยละนะ”
“ดูท่าแล้ว หลังจากที่เขากลับจากต่างประเทศมา ก็คงจะตัดขาดกับผู้หญิงคนนั้นไปเรียบร้อยแล้วจริง ๆ” หลานเสี่ยวถางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ครั้งหนึ่ง “ในเมื่อเธอตัดสินใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นแล้วก็ลืมเรื่องราวเมื่อก่อนกันเถอะ! ฉันโทรมาหาเธอ เป็นเพราะว่าจะเรียกให้เธอมางานที่บ้านของฉันในสุดสัปดาห์นี้น่ะจ้ะ”
เฉียวโยวโยวอดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “นี่ สามีของเธอไม่กลัวฉันไปทำบ้านของเธอพังหรือไง? อีกอย่างหนึ่งนะ แม่ของเขาก็อยู่ด้วยไม่ใช่หรือ?”
“ไม่จ้ะ” มุมปากของหลานเสี่ยวถางยกยิ้มขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “พวกเราซื้อบ้านหลังใหม่มาหลังหนึ่งแล้วน่ะ ช่วงนี้พึงทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์เสร็จ ที่นั่นในตอนนี้ยังมีเฟอร์นิเจอร์เยอะไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่นัก ประจวบเหมาะกับสุดสัปดาห์ไม่มีงานอะไรพอดี ดังนั้นก็เลยมาชวนเธอมาเล่นไงล่ะ”
“เศรษฐินีนะเศรษฐินี! ซื้อบ้านอย่างกันซื้อผักกาดขาวเลยนะ!” เฉียวโยวโยวถอนหายใจก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “เรื่องที่พวกเธอย้ายบ้านย้ายเรือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีเช่นนี้ถ้าอย่างนั้นแล้วฉันย่อมต้องไปอยู่แล้ว! ส่งที่อยู่มาให้ฉันได้เลย!”
“ได้!” หลานเสี่ยวถางเอ่ยขึ้นอย่างปีติว่า “เธอก็พาเจียนปอมาด้วยกันสิ ทุกคนมาสนุกสนานกันหน่อย ค้างสักคืน วันอาทิตย์ทานอาหารค่ำเสร็จแล้วค่อยกลับ!”
เฉียวโยวโยวเอ่ยว่า “อื้ม ฉันรับปากแทนเขา”
วันเสาร์ตอนเช้า เตียงและผลิตภัณฑ์เครื่องนอนที่ก่อนหน้านี้หลานเสี่ยวถางได้จองเอาไว้มาถึงเรียบร้อยหมดแล้ว เธอพึ่งจะปูเตียงเสร็จไปเมื่อครู่นี้เอง ก่อนจะจัดการกับดอกไม้อยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็รับสายจากเฉียวโยวโยว “เสี่ยวถาง ฉันมาถึงแล้วจ้ะ ช่วยเปิดประตูให้ฉันหน่อยสิ!”
อันที่จริงแล้วประตูใหญ่ของคฤหาสน์เป็นระบบเปิดแบบอัตโนมัติ หลานเสี่ยวถางก็พึ่งจะมาถึง ยังไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจดีเลย เธอวิ่งลงไปจากชั้นสาม ก่อนจะเปิดประตู
“เสี่ยวถางครับ ให้คุณ!” ในมือของฟู้เจียนปอมีดอกไม้สด ๆ ช่อใหญ่ช่อหนึ่ง อีกทั้งยังมีเค้กก้อนหนึ่งอีกด้วย
“ฮ่า ฮ่า ขอบคุณนะคะ!” หลานเสี่ยวถางไปรับมา “ฉันหาแจกันมาใส่ก่อนนะ!”
เฉียวโยวโยวเดินเข้าไปในตัวคฤหาสน์ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาว่า “ที่แท้ที่เธอบอกกับฉันว่าซื้อบ้านมาหลังหนึ่ง ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรเยอะนักหรอก ผลลัพธ์คืออย่างนี้นี่เอง ฉันมีความรู้สึกราวกับว่าเป็นคุณยายหลิวที่ได้พึ่งมาพบเจอโลกใบใหม่เลยนะเนี่ย!”
หลานเสี่ยวถางอดที่จะหัวเราะไม่ได้ “เอาน่า รีบไปเตรียมตัวเร็วเข้า ประเดี๋ยวพวกเราจะออกไปซื้ออาหารกัน วันนี้พวกเราจะทานหม้อไฟกันนะ น่าสนุกแน่!”
“ได้เลย!” เฉียวโยวโยวหันไปเอ่ยกับฟู้เจียนปอ “คุณตามสบายเลยนะคะ เวลาของฉันทั้งวันในวันนี้มอบให้กับเสี่ยวถางแล้วล่ะ!”
หลานเสี่ยวถางหัวเราะ “จริงสิ เจียนปอคะ ที่ชั้นสองทีห้องออกกำลังกายนะคะ ถ้าหากว่าคุณรู้สึกเบื่อแล้วละก็ ไปออกกำลังกายที่นั่นก่อนดูได้นะคะ เกรงว่าอีกประเดี๋ยวมูเฉินก็จะกลับมาแล้วล่ะค่ะ เมื่อถึงเวลานั้นแล้วพวกคุณก็จะสามารถพูดคุยกันได้แล้วละนะ”
“ครับผม” ฟู้เจียนปอพยักหน้าหงึกหงัก
หลานเสี่ยวถางพาเฉียวโยวโยวไปชมรอบคฤหาสน์อยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็หยิบโทรศัพท์และกุญแจรถ แล้วขับรถกันออกไปที่ร้านค้าแถวนี้แล้ว
ในตอนที่กำลังจับจ่ายใช้สอยอยู่นั้นเอง หลานเสี่ยวถางก็ได้รับสายโทรศัพท์จากสือมูเฉิน “เสี่ยวถางครับ คุณออกไปซื้อวัตถุดิบหรือเปล่าน่ะ? ซื้อมาเพิ่มสักสองเท่านะครับ วันนี้ยังมีแขกมาด้วยนะ”
หลานเสี่ยวถางอดที่จะยกยิ้มขึ้นที่มุมปากไม่ได้ “ยังมีใครอีกหรือคะ?”
สือมูเฉินเอ่ยว่า “นอกจากสีเกอแล้ว ก็ยังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งด้วยครับ เป็นคนที่โตมากับพวกเราเอง ชื่อว่าซูสือจิ่นครับ เธอพึ่งจะเรียนจบแล้วกลับมา ก่อนหน้านี้เรียนเกี่ยวกับการออกแบบ กำลังจะมาเพื่อมาช่วยพวกเราดูบ้านน่ะครับ”
“อ๋อ ได้สิคะ!” หลานเสี่ยวถางเอ่ย “เป็นสาวสวยหรือเปล่าคะเนี่ย?”
น้ำเสียงของสือมูเฉินแฝงไปด้วยความขบขันอยู่หลายส่วน “ถ้าหากว่าเป็นสาวสวย จะหึงหรือไงครับ?”
หลานเสี่ยวถางขบเม้มริมฝีปากไปมา “ไม่ใช่เสียหน่อยนะคะ ฉันก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง ถ้าอย่างนั้นแล้วฉันจะซื้อวัตถุดิบเพิ่มอีกสักหน่อยก็แล้วกันค่ะ”
หลังจากที่วางสายไปแล้ว หลานเสี่ยวถางและเฉียวโยวโยวทั้งสองคนจึงซื้อข้าวของมาหลายถุง ก่อนจะพากันหิ้วขึ้นรถไป แล้วมุ่งหน้ากลับไปที่คฤหาสน์
พึ่งจะถึงที่หน้าประตูคฤหาสน์ ก็เห็นสือมูเฉินที่พึ่งกลับมาพอดี เขาเดินเข้าไปหา ก่อนจะนำถุงในมือของหลานเสี่ยวถางไปถือแทน
เฉียวโยวโยวที่อยู่ทางด้านข้างเอ่ยขึ้นอย่างน่าสนใจว่า “ประธานสือนี่ใส่อกใส่ใจเสี่ยวถางจังเลยนะคะ!”
หลานเสี่ยวถางเขย่าแขนของเธอไปมา “โยวโยว ไม่ต้องเรียกประธานสืออะไรนี่หรอก”
เฉียวโยวโยวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นแล้วหลังจากนี้ฉันเรียกว่าพี่สือดีกว่า อย่างไรก็ตามเขาก็อายุมากกว่าพวกเรานี่เนอะ”
สือมูเฉินพยักหน้า “ครับ อยู่ที่นี่ไม่ต้องระมัดระวังหรือเกรงใจอะไรมากนักหรอก หลังจากนี้ถ้ามีเวลาว่างก็มาเที่ยวเล่นบ่อย ๆ สิครับ”
ฟู้เจียนปอขึ้นไปออกกำลังกายที่ชั้นบนอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเฉียวโยวโยวกลับมาแล้ว เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว จึงลงมาที่ชั้นล่าง ก่อนจะไปช่วยเธอเตรียมผักในครัว
ในตอนนั้นเอง สือมูเฉินลงมาจากชั้นล่าง ก่อนจะเอ่ยเรียกหลานเสี่ยวถาง “พวกเขามาถึงกันแล้วล่ะ”
หลังจากที่เขาพึ่งจะพูดจบ หลานเสี่ยวถางก็มองไปที่ด้านนอกของหน้าต่าง ฟู่สีเกอกำลังเดินมาพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่ง หญิงสาวคนนั้นสวยมาก ใบหน้างามหมดจด อีกทั้งสีหน้ายังดูสดใสเปล่งปลั่ง
“พี่เฉินคะ!” ในมือของซูสือจิ่นถือกล่องสวยงามใบหนึ่งเอาไว้อยู่ ก่อนจะวางกล่องนั่นไว้ทางด้านข้าง หลังจากนั้นก็ยื่นมือออกไป “ไม่เจอกันนานเลยนะคะ!”
สือมูเฉินยื่นมือออกไปกอดเธอเอาไว้ “อืม อวบขึ้นนะเนี่ย”
“นี่ พูดกับผู้หญิงแบบนี้หรือคะ?” ซูสือจิ่นใช้ศอกกระแทกไปที่สือมูเฉินครั้งหนึ่ง ก่อนที่สายตาจะตกกระทบลงไปมองยังหลานเสี่ยวถาง “นี่คือพี่สะใภ้หรือเปล่าคะเนี่ย?”
สือมูเฉินพยักหน้า “มาสิ ฉันจะแนะนำให้ได้รู้จักกัน”
พูดไป เขาก็ชี้ไปทางหลานเสี่ยวถางก่อนจะเอ่ยว่า “เสี่ยวถาง พี่สะใภ้ของเธอ” หลังจากนั้น ก็หันไปเอ่ยกับหลานเสี่ยวถางว่า “ซูสือจิ่น เล่นด้วยกันกับผม สีเกอ แล้วก็ชิงเจ๋อมาตั้งแต่เด็กจนโตเลยครับ”
หลานเสี่ยวถางพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะยื่นมือออกไป “คุณซู ยินดีที่ได้รู้จักคุณมากเลยนะคะ!”
“พี่สะใภ้คะ ไม่ต้องเกรงใจมากขนาดนี้หรอกค่ะ! เรียกฉันว่าสือจิ่นก็พอแล้วล่ะ!” ซูสือจิ่นยกยิ้ม ลักยิ้มบนใบหน้าทั้งสองข้างราวกับว่าเป็นคนช่างพูดเลยก็ไม่ปาน
“สือจิ่นอะไรกัน?” ฟู่สีเกอที่อยู่ทางด้านข้างปากเริ่มไม่สงบ “เสี่ยวถางครับ เรียกเธอว่าผัดผัก หรือไม่ก็ข้าวผัดผักก็พอแล้วล่ะ……”
“ไปเลยนะ!” ซูสือจิ่นยกขาขึ้น ก่อนจะถีบไปทางฟู่สีเกอครั้งหนึ่งอย่างรวดเร็ว
พูดไป เธอก็ยกกล่องของขวัญในมือให้กับหลานเสี่ยวถาง “ได้ยินมาว่าพี่เฉินแต่งงานแล้ว ฉันก็นึกสงสัยว่าใครกันที่เอาพี่เขาได้ลงคอ ฮ่า ฮ่า พี่สะใภ้คะ ของขวัญชิ้นนี้มอบให้พี่ค่ะ!”
พูดไป อีกทั้งยังเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยอีกด้วย
“ขอบใจจ้ะสือจิ่น!” หลานเสี่ยวถางเอ่ยถามขึ้นอย่างสนใจว่า “ข้างในคืออะไรหรือ?”
“แค่ก แค่ก ตอนนี้อย่าพึ่งเปิดออกนะคะ……” สีหน้าของซูสือจิ่นมีเลศนัยทันที “รอให้ถึงตอนกลางคืนก่อนแล้วค่อยว่ากันค่ะ!”
“คงไม่ใช่ของใช้ที่น่าสนใจอะไรหรอกใช่ไหม?” ฟู่สีเกอยืนศีรษะเข้ามาถาม
“เกี่ยวอะไรกับพี่ด้วยละคะ?” ซูสือจิ่นจ้องเขาอย่างเขม็งครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็หันไปเอ่ยกับหลานเสี่ยวถาง “พี่สะใภ้คะ รีบเก็บเร็วเข้า อย่าให้พี่สีเย็นเห็นนะ!”
“พี่สีเย็น?” หลานเสี่ยวถางอดที่จะร้องไห้และหัวเราะไม่ได้ ที่แท้ฟู่สีเกอก็ถูกตั้งฉายาเช่นนี้หรือเนี่ย?
แต่ทว่าก็เป็นเรื่องปกติมาก เขาเรียกหญิงสาวเขาก่อนว่าผัดผัก คนเขาจะปล่อยเขาไปได้อย่างไรกันละเนอะ?
ทั้งสามสี่คนพูดคุยหัวเราะและเดินเข้าไปข้างในกันแล้ว ในห้องครัว เฉียวโยวโยวได้ยินเสียงของการเคลื่อนไหว จึงเดินออกมาพร้อมกันกับฟู้เจียนปอ
ในตอนที่เธอเห็นฟู่สีเกอนั้นเอง สีหน้าบนใบหน้าก็แข็งเกร็งไปครู่นี้ หลังจากนั้นก็หันไปยิ้มกับหลานเสี่ยวถางว่า “เสี่ยวถาง ที่แท้ก็มีแขกคนอื่นด้วยอีกหรือเนี่ย?”
หลานเสี่ยวถางหนักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะแนะนำทั้งสองฝั่งให้รู้จักกันครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ดึงเฉียวโยวโยวไปเอ่ยว่า “เอาล่ะ โยวโยว เธอไปพักก่อนเถอะ มีเหตุผลอะไรที่ต้องให้แขกทำมาทำงานกัน?”
“โยวโยว ให้ผมทำดีกว่าครับ” ฟู้เจียนปอเอ่ยขึ้น “พวกผู้หญิงพักผ่อนกันไปเถอะครับ เรื่องแรงกำลังให้ผู้ชายทำถึงจะถูกนะ!”
“อย่างนั้นหรือคะ?” หลานเสี่ยวถางเอ่ย “เจียนปอคะ คุณก็พึ่งมาเป็นแขกที่บ้านของพวกเราครั้งแรกนะคะ……”
ในตอนนั้นเอง ซูสือจิ่นเดินเข้าไปหาฟู้เจียนปอ เธอพิจารณาเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากถามขึ้นมาอย่างสงสัยว่า “คุณฟู้คะ ดูเหมือนว่าฉันเคยเจอคุณที่ไหนเลย?”
“งั้นหรือครับ?” ฟู้เจียนปอหัวเราะ “เกรงว่าผมจะหน้าโหลละมั้งครับ!”
“ไม่นะคะ……” ซูสือจิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ก่อนหน้านี้คุณเรียกที่ลอนดอนหรือเปล่าคะ? มีครั้งหนึ่งที่ฉันเคยไปเที่ยวเล่นที่นั่น แล้วเข้าร่วมกิจกรรมกับเพื่อนนักเรียนด้วยกันคนหนึ่ง แล้วเคยเจอคุณนี่นั่น”
หัวใจของฟู้เจียนปอกระตุกในทันที รอยยิ้มค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปเป็นฝืดเคือง “ครับ ผมเรียนปริญญาเอกอยู่ที่นั่นครับ ตอนนี้จบแล้วเรียบร้อย คุณซูครับ บังเอิญจังเลยนะครับ!”
“ใช่ค่ะ บังเอิญมากเลย!” ซูสือจิ่นหันไปมองเฉียวโยวโยวครั้งหนึ่ง หลังจากนั้น ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมาอีก หมุนตัวแล้วหันไปเอ่ยกับหลานเสี่ยวถางว่า “พี่สะใภ้คะ พาฉันไปชมบ้านใหม่ของพี่หน่อยสิคะ!”
หลานเสี่ยวถางไร้ทางเลือก จึงทำได้เพียงแค่ให้ฟู้เจียนปอช่วยเหลือ หลังจากนั้นก็นำทุกคนไปชมห้อง
ในตอนที่หญิงสาวทุกคนรวมตัวกัน พูดคุยกันประเดี๋ยวด้วยกันสนิทสนมกันเสียแล้ว
ดังนั้นแล้ว ในตอนที่ชมห้องเสร็จแล้ว ซูสือจิ่นยืนอยู่ที่ระเบียงก่อนจะหันไปเอ่ยถามเฉียวโยวโยวว่า “โยวโยวคะ พี่บอกว่ากำลังเตรียมจะแต่งงานใช่ไหมหรือคะ? พี่กับเขาจะแต่งงานแบบสายฟ้าแลบหรือเปล่าคะ?”
เฉียวโยวโยวส่ายหน้า “ไม่นะจ๊ะ พวกเราอยู่ด้วยกันมานานหลายปีแล้วล่ะ อีกทั้งก็ยังรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กด้วยนะ”
ซูสือจิ่นตกตะลึงเล็กน้อย เธอเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “ก่อนที่เขาจะไปต่างประเทศ พวกพี่ก็อยู่ด้วยกันหรือคะ?”
เฉียวโยวโยวพยักหน้า “จ้ะ เมื่อก่อนฉันก็อยู่ต่างประเทศเหมือนกัน แต่ทว่าฉันจบมาก่อนเขาสองสามเดือนน่ะ ก็เลยกลับมาหางานก่อนแล้ว”
“อ๋อ” ซูสือจิ่นพยักหน้าหงึกหงัก คำที่อยากจะเอ่ยก็ไม่ได้เอ่ย