ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 193 เธอเป็นของขวัญจากวันเวลา
พอหลานเสี่ยวถางได้ยินในใจก็รู้สึกประหลาดใจ นอกจากที่เธอรู้ว่าหลานเซี่ยวเฉิงนั้นมียศทหารเป็นอะไร นอกจากนั้น ที่เกี่ยวกับหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบของเขาจริงๆแล้ว และเกี่ยวกับการสนับสนุนทั้งหมดก็ดี อันที่จริงแล้วไม่รู้อะไรเลย
แต่เธอที่จะได้ยินมาจากปากของเขาอย่างชัดเจนประมาณว่าจะตามใจและเอ็นดู
นั่นเป็นสิ่งที่เธอเฝ้ารออยากได้มันมาตลอด เหมือนกับอารมณ์ที่ถูกปกป้อง !
เธอพยักหน้า และอดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก : “ ได้ค่ะ พ่อ ”
เมื่อได้ยินหลานเสี่ยวถางถางเรียกตัวเองแบบนี้อีกครั้ง สิ่งที่ยับยั้งมาโดยตลอด หลานเซี่ยวเฉิงที่ไม่แสดงความรู้สึกออกมาง่ายๆก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะไม่รู้ตัว และก้มตัวลงไปอุ้มหลานเสี่ยวถางที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย จากนั้นก็หมุนไปรอบๆ
หลานเสี่ยวถางโตมาขนาดนี้แล้ว นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ถูกอุ้มแบบนี้ ทันใดนั้นการหมุนไปรอบๆมันก็ทำให้รู้สึกกลัวบ้างเล็กน้อยโดยสัญชาตญาณ แต่พอหลังจากชั่วขณะนั้น เธอก็รู้สึกมีความสุขเป็นพิเศษอีกครั้ง
แต่ทว่า หลังจากที่หลานเซี่ยวเฉิงทำแบบนี้ไป ก็รู้สึกตะลึงชั่วขณะ
ถึงแม้ว่าหลานเสี่ยวถางจะเป็นลูกสาวแท้ๆของเขา แต่ถึงอย่างไรลูกสาวก็อายุ 20 กว่าแล้ว ไม่ใช่เด็กๆอีกต่อไปแล้ว และเขาคาดไม่ถึงว่าเมื่อกี้จะมองเธอเป็นตอนเด็กๆที่อุ้มแล้วหมุนไปรอบๆ !
ถึงอย่างไร ทันทีหลังจากนั้นมันก็ทำให้เขารู้สึกปล่อยวางอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าหลานเสี่ยวถางจะอายุ 20 กว่าแล้วก็ตาม แต่อย่างไร ในหัวใจของเขา เธอก็ยังคงเป็นเด็กน้อยเสมอ !
เพียงแค่ว่าทั้งสองคนไม่เคยมีประสบการณ์อยู่ด้วยกันแบบนี้มาก่อน เพราะฉะนั้น ตอนที่หลานเซี่ยวเฉิงวางหลานเสี่ยวถางลง ทั้งสองคนก็ไม่รู้ว่าควรที่จะพูดอะไรต่อ
ดูเหมือนว่าในใจจะมีคำถามมากมาย แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะเลือกคำถามไหนมาถามดี
ในที่สุดหลานเซี่ยวถามก็มาหนึ่งประโยคว่า : “ ถางถาง หิวหรือยัง ? พ่อพาลูกไปกินไหม ?”
อันที่จริงหลานเสี่ยวถางเพิ่งกินข้าวมาจากโรงพยาบาลได้ไม่นาน ดังนั้น เธอก็ส่ายหัว : “ ไม่หิวค่ะ ”
แต่พอหลังจากที่พูดจบ เธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ก็เลยรีบถามไปว่า : “ พ่อคะ พ่อหิวแล้วใช่ไหม ?”
หลานเซี่ยวเฉิงส่ายหัว : “ พ่อก็ไม่หิว ”
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลากินข้าว ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามเขาจะปฏิบัติตามเวลาที่วางเอาไว้อย่างเอาจริงเอาจัง เพราะฉะนั้นสรีระบนร่างกายก็เหมือนกันโดยสัญชาตญาณที่ร่วมมือกัน
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองคนก็กลับมาเงียบขรึมอีกครั้ง
หลานเสี่ยวถางรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แล้วเธอก็เงยหน้ามองไปยังหลานเซี่ยวถางโดยที่ไม่กระพริบตา และนึกถึงคำพูดที่รับปากกับแม่เอาไว้ก่อนหน้านี้ จึงพูดว่า : “ พ่อคะ แม่บอกว่าอยากเห็นพวกเราถ่ายรูปด้วยกัน ”
เมื่อหลานเซี่ยวเฉิงได้ยินแบบนี้ ใบหน้าที่แสดงออกก็เป็นประกายขึ้นมาในทันที ดังนั้น เขาก็เลยนั่งลงใกล้ข้างๆของหลานเสี่ยวถาง : “ ถางถาง ใช้โทรศัพท์ของลูกถ่ายนะ ข้อความของพ่อส่งไปไม่ถึงโทรศัพท์ของแม่ ”
หลานเสี่ยวถางก็อดไม่ได้ที่จะเจ็บปวดในใจเล็กน้อย วันนี้ที่เห็นฐานนะของพ่อ ในที่สุดเธอก็เข้าใจสักที ว่าทำไมคุณตาของตัวเองถึงได้ต่อต้านพ่อแม่ของพวกเขา
ในทำนองเดียวกัน เป็นเพราะฐานนะของพ่อ เขาก็เลยไม่สามารถติดต่อกับเย่เหลียนอี มันก็เป็นไม่ได้ที่จะไปต่างประเทศโดยที่ไม่บอกไม่กล่าว จนกระทั่ง ทั้งสองคนโดนแยกจากกันไปยังสองที่มานานหลายปี แม้กระทั่งจะส่งข้อความ ก็ทำได้แค่ผ่านมือของคนอื่น
หลานเสี่ยวถางหยิบโทรศัพท์ออกมา ปรับไปที่โหมดเซลฟี่ ทันใดนั้น รูปของพ่อและลูกสาวก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์
เมื่อใกล้กัน หลานเสี่ยวก็เห็นใบหน้าที่คล้ายกันของทั้งสอง ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปากและพูดกับหลานเซี่ยวถางว่า : “ พ่อคะ อันที่จริงหนูเห็นว่า พ่อกับแม่ก็มีความเหมือนกันอยู่บ้างนะคะ !”
หลานเซี่ยวหเฉิงก็เห็นด้วยเลยพูดว่า : “ บางทีนี่อาจจะเป็นตำนานที่กล่าวกันว่าคู่สามีภรรยาที่หน้าเหมือนกันก็ได้ !”
ทั้งสองปรับมุมให้เหมาะสมแล้ว หลานเสี่ยวถางก็ถ่ายรูปอยู่หลายใบ จากนั้น รูปทั้งหมดก็ส่งไปให้ยังเย่เหลียนอี
บางทีเย่เหลียนอีอาจจะรออยู่หน้าโทรศัพท์ก็ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อกี้ที่หลานเสี่ยวถางส่งรูป เธอก็ตอบข้อความกลับมาในทันที : “ ถางถาง เหลือพื้นที่ข้างๆเอาไว้ให้แม่นะ เดี๋ยวแม่ถ่ายเซลฟี่ จากนั้นแม่จะใช้ photoshop ปรับแต่งตัวเองเข้าไป !”
ภาพถ่ายครอบครัวของทั้งสามคน คิดไม่ถึงว่าจะใช้วิธีแบบนี้ ถึงแม้จะปวดใจ แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นความสุขอีกแบบนี้
หลานเสี่ยวถางถ่ายใหม่อีกรูปแล้วส่งให้เย่เหลียนอี แต่พอหลังจากผ่านไป 10 นาที เธอก็ส่งรูปถ่ายที่ถ่ายด้วยกันมา
ถึงได้ว่าเป็นภาพแรกในครอบครัวของพวกเขา
ต่อจากนั้น เย่เหลียนอีก็ส่งความมาว่า : “ ถางถาง น่าเสียดายที่น้องชายของลูกไปอิสราเอล และยังไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ ”
หลานเสี่ยวถางก็ตกใจ อดไม่ได้ที่จะมองไปทางหลานเซี่ยวเฉิง
เธอทำไมถึงไม่รู้ว่าตัวเองมีน้องชาย แล้วถ้าอย่างนั้น น้องชายของเธอเป็นพ่อแม่คนเดียวกันไหม ?
หลานเซี่ยวเฉิงถอนหายใจ : “ แม่ไม่ได้บอกลูกหรอ ?”
เขาก็เลยอธิบายต่อ : “ ในตอนแรก หลังจากที่พ่อติดต่อเธอได้ มีครั้งหนึ่งที่ต้องไปปฏิบัติหน้าที่ที่ต่างประเทศ ในที่สุดพ่อก็ได้เจอเธอ ในตอนนั้นก็มีน้องชายของลูก แต่เสียดายที่เธอตั้งท้องได้ไม่นาน ก็ถูกคุณตาของลูกพากลับไป โชคดีที่ตอนนั้นเธอไม่ได้มีอาการของคนท้องที่ชัดเจนมากนัก ถ้าไม่อย่างนั้น น้องชายของลูกก็อาจจะไม่ได้เกิดมา ”
หลานเสี่ยวถางก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง : “ แล้วหลังจากนั้นละคะ ?”
หลานเซี่ยวเฉิง : “ หลังจากนั้น แม่ของลูกนั้น เพื่อที่จะไม่ให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองท้อง ก็เลยค่อยๆปรับสไตล์ในการแต่งตัว แล้วก็ไม่กล้ากินเยอะ จนกระทั่งแบรนด์ออเนอร์ก็เกิดมีปัญหา ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง เธอก็ยืนหยัดที่จะเข้าร่วม จนกระทั่งตั้งท้องได้ 7 เดือนกว่าคุณตาของลูกถึงได้รู้ ในตอนนั้นน้องชายของลูกก็เป็นรูปเป็นร่างอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว และไม่สามารถที่จะทำแท้งได้แล้ว จึงได้รับการยินยอมให้คลอดออกมา ”
พอหลานเสี่ยวถางได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้ที่จะตกใจและหวาดกลัว : “ แล้วต่อมาคุณตาทำยังไงกับน้องชายของหนู……”
“ เนื่องจากเป็นเลือดเนื้อของตัวเอง หลังจากที่คลอกมา เขาก็ชอบมาก ” หลานเซี่ยวเฉิง : “ แต่เป็นเพราะว่าตอนนั้นแม่ของลูกไม่ได้ควบคุมอาหาร ตอนที่คลอดออกมานั้นร่างกายก็เลยอ่อนแอเล็กน้อย ชอบไม่สบาย ดังนั้น คนรอบตัวก็เลยยิ่งรักและเอ็นดูมากขึ้น ”
เขาหลับตาลง และรู้สึกโทษตัวเองเล็กน้อย : “ ทั้งลูกสาวและลูกชายของพ่อ ไม่มีวันไหนเลยที่ได้ทำหน้าที่เป็นพ่อได้อย่างเต็มที่ แต่กลับตรงกันข้ามให้แม่ของลูกนั้นเป็นคนพยายามเพื่อพวกเรามาโดยตลอด ”
หลานเสี่ยวถางอดไม่ได้ที่จะกอดไปที่แขนของหลานเซี่ยวเฉิง : “ พ่อคะ หนูคิดว่าเวลาที่แม่ทำเรื่องแบบนี้ แน่นอนว่าในใจก็ต้องมีความสุข ก่อนหน้านี้หนูไปสหรัฐอเมริกา ก็เห็นว่าแม่มีชีวิตที่ดีและมีความสุขมาก หนูคิดว่าในอนาคตพวกเราจะได้ต้องกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเป็นครอบครัวอีกครั้ง !”
หลานเซี่ยวเฉิงพยักหน้า แล้วก็ลูบไปบนหัวของหลานเสี่ยวถาง ทันใดนั้นก็ดูเหมือนว่าจะนึกอะไรอย่างได้ เขาก็เลยขมวดคิ้ว : “ ใช่สิ ถางถาง พ่อได้ยินมาจากเหลียนอีว่าลูกแต่งงานแล้ว และยังจะพาสามีมาด้วย……”
พอหลานเสี่ยวถางได้ยินว่าเอ่ยถึงสือมูเฉิน ก็อดไม่ได้ที่จะหายใจติดๆขัดๆ
เธอกลอกตาและลุกลี้ลุกลน : “ เขามีธุระ……”
จนถึงตอนนี้ เธอก็ยังไม่รู้ว่าสือมูเฉินนั้นมีอะไรที่ติดค้างกับคุณพ่อ และอีกอย่าง ก็ไม่รู้ว่าหลังจากวันนี้ไป เธอกับสือมูเฉินนั้นยังจะถือว่าเป็นสามีภรรยากันอยู่อีกหรือเปล่า
แต่ทว่า วันนี้ถือว่าเป็นวันที่ดีที่ตัวเองได้เจอกับคุณพ่อ แล้วจะปล่อยให้เรื่องแบบนี้ของตัวเองมาส่งผลกระทบต่อจิตใจและอารมณ์ของกันและกันได้ยังไงกัน และจะปล่อยให้พ่อเป็นห่วงตัวเองได้ยังไงกัน ?
หลานเซี่ยวเฉิงเห็นสีหน้าท่าทางของหลานเสี่ยวถาง ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องมีอะไรผิดปกติ
เขาให้ระดับสายตามองตรงไปที่หลานเสี่ยวถาง มองและถามเธออย่างตรงๆ : “ ถางถาง เขารังแกลูกหรือเปล่า ? แม่ของลูกอยู่ต่างประเทศมันไม่สะดวก แต่ทว่าพ่ออยู่หนิงเฉิง ยังไม่เคยมีใครกล้าที่จะไม่เคารพครอบครัวของพ่อ ถ้าเกิดว่าเขารังแกลูก พ่อจะเป็นคนสั่งสอนเขาเอง !”
หลานเสี่ยวถางถึงกับช็อก นี่มันคือความรู้สึกของครอบครัวไหมนะ ? นี่มันเหมือนกับแม่ในตอนนั้นเลย แทบจะไม่ต้องถามหาสาเหตุ ก็เชื่อใจในลูกสาวของตัวเองโดยที่ไม่มีปัจจัยอื่นๆเลย
เธอรีบส่ายหัว : “ ไม่ใช่ค่ะพ่อ เขาไม่ได้รังแกหนู เพียงแค่ว่าช่วงนี้พวกเราทะเลาะกันเรื่องไม่เป็นเรื่องนิดหน่อยค่ะ พ่อไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ระหว่างสามีภรรยา เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทะเลาะกัน ถึงอย่างไรพวกเราก็จะดีกันในไม่ช้าค่ะ !”
หลังจากที่หลานเซี่ยวเฉิงได้ยินแบบนี้ ความกังวลบนใบหน้าก็ลดลงมา ถึงอย่างไรก็พูดต่ออีกว่า : “ เสี่ยวถาง ตอนนี้ลูกเป็นคนที่มีพ่อมีแม่นะ ไม่ว่าจะเจอกับเรื่องอะไร ด้านหลังของลูกก็จะมีการสนับสนุนที่แข็งแกร่ง เพราะฉะนั้น อย่าลำบากใจตัวเอง เมื่อเช้าตอนที่ถามแม่ของลูกก็ไม่ได้พูดอะไรถึงสามีของลูกเลย ลูกบอกพ่อหน่อยสิว่าสามีของลูกเป็นคนยังไงกัน ? หากว่าเป็นคนไม่ดี มันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องใหญ่อะไรเราก็แค่ไม่เอา เดี๋ยวพ่อจะหาคนที่ดีกว่านี้ให้ลูกเอง หรือว่า ถ้าลูกไม่อยากแต่งพ่อจะเป็นคนเลี้ยงลูกไปตลอดชีวิตเองไม่มีปัญหา !”
หลานเสี่ยวถางรู้ซาบซึ้งจนแก้มร้อนผ่าวขึ้นมา เธอพยักหน้า : “ ค่ะ ”
หลังจากที่พูดจบ เธอก็เริ่มคิดอีกครั้งเกี่ยวกับการอธิบายสือมูเฉิน
ถ้าหากว่าวันนี้ก่อนที่จะเกิดเรื่องนั้นขึ้น เธอกับเขา บางทีอาจะเป็นคำชื่นชมทั้งหมด
แต่ทว่าภาพในวันนี้ มาจนถึงตอนนี้ พอเธอคิดขึ้นก็รู้สึกตัวสั่นเล็กน้อย ไม่กล้าที่จะเชื่อ และไม่สามารถที่จะหลอกตัวเองและบอกกับตัวเองว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องปลอมที่เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น……
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆและพูดว่า : “ เขาเป็นคนที่ดีมากๆเลยค่ะ ทั้งเป็นผู้ใหญ่ ฉลาดมีวิสัยทัศน์ สุขุมและใจเย็น เขาเป็นห่วงเป็นใยหนูมาก ช่วยเหลือหนูอย่างมาก……”
หลานเซี่ยวเฉิงถึงกับประหลาดใจ : “ แล้วทำไมวันนี้พวกลูกถึงได้……”
หลานเสี่ยวถางส่ายหัว : “ พ่อคะ ยังไม่ถามได้ไหมคะ ?”
หลานเซี่ยวเฉิงมองไปยังสายตาที่วิงวอนของหลานเสี่ยวถาง ทันใดนั้นก็รู้สึกใจละลายในทันที
เขารีบพูดปลอบเธอ : “ โอเค พ่อไม่ถามแล้ว ! ” น้ำเสียงเอ็นดูที่ไม่เคยมีมาก่อน
พอพูดจบ เขาก็จัดผมของหลานเสี่ยวถางอีกครั้ง และพูดว่า : “ ถางถาง ถ้าอย่างนั้นบอกพ่อหน่อยว่า 25 ปี ที่ผ่านมา ลูกผ่านมาได้ยังไง ”
เป็นเพราะว่า เช้านี้เขาเพิ่งจะจบจากปฏิบัติการลับนั้นมา ดังนั้น ถึงเพิ่งได้รู้ข่าวเกี่ยวกับหลานเสี่ยวถาง ด้วยเหตุนี้ หลานเซี่ยวเฉิงจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอดีตที่ผ่านมาของหลานเสี่ยวถางเลย
เขาบอกว่า : “ รอลูกเล่าจบแล้ว พ่อจะพาลูกไปดูกองกำลังทหารป้องกันประเทศ ให้พวกลูกน้องของพ่อรู้ว่านี่คือลูกสาวของหลานเซี่ยวเฉิง ! และลูกเป็นเป้าหมายที่เขาจะต้องปกป้อง !”
หลานเสี่ยวถางตกใจกับโมเมนตัมในคำพูดของเขา และในใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
เธอเริ่มเล่าประสบการณ์ของเธอตั้งแต่จำความได้ จนกระทั่งมาถึงตอนที่แต่งงานกับสือมูเฉิน
หลายครั้งที่หลานเซี่ยวเฉิงโกรธมากเมื่อได้ยินมัน หมัดที่กำก็ถูกบีบแน่นมากขึ้น และเสียงปิดเครื่องก็ลั่นดังเอี๊ยด
แต่เมื่อเขาเห็นหลานเสี่ยวถางที่อยู่ตรงหน้าอยู่ในสภาพที่ดี ทันใดนั้น ก็รู้สึกอีกครั้งว่า ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านั้นก็เป็นเหมือนกับวันเวลาที่มอบของขวัญที่ดีที่สุดให้กับเขา
พอหลานเสี่ยวถางพูดจบ หลานเซี่ยวเฉิงก็จะอุ้มเธออีกครั้ง เธอก็อดไม่ได้ที่จะอาย : “ พ่อคะ หนูเดินเองได้ค่ะ ระวังหน่อยก็ได้นะคะ ”
เพียงแค่ว่า หลานซี่ยวเฉิงที่ซึ่งปกติคุ้นเคยกับการนองเลือดและแม้กระทั่งความตาย หลานเซี่ยวเฉิงในขณะนั้นรู้สึกแค่ว่าการบาดเจ็บที่เท้าของหลานเสี่ยวถางนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งสองก็ถกเถียงกัน แล้วก็ยอมถอยให้กันคนละก้าว
ผลสรุปสุดท้ายก็คือ หลานเซี่ยวเฉิงก็ขี่รถจักรยานคันเก่าของเขา และพาหลานเสี่ยวถางไปยังประตูหลังของลานจอดรถ จากนั้นก็พาเธอไปในเขตทหาร
หลานเสี่ยวถางนั่งอยู่เบาะหลังของรถจักรยาน เมื่อได้ยินเสียงเอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยด ของรถจักรยาน ก็อดไม่ได้ที่จะแอบยิ้มมุมปาก
หลานเสี่ยวถางโอบเอวของหลานเซี่ยวเฉิงเอาไว้ ใบหูก็แนบติดกับแผ่นหลังอันกว้างของพ่อ ฟังเสียงการเต้นหัวใจของเขา ก็รู้สึกสบายใจเป็นพิเศษ