ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 199 ลูกผู้ชายไม่หลั่งน้ำตาง่าย ๆ
มีหยาดน้ำตาของเขาไหลรินออกมาจากดวงตา สือมูเฉินนั่งอยู่อย่างนั้นบนโต๊ะหนังสืออยู่นานมาก ตลอดจนกระทั่งเป็นเพราะว่าไม่ได้ทานข้าวมาทั้งวัน กระเพาะก็เริ่มแสบขึ้นมาแล้ว เขาถึงมีสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว
เขาเดินไปที่ห้องน้ำ วักน้ำเย็น ๆ มาล้างใบหน้า หลังจากนั้น หยิบกุญแจรถ ออกจากบ้านไป
โจวเหวินซิ่วพึ่งกลับจากต่างประเทศมา ก็ได้รับสายโทรศัพท์จากสือมูเฉิน
สือมูเฉินเอ่ย “แม่ครับ ผมอยากทานบะหมี่หวานของจางจี้ แม่อยู่ที่ไหนครับ ผมจะไปรับแม่ตอนนี้เลย”
โจวเหวินซิ่วเอ่ย “ตอนเช้าแม่กลับไปที่หนิงเฉิงแล้ว คิดว่าพวกเธอคงจะไม่อยู่บ้านกัน ดังนั้นก็เลยไปบ้านเพื่อนแล้ว เดี๋ยวตอนนี้แม่จะส่งที่อยู่ไปให้ลูกนะ”
สือมูเฉินได้รับที่อยู่มาแล้ว ขับรถไปหา ก่อนจะไปรับโจวเหวินซิ่วมา หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าตรงไปที่จางจี้
ในรถ โจวเหวินซิ่วสบตามองบุตรชายของตนเองครั้งหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “มูเฉิน แค่พวกเราสองคนที่ไปทานข้าวกันหรือ? ทำไมไม่เห็นเสี่ยวถางแล้วล่ะ?”
สือมูเฉินขมวดคิ้วแน่น “ขอไม่เอ่ยถึงเธอก่อนนะครับ”
โจวเหวินซิ่วพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาอีกว่า “ทำไมล่ะ? ทะเลาะกันหรือไง? ไม่เป็นไรนะ มีสามีภรรยาคู่ไหนบ้างล่ะที่จะไม่ทะเลาะกัน เมื่อก่อนแม่กับพ่อของลูกก็เคยทะเลาะกันบ่อย ๆ ……”
“แม่ครับ ทานที่จางจี้แล้ว พวกเราค่อยไปเที่ยวที่บ้านเก่ากันสักรอบนะครับ” สือมูเฉินพูดแทรกประโยคของโจวเหวินซิ่ว
โจวเหวินซิ่วได้ฟังออกแล้วว่าเขาไม่อยากที่จะเอ่ยถึงมันแล้วจริง ๆ เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว จึงพยักหน้า ก่อนจะไม่ได้เอ่ยอะไรต่อไปอีกเลย
ทั้งสองคนมาถึงที่จางจี้แล้ว เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเจ้าของร้านของจางจี้นั้นคิดไม่ถึงว่าคนที่มีราศีเช่นนี้จะมาที่ร้านเล็ก ๆ ของพวกเขา ดังนั้นแล้ว ในตอนที่เอ่ยทักทาย แม้กระทั่งน้ำเสียงก็แปรเปลี่ยนไปเป็นตื่นเต้นเล็กน้อย
ในตอนนั้นเอง หญิงสาวที่ดูแลเก็บกวาดโต๊ะหันไปมองสือมูเฉิน ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง แทบจะไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่เคยเห็นผ่านทางโทรทัศน์ จะมาที่นี่ได้
ถึงแม้ว่าบรรยากาศโดยรอบจะมีคนมองมาอยู่ไม่น้อย แต่ทว่า สือมูเฉินก็ยังคงรับประทานอาหารที่จางจี้กับโจวเหวินซิ่วด้วยท่าทีเรียบเฉยจนเสร็จ ก่อนจะคิดเงินและจากไปแล้ว
บ้านเก่าเมื่อก่อนของตระกูลสือ เป็นเพราะว่าก่อนสร้างขึ้นก่อนที่หนิงเฉิงจะสร้างใหม่ รอบข้างจึงเปลี่ยนไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นแล้ว ตระกูลสือเองก็ขายบ้านเก่าไปให้กับทางรัฐบาล ให้พวกเขาได้เข้ามาก่อสร้างไปแล้ว
ตอนนี้ สือมูเฉินพาโจวเหวินซิ่วเข้าไป นอกจากบรรยากาศบางเบาที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวเมื่อก่อนออกมาได้ อย่างอื่นนอกเหนือจากนั้น รูปร่างในตอนนั้นก็แทบจะไม่หลงเหลืองเค้าโครงเอาไว้เลย
สือมูเฉินยืนอยู่ที่สถานที่ที่เดิมเป็นสวนดอกไม้ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับโจวเหวินซิ่วว่า “แม่ครับ เมื่อก่อนผมชอบเล่นซ่อนแอบกับแม่ตรงนี้มากที่สุดเลย ในตอนนั้น ถูกดอกกุหลาบที่แม่ปลูกเอาไว้ทิ่มเต็มเลย”
นัยน์ตาของโจวเหวินซิ่วแปรเปลี่ยนไปเป็นเข้มขึ้นหลานส่วนเล็กน้อย “ใช่น่ะสิ ลูกในตอนเมื่อก่อนน่ะ ซนมากกว่าพี่ชายของลูกอีกนะ มีหลายครั้งที่วิ่งมั่วไปทั่ว พวกเราตามหาไม่เจอ ต่างก็พากันตกใจกันหมดเลย”
สือมูเฉินพยักหน้าขึ้นลง “ในตอนนั้น แม่ก็ยังรักผมมากสินะ”
โจวเหวินซิ่วฟังความหมายที่อยู่ในประโยคนี้ของเขาออก สบตามองสือมูเฉินด้วยสายตาสงสัยเล็กน้อยครั้งหนึ่ง แต่ทว่า เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมาอีก อีกทั้งยังคงยืนอยู่อย่างนั้นในที่ที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่หนึ่งครอบครัวสี่คนด้วยกันเมื่อก่อน ยืนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
เนิ่นนาน สือมูเฉินถึงหันศีรษะกลับไปยิ้มให้โจวเหวินซิ่วครั้งหนึ่ง “แม่ครับ ยืนเมื่อยหรือยัง? พวกเรากลับบ้านกันเถอะครับ!”
เดิมหัวใจของโจวเหวินซิ่วเต็มไปด้วยความสงสัยที่ไม่สงบ ในตอนที่กำลังมองสือมูเฉินที่กำลังยิ้มอยู่ในตอนนี้นั้น จู่ ๆ ก็มลายหายไปไม่น้อย เธอพยักหน้า “ได้สิ”
ทั้งสองคนใช้เวลาในการเดินทางราวสี่สิบนาทีจนถึงบ้าน
พึ่งถึงบ้านไม่เมื่อครู่นี้เอง โจวเหวินซิ่วมองไปรอบบริเวณ ก่อนจะเอ่ยถามว่า “มูเฉิน เสี่ยวถางไปทำงานแล้วหรือ?”
“เธอไม่อยู่ครับ” สือมูเฉินสบตามองโจวเหวินซิ่วอย่างลึกซึ้ง “เธอไม่อยู่ ค่อยสะดวกขึ้นมาหน่อย”
โจวเหวินซิ่วสงสัย “ทำไมหรือ?”
สือมูเฉินไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับเดินเข้าไปในห้องหนังสือ ก่อนจะหยิบข้อมูลที่ได้รับเมื่อครู่นี้ออกมา ถ่ายเอกสารมันออกมาทั้งหมด หลังจากนั้นก็เดินไปที่ห้องรับแขก แล้วรินน้ำให้โจวเหวินซิ่วหนึ่งแก้ว หลังจากนั้น ก็วางเอกสารข้อมูลลงบนโต๊ะตัวเล็กลง
เขายืนอยู่ที่ด้านหน้าของโต๊ะตัวเล็ก ร่างทั้งร่างที่แทบจะเหนื่อยล้ากลับตื่นตระหนกขึ้นมาทันที หลังจากนั้น ก็เบนสายตาไปสบตากันกับโจวเหวินซิ่วแล้วเอ่ยว่า “แม่ครับ บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะเรียกแม่แบบนี้แล้วนะครับ”
โจวเหวินซิ่วตกตะลึงในทันที หัวใจอดไม่ได้ที่จะไม่สงบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “มูเฉิน ลูกพูดอะไรน่ะ?”
สือมูเฉินชี้ไปที่เอกสาร “แม่ดูเองเถอะครับ”
โจวเหวินซิ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบเอกสารขึ้นมา ในตอนที่มองเห็นหน้าแรกนั้นเอง สีหน้าทั้งหมดก็แปรเปลี่ยนไปแล้ว
เธอไม่กล้าอ่านให้ละเอียดมากนัก แต่ทั้งยังรีบเปิดหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งเปิด มือทั้งมือก็ยิ่งสั่นเทาอย่างรุนแรง จนมาถึงหน้าสุดท้าย เธอแทบจะมองดูมันแค่ครู่เดียวเท่านั้น ก็โยนเอกสารไปทางด้านข้างเสียแล้ว
“ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วยครับ?” สือมูเฉินคุกเข่าลง ก่อนจะประสานสายตาในระดับเดียวกันแล้วสบตามองนัยน์ตาของโจวเหวินซิ่ว “จนถึงตอนนี้ ผมก็เข้าใจแล้วล่ะ แม่ไม่ได้หวังที่จะให้หลานเล่อซินเข้ามาแทนที่ แต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบเสี่ยวถาง แต่ต้องการคิกอยากจะให้ผู้หญิงที่อยู่ข้างกายของผมแยกออกจากกันแทน! ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวถางก็ดี หรือว่าชื่อเสี่ยวเฉียว หรือว่า ชื่อเสี่ยวเหม่ย เสี่ยวฮวา สรุปแล้ว ขอเพียงแค่มายืนอยู่ที่ข้างกายผม แม่ก็คิกที่จะแยกและกันให้ออกไป ใช่หรือเปล่าครับ?!”
ร่างทั้งร่างของโจวเหวินซิ่วแข็งค้าง ไม่ได้พยักหน้า แต่ก็ไม่ได้ยอมรับ
สือมูเฉินเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “แม่คิดอยากที่จะทำลาย ก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้หญิงที่อยู่ข้างกายผมเท่านั้น ที่แม่คิดอยากจะทำลาย นั่นก็คือผมมากกว่า!”
ร่างของโจวเหวินซิ่วเริ่มสั่นสะท้านเล็กน้อยแล้ว สือมูเฉินมองเห็นได้อย่างชัดเจน ดวงตาของเธอมีความหวาดกลัว หลบเลี่ยง อีกทั้งยังมีสีหน้าซับซ้อนมากมายหลากหลายปนอยู่ด้วย แต่ทว่า กลับไม่มีความรู้สึกผิดหรือสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย
จู่ ๆ เขาก็คิดอยากที่จะหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ลูกกระเดือกจึงขยับไปมา สือมูเฉินหัวเราะออกมาหลายต่อหลายครั้ง
แต่ทว่า หลังจากที่หัวเราะไปแล้ว หัวใต้หัวใจกลับมีความเจ็บปวดและเศร้าโศกเข้มข้นตีตื้นขึ้นมาในทันที ทีละเล็กทีละน้อย สามารถทำให้กลืนกินคนเข้าไปได้
เขาสบตามองโจวเหวินซิ่ว ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาทีละคำทีละประโยคว่า “จนถึงตอนนี้ ผมถึงรู้ แม่เกลียดคนทุกคนรอบตัวที่ดีต่อผมทั้งหมด คนที่ผมชอบ คนที่อยู่เคียงข้างผม ล้วนแล้วแต่เกลียดผมเป็นอย่างมากแล้วทุกคน! คนที่แม่เกลียดมากที่สุด นั่นก็คือผมเอง!”
พูดจบ ทั้งห้องรับแขกก็นิ่งเงียบ ราวกับว่าหากมีเข็มตกลงมาก็สามารถได้ยิน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานมากแค่ไหนแล้ว ในที่สุดแล้วโจวเหวินซิ่วก็มีปฏิกิริยาตอบกลับมาแล้ว
เธอพยักหน้า ใบหน้าและแก้มเป็นชั้น ๆ แปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว
เธอเอ่ยปากขึ้นมาว่า “ไม่ผิด แม่เป็นคนวางยาเอง แม่เป็นคนให้กุญแจกับยายหนูเล่อซินก่อนเอง หลังจากนั้นก็มาหา บอกเธอ ขอเพียงแค่หลังจากที่แม่ออกไปแล้ว เธอก็ดื่มเครื่องดื่มในห้องรับแขกที่มียาอยู่ลงไป ในขณะเดียวกัน ก็นำยาใส่ลงไปในเครื่องดื่ม ก็สามารถครอบครองลูกได้แล้ว แม่ช่วยสร้างสะพานให้เธอเอง แล้วเธอก็ทำไปตามนั้น”
โจวเหวินซิ่วเอ่ยขึ้นมาต่อว่า “หลังจากนั้น แม่ก็ติดต่อกับเพื่อนสมัยก่อนของแม่ ให้สะกดรอยตามเสี่ยวถาง ให้ถ่ายภาพเธอกับหันจื่ออี้ที่ทานข้าวด้วยกันมาเตรียมใช้งาน”
“วันนั้นในตอนที่ลูกกลับมาแล้ว แม่ก็คำนวณแล้วว่าคงจะได้เวลาแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงจัดแจงให้คนโทรหาเสี่ยวถาง บอกเธอไป ว่าที่บ้านไฟไหม้ เพื่อที่จะให้เธอรีบกลับมาที่บ้านแล้วมาพบกับเรื่องบนเตียง ในขณะเดียวกัน แม่ก็ส่งคนลงไปรออยู่ที่ชั้นล่าง รอให้เสี่ยวถางออกมา แล้วก็ตระเตรียมผู้ชายอีกคนหนึ่งเอาไว้ เพื่อที่จะทำให้เธอกับลูกนั้นตัดขาดกันอย่างสมบูรณ์”
“เพียงแต่ แม่คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่เธอออกมาแล้ว ก็ขับรถไปแล้ว ขับเร็วอย่างบ้าคลั่ง คนที่แม่เตรียมเอาไว้ก็ใช้การไม่ได้แล้ว กลับเห็นว่าเธอกับหันจื่ออี้อยู่ด้วยกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็เลยใส่สีตีไข่ไปว่าพวกเธอนั้นเป็นรักสามเส้า”
“อีกทั้งยังมีผู้ชายของหลานเล่อซินอีก ก็เป็นคนที่แม่จัดเตรียมเอาไว้หลังจากที่รู้มาว่าเธอถูกลูกไล่ออกมาแล้ว เป็นแผนการทั้งหมด” โจวเหวินซิ่วยิ้มเย็น “แม่จะให้หลานเล่อซินมาเป็นลูกสะใภ้ได้อย่างไรกัน? สี่ปีก่อน เธอก็นอนกับผู้ชายคนนั้นแล้ว ผู้หญิงแบบนี้ แม่จะนับหน้าถือตาได้ด้วยอย่างไร? ในตอนที่อยู่ต่างประเทศ แม่เคยเห็นโทรศัพท์ของเธอเข้าโดยบังเอิญครั้งหนึ่ง ก็เลยรู้เรื่องนี้เข้าให้แล้ว เพียงแต่ ไม่ได้สลัดมันทิ้งไป!”
จู่ ๆ สือมูเฉินก็รู้สึกเย็นเล็กน้อย เขาสบตามองไปยังโจวเหวินซิ่วตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่คาดคิดว่า “ในตอนที่อยู่ต่างประเทศ แม่ก็เริ่มวางแผนกลอุบายนี้แล้วหรือครับ?”
“ยังหรอก” โจวเหวินซิ่วส่ายหน้า “หลังจากที่กลับประเทศมาก เห็นว่าลูกใช้ชีวิตอย่างดีขนาดนั้น มีภรรยาดีหน้าที่การงานเด่น แม่ถึงเริ่มดำเนินการ”
“เพียงแต่ แม่คิดไปคิดมาอยู่หลายครั้ง กลับคิดไม่ถึงเลย ว่าลูกชายของแม่จะมีจิตใจที่ยึดมั่นนั่น ยาแบบนี้ ลูกก็กินเข้าไปในปริมาณมาก กลับไม่แตะต้องหลานเล่อซินเลย!” โจวเหวินซิ่วพูดไป นัยน์ตาล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความเกลียดชังที่ยากจะปกปิด
สือมูเฉินมาจนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้แล้วว่าควรจะเอ่ยอะไรดี
เขามองผู้หญิงตรงหน้า ก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นคนแปลกหน้า เขาเอ่ยถามเธอว่า “แม่เป็นแม่ของผมจริง ๆ หรือเปล่า? ผมไม่ทราบมาก่อนเลยนะครับ ว่าใต้หล้านี้กลับมีแม่แบบนี้ด้วย คิด ๆ ดูแล้ว ว่าจะมีคนที่จิตใจร้ายที่คิดวางแผนชั่วร้ายต่อลูกของตัวเอง!”
พูดจบ แผ่นอกของสือมูเฉินก็กระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง อดไม่ได้ที่จะยืนมือขึ้นไปนวดคลึงขมับทางด้านข้างที่เริ่มปวด
“อยากรู้ว่าเป็นเพราะอะไรไหม?” มุมปากของโจวเหวินซิ่วยกยิ้มขึ้น แทบจะราวกับว่ากำลังยิ้ม อีกทั้งก็ราวกับว่ากำลังร้องไห้อยู่เลย สุดท้ายแล้ว ภายใต้สายตาของสือมูเฉิน จู่ ๆ เธอก็เริ่มปลดกระดุมเสื้อของตนเองออก
สือมูเฉินเช่นดังนั้นแล้ว นัยน์ตาหดเกร็งในทันที “แม่ครับ แม่จะทำอะไร?!”
พูดไป เขาก็รีบหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว
“บอกลูกไง ว่าหลายปีมานี้แม่ใช้ชีวิตผ่านมาได้อย่างไร” โจวเหวินซิ่วพูดไป ก่อนจะถอดเสื้อผ้าออก ในตอนนี้ ร่างทั้งร่างส่วนบนสวมใส่เพียงแค่เสื้อกล้ามตัวเดียวเท่านั้น
“ลูกไม่หันกลับมาดูหน่อยหรือ? ลูกชายที่แสนดีของแม่!” โจวเหวินซิ่วเอ่ย
สือมูเฉินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวกลับไป
ถึงแม้ เมื่อครู่นี้จะเตรียมใจมาแล้ว แต่ทว่า ในตอนที่เห็นฉากทั้งหมดนี้นั้นเอง สือมูเฉินราวกับรู้สึกว่าดวงตาของตนเองแทบจะถูกลวกเลยก็ไม่ปาน ลมหายใจกลับเย็นยะเยือก ร่างทั้งร่างอดไม่ได้ที่จะสั่นไหวไปมา
ถึงแม้ว่าโจวเหวินซิ่วจะเปิดเผยให้เห็นไม่เยอะ แต่ทว่า มือของเธอ ผิวพรรณของเธอ ล้วนแล้วแต่มีแผลเป็น
พวกนั้น แทบจะเป็นรอยแผลเป็นที่ทิ้งเอาไว้มาหลายปีแล้ว มีลึกมีตื้น แต่ทว่า ในทุก ๆ รอยแผลเป็นนั้นไม่เหมือนกันเลย แทบจะเป็นเพราะว่ามาจากอุปกรณ์ที่ไม่เหมือนกัน
สือมูเฉินรู้สึกว่าการหายใจของตนเองราวกับว่าติดขัด เขาพยายามหายใจเข้าออกอย่างสุดชีวิต จนกระทั่งผ่านไปแล้วครู่หนึ่ง ถึงมีแรงเอ่ยปากขึ้นมาว่า “ทั้งหมดนี่คือ……”
โจวเหวินซิ่วมองสีหน้าของเขาในตอนนี้ มุมปากของเธอยกยิ้มขึ้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความขบขันอย่างน่าเวทนา
เธอชี้ไปที่แผลหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “เห็นนี่หรือยัง นี่คือแผลลวก ในตอนที่ถูกคนท้องถิ่นให้ไปทำงานพิมพ์ ก็เลยลวกแล้วได้แผลมา”
เธอชี้ไปอีกที่หนึ่งอีกครั้ง “ที่นี่ เป็นรอยแซ่……”
“ที่นี่ คือมีด เป็นมีดหั่นเนื้อวัว……”
“แล้วก็ที่นี่ เกรงว่าลูกคงจะไม่อยากดูหรอก เป็นรอยเลื่อย……”
“อ๋อ ตรงนี้ง่ายหน่อย เป็นกระบอง……”
……
สือมูเฉินได้ยินคำพูดของเธอแล้ว รู้สึกเพียงแค่ว่าลำคอแห้งผาก น้ำเสียงของเขาสั่นเทาเล็กน้อย “เป็นใคร? ใครที่เป็นคนทำ?!”
โจวเหวินซิ่วมองเขา นัยน์ตาก็ยิ่งแดงก่ำ ร่างทั้งร่างของเธอเริ่มสั่นเทาขึ้นมา “แม่ในยี่สิบปีมานี้ ก็ผ่ามาแบบนี้แหละ! ไม่ได้ความจำเสื่อมอะไร แล้วก็ไม่ได้ไปทำงานที่ต่างประเทศด้วย! มันเริ่มตั้งแต่ครั้งนั้นที่ลูกทำให้พ่อของลูกเขาเข้าใจแม่ผิดไป หลังจากที่แม่หนีออกมาจากบ้านได้ไม่นาน ก็ถูกคนจับตัวไปแล้ว หลังจากนั้นก็ขังเอาไว้ในที่ที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ทุกข์ทรมานอยู่ทุกวัน!”
สือมูเฉินได้ยินคำพูดของเธอแล้ว รู้สึกราวกับว่าหัวใจนั้นจมลงในกระแสน้ำเย็นเฉียบ ดำดิ่งลงไป เย็นยะเยือก กลับทำได้เพียงแค่ยอมรับมันเท่านั้น
“ดังนั้นแล้ว จะไม่ให้แม่เกลียดลูกได้อย่างไร?!” โจวเหวินซิ่วแทบจะตะคอกออกมา “ยี่สิบปี ทรมานความรู้สึกของแม่ทั้งหมด ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะลูกกลับคำพูดนั้นในตอนแรก เดิมตอนนี้แม่ก็ไม่มีสภาพเช่นนี้หรอก! เป็นลูกที่ทำลายชีวิตของแม่ต่างหาก!”