ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 20 มีคู่แต่งงานคู่ไหนที่แยกห้องนอนกันในคืนวันแต่งงาน
เจตนารมณ์ของฟ้างั้นหรือ?!เขากล้าที่จะนำเอาโครงการที่ตระกูลหลานทุ่มแรงทุ่มใจให้มาสองสามเดือนทั้งหมด ไปแขวนเอาไว้เป็นโคมไฟในสนามรบต่อหน้าคนนับร้อย ก็มาเอ่ยปากอย่างง่ายดายเพียงแค่หนึ่งประโยคว่าเป็นเจตนารมณ์ของฟ้าเนี่ยนะ?!
หลานเสี่ยวถางพยายามควบคุมโทสะที่ทำให้ร่างทั้งร่างสั่นเทา ก่อนจะสบตามองไปยังสือเพ่ยหลิน หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “สามารถคุยกันก่อนจะได้ไหมคะ?”
เธอไม่มีท่าทีที่จะปะทุโทสะนั้นออกมาเลย นั่นจึงทำให้สือเพ่ยหลินรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย เขานั่งไขว่ห้าง ก่อนจะเอ่ยเสียงราบเรียบขึ้นมาว่า “ผมไม่คิดว่าคุณจะมีสิทธิ์ที่จะมาพูดคุยกับผมนะครับ”
“ฉันไม่มี แต่ Times Group มีค่ะ” หลานเสี่ยวถางพูดไป ก่อนจะสบตามองไปยังเฉินจื่อโร่วครั้งหนึ่ง ถึงจะเอ่ยออกตามออกมาต่อว่า “ฉันหมายถึงโครงการสิงเทียนค่ะ คุณแน่ใจนะคะว่าจะให้เธอฟังต่อไปน่ะ?”
สือเพ่ยหลินขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยที่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ก่อนจะก้มหน้าลงสบตามองกับเฉินจื่อโร่วในอ้อมกอดแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “โร่วโร่ว ไปช่วยชงกาแฟมาให้หน่อยสิครับ ยังคงเป็นกาแฟที่คุณชงนะที่อร่อยที่สุด”
เฉินจื่อโร่วเข้าใจว่าสือเพ่ยหลินกำลังยกยอปอปั้นเธอ แต่ทว่า เธอกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็ไม่ปาน ภายในดวงตาเป็นประกายแวววับ “ได้สิคะ ฉันชอบชงกาแฟให้พี่เพ่ยหลินดื่มที่สุดเลย!” ว่าไป เธอก็ออกไปจากห้องด้วยความปีติไปแล้ว
“เห็นหรือยังครับ ผมชื่นชอบผู้หญิงที่บริสุทธิ์ไม่คิดอะไรมากแบบนี้” สือเพ่ยหลินชี้นิ้วไปทางเงาของเฉินจื่อโร่ว ราวกับกำลังยั่วยุอยู่ก็ไม่ปาน ก่อนจะหันไปเอ่ยกับหลานเสี่ยวถาง
หลานเสี่ยวถางสูดลมหายใจเข้าก่อนจะผ่อนออกมาครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะไม่มีใจต่อเขาแล้ว แต่ทว่า เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่ขึ้นมานิดหน่อย
คนที่มีความรักนี่มักจะเห็นกงจักรเป็นดอกบัวจริง ๆ สินะ! เฉินจื่อโร่วเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าแสร้งทำเป็นบริสุทธิ์ปานนั้น หัวใจของสือเพ่ยหลินกลับถูกทำให้สับสนถึงเพียงนี้ เดิมทีก็มองไม่ออกเลยหรือไงกันนะ?!
เธอหัวเราะ “ฮ่า ๆ ถ้าอย่างนั้นก็ขออวยพรให้คุณสามารถประคับประคองกันไปให้ได้ตลอดนะคะ”
สือเพ่ยหลินราวกับว่าไม่ทันได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของหลานเสี่ยวถางที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคนก็ไม่ปาน สีหน้าของเขาเย็นชามากขึ้น “คุณอยากจะคุยอะไรครับ?”
หลานเสี่ยวถางก็ไม่คิดที่จะเอ่ยอะไรที่ไร้ประโยชน์กับเขาอีกต่อไปแล้ว “พวกคุณประมูลได้แล้วจริง ๆ ค่ะ แต่ทว่าถ้าหากว่าทางฝ่ายตรวจสอบฝั่งนั่นทราบขึ้นมาว่ามีเงินทุนบางส่วนจากโครงการสิงเทียนมีปัญหาขึ้นมา คุณว่าโครงการของพวกคุณจะสามารถดำเนินการต่อไปได้ไหมละคะ?”
สือเพ่ยหลินลุกพรวดขึ้นยืนในทันที ดวงตาหรี่ลง บรรยากาศรอบตัวแปรเปลี่ยนไปในทันที
เขาเดินเข้าใกล้หลานเสี่ยวถางทีละนิด ร่างทั้งร่างแฝงไปด้วยกลิ่นอายของการคุกคามและความเยือกเย็น นัยน์ตาฉายประกายที่ต้องการจะฆ่าคน “หลานเสี่ยวถาง คุณข่มขู่ผมหรือ?!”
หลานเสี่ยวถางไม่เคยเห็นคนที่สมบูรณ์แบบอย่างสือเพ่ยหลินเป็นแบบนี้มาก่อน แสดงให้เห็นถึงสีหน้าอันร้ายกาจ สัญชาตญาณของเธอบ่งบอกถึงความกลัว เมื่อลุกยืนขึ้นจากโซฟาแล้ว ไม่ทันได้ระวังจึงทำให้เสื้อผ้าดันฉีกขาด กระดุมสองเม็ดบนสุดของเสื้อเชิ้ตถูกฉีกขาดจนกระเด็นตกลงสู่พื้น
เมื่อจัดแจงรวบเสื้อเข้าหากันแล้ว เธอจึงยืดตัวขึ้น “ฉันเพียงแค่ต้องการให้ Times Group ถอยออกไปก็เท่านั้น”
เมื่อเงียบไปได้อยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ สีหน้าบนใบหน้าของสือเพ่ยหลินกลับดูผ่อนคลายลงในทันที เขาเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางสบาย ๆ ขึ้นมาว่า “ผมนี่กลับอยากรู้มากเสียจริง ๆ ว่าคุณรู้ข่าวนี้ได้อย่างไรกันนะ?”
หลานเสี่ยวถางไม่ได้ตอบกลับไปโดยตรง “คุณให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มาโดยตลอด ขั้นตอนของกระบวนการคงไม่สำคัญสินะคะ?” อันที่จริงแล้ว ในวันนั้นเธอก็เพียงแค่เผอิญได้ยินสือเพ่ยหลินคุณโทรศัพท์ถึงรับรู้ก็เท่านั้นเอง อีกอย่าง ที่รับรู้มาก็ไม่ได้ละเอียดมากนัก
“หลานเสี่ยวถาง ผมจะบอกอะไรคุณให้อย่างชัดเจนเลยนะ ในการประมูลครั้งนี้ ผมจะเข้าร่วมต่อไปอย่างแน่นอน!” สือเพ่ยหลินเผยยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจ “ในส่วนของปัญหาของเงินทุนนั่น มันโปร่งใสไปตั้งนานแล้วล่ะครับ มันจะทำให้คุณใช้มันเพื่อมาข่มขู่ผมได้อย่างไรกัน?!”
หลานเสี่ยวถางพลันชะงักนิ่งไป
แทบจะรับรู้ว่าเธอจะต้องมีปฏิกิริยาตอบกลับมาแบบนี้ สือเพ่ยหลินเข้าใกล้เธอ ปลายจมูกโด่งแทบจะสัมผัสเธอเข้าให้เธอแล้ว เขายกมือขึ้นมาบีบเข้าที่คางมนของเธอเอาไว้ “เป็นผู้ชายหน้าไหนกันนะที่สอนคุณน่ะ? ผมไม่เคยแตะต้องคุณมาก่อน คุณไม่พึงพอใจหรือ ดังนั้นก็เลยจะหาใครมาแทนก็ได้สินะ?”
หลานเสี่ยวถางได้ยินเขาเอ่ยพูดถึงเธอขนาดนี้ เธอยืนมือออกไป ก็เพื่อที่จะแกะนิ้วมือของสือเพ่ยหลินออก ในตอนนั้นเอง ประตูห้องรับแขกก็ถูกเปิดออก พร้อมกับน้ำเสียงตกอกตกใจของเฉินจื่อโร่ว “นี่ พวกพี่……”
หากมองจากมุมของเธอ ทั้งสองคนดูราวกับว่ากำลัง……จูบกัน?
นัยน์ตาของเฉินจื่อโร่วฉายประกายโทสะ แสร้งทำเป็นเพราะว่าตื่นเต้นจนไม่ระวังทำให้หกล้ม จึงถือโอกาสนี้สาดกาแฟร้อน ๆ เข้าหาหลานเสี่ยวถาง
หลานเสี่ยวถางกุลีกุจอหลบหลีก แต่ทว่ายังมีหยาดกาแฟบางส่วนที่กระเซ็นเข้าใส่ช่วงแขน แสนร้อนไปหมด ทันใดนั้นเองเมื่อเงยหน้าขึ้นมามอง ก็มองเห็นสือมูเฉินยืนอยู่ที่หน้าประตู
เธอตกตะลึงไปในทันที ถึงแม้จะรู้ว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ทว่า เมื่อตอนที่ได้สบตาเข้ากับดวงตาสุขุมนุ่มลึกคู่นั่นของเขาแล้ว ทันใดนั้นเอง หลานเสี่ยงถางก็ยังรู้สึกได้ถึงความหวาดหวั่น
เขามาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ? หรือว่าจะเข้าใจเธอผิดเหมือนเฉินจื่อโร่วไปแล้ว? เธอจะอธิบายต่อเขาอย่างไรดีนะ?
ในตอนนั้นเอง เฉินจื่อโร่วก็ชี้นิ้วมาที่คอเสื้อของหลานเสี่ยวถางอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างตกตะลึงว่า “แม้กระทั่งเสื้อผ้าของพี่ก็หลุดออกจากกันแล้วนี่! พี่คะ ทำไมพี่ถึงไม่มียางอายขนาดนี้ละคะ?!”
หลานเสี่ยวถางก้มศีรษะลงดู ก่อนจะรับรู้ได้ในทันทีเลยว่าเมื่อตอนที่หลบกาแฟเมื่อครู่นี้ ทำให้เดิมที่คอเสื้อเชิ้ตของเธอที่กระดุมหลุดอยู่ก่อนแล้วก็ยิ่งหลุดเข้าไปกันใหญ่ แทบจะกลายเป็นความรู้สึกเปลือยเปล่าจริง ๆ ขึ้นมาแล้ว
เธอรวบคอเสื้อเอาไว้ด้วยกัน หลังจากนั้นจึงหันศีรษะไปมองสือมูเฉินอย่างรวดเร็ว
เขาสบตามองเธอด้วยสายตาราบเรียบครั้งหนึ่ง บนใบหน้าไม่แสดงอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะส่งเสียงเย็นชาต่ำ ๆ ออกมาว่า “เชิญพวกคุณจัดการเรื่องของพวกคุณไปกันก่อนเลยครับ” พูดจบ ก็หมุนตัวจากไป
หัวใจของหลานเสี่ยวถางบีบรัดตัวขึ้นมาในทันที จบแล้ว เขาเข้าใจเธอผิดไปแล้วสินะ……
เธอคิดอยากที่จะตามเขาไป แต่ทว่า ก็ไม่รู้ว่าสือมูเฉินจะอนุญาตให้คนในบริษัทรับรู้ถึงความสัมผัสของพวกเราด้วยหรือเปล่า ดังนั้น จึงทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่กับที่
ในตอนนั้นเอง สือเพ่ยหลินกอดปลอบประโลมเฉินจื่อโร่วที่กำลังร้องไห้อยู่เป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว ภายในตัวห้อง ราวกับว่าหลานเสี่ยวถางเป็นส่วนเกินมาคนหนึ่งก็ไม่ปาน
เรื่องการข่มขู่สือเพ่ยหลินนั่นไร้ประโยชน์เป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว การประมูลของตระกูลหลานจะทำอย่างไรต่อไปดีนะ……หลานเสี่ยวถางหยิบกระเป๋าขึ้นมา ก่อนจะออกจากห้องรับแขกด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
เธอกลับมาที่บ้านของสือมูเฉิน กำลังนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า จึงทำอาหารให้เอาไว้ให้สือมูเฉินเอาไว้เต็มโต๊ะ
แต่ทว่า จนถึงสี่ทุ่มแล้ว เขาก็ยังคงไม่กลับมาเลย
หลานเสี่ยวถางรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย จนในที่สุดแล้ว หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ต่อสายโทรศัพท์หาสือมูเฉินไป แต่ทว่า ปลายสายกลับแจ้งเตือนเพียงแค่ว่ากำลังโทรอยู่เท่านั้น
ในตอนนี้ โทรศัพท์ของสือมูเฉินสว่างขึ้น เขามองหน้าจออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะใส่รหัสสองสามตัวเข้าไป ถึงจะต่อสายเข้าไปได้ “เรื่องเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
ในสายโทรศัพท์มีเสียงของวัยรุ่นคนหนึ่งดังขึ้นมาว่า “พี่เฉินครับ ทางหุ้นของฉินต่งฝั่งนั้นอยู่ในมือเรียบร้อยแล้วครับ แต่ทว่ายังมีหุ้นกระจายไปบางส่วนเล็กน้อย ถ้าหากว่าตอนนี้รับซื้อมา ต้นทุนก็จะสูงขึ้นมานิดหน่อยครับ”
สือมูเฉินเอ่ยเสียงราบเรียบขึ้นมาว่า “ไม่ต้องเสียดายค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปทั้งหมด ภายในสามเดือนต้องค่อย ๆ กว้านซื้อกลับมาทั้งหมดให้ได้!”
“ครับ” น้ำเสียงวัยรุ่นยิ้มขำก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาว่า “พี่เฉินครับ ที่พี่รับซื้อหุ้นอย่างรีบร้อนมากขนาดนี้ เป็นเพราะว่าจะแก้แค้นให้พี่สะใภ้ หรือเป็นเพราะว่าพี่คิด……”
สือมูเฉินเอ่ยแทรกคำพูดของเขามาว่า “ทั้งคู่”
หลานเสี่ยวถางอาบน้ำแล้ว รอจนกระทั่งถึงช่วงห้าทุ่ม สือมูเฉินก็ยังคงไม่กลับมา เธอก็ทำได้เพียงนอนรออยู่ที่ห้องรับรองของแขก เตรียมพร้อมที่จะอธิบายให้เขาฟังในวันพรุ่งนี้
แต่ทว่าในช่วงเวลานั้นเอง เสียงปลดล็อกประตูก็ดังขึ้น หัวใจของหลานเสี่ยวถางบีบรัดตัวในทันที กดเปิดสวิตช์ไฟ ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งบนเตียง
“คุณอาคะ คุณอากลับมาแล้วหรือคะ?” หลานเสี่ยวถางเดินไปที่ห้องรับแขก ก่อนจะเอ่ยพูดกับชายหนุ่มที่กำลังถอดเนกไทอยู่
เขาไม่ได้ตอบเธอ อีกทั้งเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพแล้ว ถึงจะหมุนตัว ก่อนจะเดินเข้าไปที่หน้าเธอทีละก้าว น้ำเสียงทุ้มต่ำ ส่งแรงกดดันบางอย่างให้กับคนว่า “เรียกผมว่าคุณอางั้นหรือ?”
หลานเสี่ยวถางพลันชะงักไปครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นแล้วฉันควรจะเรียกว่าอะไรงั้นหรือคะ?”
เขาไล่ต้อนเข้ามามากขึ้น เธอถูกไล่ต้อนให้ถอยหลัง เธอถูกเขาไล่ต้อนจนถึงกำแพง แขนทั้งสองข้างของเขากกกักเธอเอาไว้กับกำแพง ทำให้ร่างทั้งร่างของเธออยู่ภายใต้อาณัติของอ้อมแขนของเขาและพื้นกำแพง
สีหน้าของเขาเรียบเฉย ทำให้เธอไม่สามารถเดาอารมณ์ของเขาได้เลย น้ำเสียงกดต่ำเอ่ยออกมาว่า “เรียกผมว่าอา คุณยังคิดว่าตนเองยังคงเป็นภรรยาของสือเพ่ยหลินอยู่งั้นหรือครับ? มิฉะนั้นแล้ว ผมจะต้องทำอย่างไรถึงจะฉีกความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่และเด็กแบบนี้กับคุณได้กันนะ?”
หลานเสี่ยวถางอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ ใช่น่ะสิ ถ้าหากเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์กับสือเพ่ยหลินแล้ว ถ้าอย่างนั้นแล้วจะว่าตามอายุของสือมูเฉิน เธอก็ควรจะเรียกเขาว่าพี่
เพียงแต่ว่า เรียกแบบนี้จนชินปากไปแล้ว จึงทำให้เธอลืมแก้คำไปชั่วขณะหนึ่ง
“ดังนั้น คุณลืมไปแล้วหรือไงว่าตอนนี้คุณเป็นภรรยาของใคร?” สือมูเฉินก้มหน้าลงสบตามองเธอ นัยน์ตาหรี่ลงและฉายประกายอันตรายออกมา “คุณยังคงอยากที่จะกลับไปอยู่ข้างกายเขาอีกงั้นหรือครับ?”
หลานเสี่ยวถางกุลีกุจอส่ายศีรษะไปมา แต่ทว่า จู่ ๆ สายตาก็มีเงาดำมืดทึบทับลงมาในทันที ตามต่อมาด้วย ริมฝีปากของเธอที่ถูกรุกล้ำอย่างรุนแรง ดวงตาทั้งสองข้างของเธอเบิกกว้าง
รสจูบของเขาไม่สงบนิ่งเหมือนดั่งทุกวันที่เคยผ่านมา อีกทั้งยังไม่ปล่อยโอกาสให้เธอแม้แต่จะหายใจเลย ทั้งดุดัน ทั้งมุทะลุเข้าสู่ด้านใน เพียงช่วงเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น ก็สามารถฉกชิงอากาศของเธอไปได้ทั้งหมด
เธอไม่เคยโดนจูบมาก่อน รู้สึกเพียงแค่ว่าหัวใจเต้นระรัวดั่งกลอง สับสนและงุนงงไปหมด
ทันใดนั้นเอง ก็มีความเจ็บปวดเกิดขึ้นที่ริมฝีปาก หลานเสี่ยวถางส่งเสียงร้องออกมาเบา ๆ ก็ค้นพบว่าสือมูเฉินก็ลืมตาขึ้นมาแล้ว นัยน์ตาสีดำขลับสุขุมนุ่มลึกฉายไปโทสะอยู่ทั้งสองข้าง เต็มไปด้วยโทสะ และเต็มไปด้วยความรู้สึก
ลมหายใจของเขาปล้นชิงเอาความรู้สึกของเธอไปจนหมดสิ้น ก่อนที่น้ำเสียงแหบพร่าแฝงไปด้วยการคาดโทษจะดังขึ้นมาว่า “เคยเห็นสามีภรรยาคู่ไหนที่ในวันแต่งงานวันแรกก็แยกห้องกันนอนหรือ? หื้ม?”
หลานเสี่ยวถางรู้สึกเพียงแค่ว่าช่วงเอวแน่นขึ้น ร่างทั้งร่างเบาหวิว ตามมาด้วย ร่างของคนทั้งคนที่ลอยขึ้น เมื่อก่อนที่พึ่งจะรู้สึกตัวกลับมาได้นั้น ก็เข้ามาในห้องที่เธอไม่เคยเข้ามาก่อนเรียบร้อยแล้ว
แผ่นหลังของเธอปะทะเข้ากลับที่นอนนุ่มนิ่มบนเตียงอย่างจัง เขาก็รีบคร่อมทับตามลงมาอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวถาง จำเอาไว้นะครับ นี่ถึงจะเป็นห้องที่คุณควรที่จะนอนต่างหากล่ะ!” นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยประกายไฟของสือมูเฉินแทบจะราวกับว่าสามารถแผดเผาเธอไปด้วยก็ไม่ปาน
เธอตกใจจนหัวใจกระตุก คิดอยากจะผลักเขาออกไปด้วยความหวาดหวั่น
ในตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงผ้าแพรฉีกขาด ร่างของเธอเย็นขึ้นในทันที ในตอนนี้เศษชุดนอนขาดติดอยู่ในมือของเขาไปแล้ว
ในตอนที่เขาพลิกครอบทับขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็รู้สึกได้อย่างชัดเจน ถึงอุณหภูมิที่สูงเป็นอย่างมากในร่างกายของเขา ร่างกายส่วนล่างในบางที่ของเขาขยายตัวใหญ่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มันทั้งแข็งขืนร้อนรุ่มและทิ่มทับลงมาที่เนื้อนุ่มช่วงบริเวณขาของเธอ
หลานเสี่ยวถางรับรู้ถึงอะไรบางอย่างได้ทันที ในช่วงพริบตาเดียว เป็นเพราะว่าความยุ่งเหยิงทั้งหมดภายในสมอง ทำให้สมองขาวโพลนไปจนหมด