ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 200 คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ
สือมูเฉินยืนอยู่กลางห้องรับแขก สบตามองโจวเหวินซิ่วโดยไม่พูดไม่จาอะไร
ร่างทั้งร่างของเขาสั่นเทาอย่างรุนแรง เดิมก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
เรื่องราวดำเนินมาเช่นนี้แล้ว ช่วงเวลาไม่อาจย้อนกลับ
ไม่มีกะจิตกะใจเลย มีความเจ็บปวดในหัวใจ ในระหว่างแม่กับบุตรชายของพวกเขานั้น ก็มีรอยแผลเป็นที่ล้ำลึกตั้งนานแล้ว ไร้หนทางที่จะกลับไปแก้ไขชดเชยอีกครั้งแล้ว
“ขอโทษครับ——” สือมูเฉินปิดเปลือกตา มีหยาดน้ำตาไหลออกมาจากดวงตา ไหลราวกับเป็นมีดที่บาดลึกผ่านดวงตา หยดลงบนใบหน้า ก่อนจะส่งเสียงตกลงมาเบา ๆ
“ยี่สิบปีเลยเชียวนะ! ลูกคิดว่าคนที่ถูกทรมานมากว่ายี่สิบปี แค่ประโยคขอโทษเพียงแค่คำเดียวมันจะสามารถหายไปได้หรือไง?!” โจวเหวินซิ่วสบตามองสือมูเฉิน “ในตอนแรกเริ่ม แม่ก็ไม่ได้โทษลูกหรอกนะ แต่ทว่า ความรู้สึกที่มากขึ้น ความรู้สึกรักของแม่ กลับเทียบกับคืนวันที่ทุกข์ทรมานกว่าพันวันนั้นไม่ได้เลย!”
สือมูเฉินทรุดลงบนพื้น ในตอนนี้ เขาไม่รู้ว่าเลยตนเองสามารถทำอะไรได้บ้าง ความทุกข์ทรมานนั่น เราไร้หนทางชดเชยให้เลยจริง ๆ ความเกลียดชังนั้น เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรที่จะปลอบโยนมันเช่นไรดี
“ดังนั้นแล้ว แม่เกลียดลูก!” ดวงตาของโจวเหวินซิ่วจ้องเขม็ง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอย ตอนนี้มีแต่ความเกลียดชังอย่างรุนแรง “ลูกพูดไม่ผิดเลย เรื่องที่แม่ทำทั้งหมด ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับหลานเสี่ยวถางเลยสักนิดเดียว แม่ปฏิบัติต่อเธอ นั่นก็เป็นเพียงแค่เพราะว่าเธอเป็นผู้หญิงของลูกก็เท่านั้น!”
แผ่นอกของเธอกระเพื่อม “แม่ก็เพียงแค่ไร้ทางเห็น แม่ผ่านมาอย่างทุกข์ทรมานเช่นนั้น ลูกกลับมีทุกอย่างอย่างมีความสุข! แม่คิดอยากที่จะทำลายลูกให้ราบ! การงาน บ้านเรือน ของทุกอย่างที่เป็นของลูก แม่คิดอยากที่จะทำลายมันให้หมด!”
“แม่ครับ ตอนนั้นผมยังเด็กไม่รู้ความ ผมรู้ว่าประโยคนั้นสร้างความเจ็บปวดให้กับแม่อย่างมหาศาล แต่ทว่า ผมก็เป็นลูกแท้ ๆ ของแม่นะครับ!” สือมูเฉินเอ่ยขึ้นอย่างเจ็บปวด “ผมรู้ว่าแม่เกลียดผม แต่ทว่า ให้โอกาสให้ผมได้ชดเชยมันให้แม่ได้ไหมครับ ไม่ต้องเกลียดกันอีกต่อไปแล้ว ไม่ต้องมีกลอุบายอะไรอีกต่อไปแล้ว……”
“เป็นไปไม่ได้หรอก!” โจวเหวินซิ่วพูดแทรกประโยคของสือมูเฉิน “นอกจากว่าแม่จะตายไปน่ะนะ!”
สือมูเฉินรู้สึกเพียงแค่ว่าหัวสมองดำมืดทั้งหมด เขากัดฟันเพื่อทำให้ร่างกายตั้งตรงได้อย่างมั่นคง “ไม่สามารถเป็นไปได้อีกต่อไปแล้วหรือครับ?”
“ใช่!” โจวเหวินซิ่วยืนกรานหนักแน่น “ไม่มีความเป็นไปได้แล้ว! แม้กระทั่ง ที่แม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในทุกวันนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่าอาศัยความเกลียดชังนั่น! อย่ามาพูดกับแม่เลยว่าพวกเราเป็นแม่ลูกอะไรกัน แม่รู้แต่ว่าในตอนนี้ เรื่องที่แม่เสียใจในภายหลังมากที่สุด ก็คือเรื่องที่ให้กำเนิดลูกชายอย่างลูกมานี่ไง!”
“ลูกทำลายชีวิตของแม่!”
“แม่เดิมทีก็เป็นนายหญิงของ Times Group มีเพียงแค่มูชิงที่เป็นลูกชายที่รู้ความก็เพียงพอแล้ว! ทำไมแม่จะต้องมีลูกออกมาอีกด้วย?!”
“พวกเราก็เป็นครอบครัวสุขสันต์กันดีแล้ว กลับถูกลูกทำลายมันไปเสียแล้ว!”
“พ่อของลูกไม่เคยมีลูกมาโดยตลอดจนกระทั่งมาถึงตอนแก่ก็ดีใจเป็นอย่างมาก แต่ทว่าลูกล่ะ? ทำร้านแม่จนต้องไป อีกทั้งก็ยังทำร้ายให้พ่อของตัวเองตายไว ๆ อีกด้วย!”
“เรื่องราวทั้งหมด เป็นเพราะว่าลูกทั้งสิ้น!”
น้ำเสียงกรีดแหลมของโจวเหวินซิ่วดังลั่นไปทั้งห้องรับแขกไม่หยุด ในทุกประโยค ราวกับว่าเป็นมีดที่ปักลงบนหัวใจ ทำให้สีหน้าของสือมูเฉินซีดเผือดไปหนึ่งส่วน
จนมาถึงในตอนท้ายแล้ว โจวเหวินซิ่วเป็นเพราะตะโกนจนทำให้ลำคอแหบแห้งไปแล้ว น้ำเสียงแหบแห้งของเธอหันไปเอ่ยกับสือมูเฉินว่า “ชั่วชีวิตนี้ รอให้แม่ตายก่อนแม่ถึงจะยกโทษให้ลูก!”
หลังจากที่เธอทิ้งประโยคเอาไว้ ภายในห้อง ก็เงียบสงบราวกับตายก็ไม่ปาน
เนิ่นนาน สือมูเฉินจึงเอ่ยปากขึ้นมาว่า “คนพวกนั้นที่คุมขังแม่เอาไว้ล่ะครับ?”
“ไม่ต้องให้ลูกมาลำบากหรอก พวกเขาตายกันไปหมดแล้ว!” โจวเหวินซิ่วเอ่ยขึ้นพร้อมกับนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง “วันนั้นที่แม่หลบหนีออกมาได้ ก็หายาพิษเจอแล้ว ก่อนจะโยนลงไปในบ่อน้ำ คนพวกนั้นล้วนถูกยาพิษจนตายไปหมดแล้ว ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว!”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วหลานเล่อซิน——” สือมูเฉินเอ่ยถาม
“เพียงแต่ว่าในตอนที่แม่หนีออกมาได้นั้นไม่มีเงินไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนอะไรเลย ประจวบเหมาะกับรถของหลานเล่อซินที่ผ่านทางเข้ามาพอดี เธอให้แม่ยืมเงิน แล้วประจวบเหมาะเข้ากับแม่ก็รับรู้ความลับหนึ่งของเธอเอาไว้พอดี……” โจวเหวินซิ่วเอ่ยมาจนถึงตรงนี้ ก่อนจะมองสือมูเฉิน “เกรงว่าลูกคงจะยังไม่รู้ อันที่จริงแล้วในตอนที่ลูกกับเธอมีงานหมั้นกัน เธอก็ไปผิดผีกับผู้ชายคนอื่นเสียแล้ว!”
นัยน์ตาของสือมูเฉินหดเกร็งในทันที
โจวเหวินซิ่วเอ่ยขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่า “ถ้าไม่ได้เป็นเพราะว่าในตอนแรกที่เธอจากไป เกรงว่าลูกก็คงจะต้องแต่งกันกับผู้หญิงแบบนั้นจริง ๆ แล้วละนะ!”
พูดมาจนถึงตอนนี้ เดิมคำถามและความสงสัยพื้นฐานเดิมก็กระจ่างแล้ว
สือมูเฉินสบตามองโจวเหวินซิ่ว “แม่ครับ ถ้าอย่างนั้นแล้วแม่บอกผมหน่อยได้ไหมครับ สถานที่ที่คนพวกนั้นกักขังแม่เอาไว้น่ะ……”
ใบหน้าของโจวเหวินซิ่วแปรเปลี่ยนเป็นเหี้ยมโหดอย่างรวดเร็ว “ลูกอยากจะไปดูหน่อย ว่าเมื่อก่อนแม่อยู่ไม่สู้ตายแบบไหนใช่ไหมล่ะ? ที่นั่นไม่มีอีกต่อไปแล้ว! ถูกแม่วางเพลิงเผาราบไปหมดแล้ว!”
เธอหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง หลังจากที่หัวเราะเสร็จ สายตาก็ล็อกมองตรงไปยังร่างของสือมูเฉิน ก่อนความเกลียดชังจะพรั่งพรูออกมาจริง ๆ “แม่บอกไปแล้วไง ชั่วชีวิตนี้ ไม่ว่าลูกทำอะไร แม่ก็จะไม่มีวันยกโทษให้ลูก! จนตายก็ไม่ยกโทษให้!”
มือข้างลำตัวของสือมูเฉิน กำเข้าหากันแน่น เนิ่นนาน กว่าเขาจะคลายออกมาอย่างเชื่องช้า “ถ้าอย่างนั้นแล้วหลังจากนี้พวกเรา……”
“ของของแม่ตอนนี้เก็บเรียบร้อยแล้ว” โจวเหวินซิ่วเอ่ย “แม่จะไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
สือมูเฉินเห็นว่าโจวเหวินซิ่วกำลังจะเดินเข้าไปในห้องของเธอ ก่อนจะนำกระเป๋าเดินทางที่ตระเตรียมเอาไว้ตั้งนานแล้วออกมา หลังจากนั้น เธอหันกลับมามองเขา “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แม่ขอบอกกับลูกอย่างเป็นทางการเลยนะ แม่ไม่เคยมีลูกชายแบบลูกอีกแล้ว!”
ร่างทั้งร่างของสือมูเฉินสั่นไหวอย่างรวดเร็ว เขาหยักหน้า “ครับ”
จู่ ๆ ราวกับว่าโจวเหวินซิ่วนึกไม่ถึงเลย สือมูเฉินจะตอบกลับมาอย่างง่ายได้เช่นนี้ นัยน์ตาของเธอไม่สามารถปิดบังได้ เพียงแต่ ในวินาทีต่อมานั้นเอง เธอก็ชะงักค้างไปเสียแล้ว
เห็นเพียงแค่สือมูเฉินที่จู่ ๆ ก็ยืนขึ้น หลังจากนั้น ก็คุกเข่าลงไป คุกเข่าอยู่ตรงหน้าของเธอ
เขาเงยหน้ามองเธอ ก่อนจะเอ่ยขึ้นทีละคำว่า “แม่ครับ ขอบคุณแม่นะครับที่ให้กำเนิดผมออกมา ใช้ชีวิตกับผม”
พูดไป เขาก็ย่อตัวลง แล้วโขลกหน้าผากลงบนพื้นอย่างแรง
ตามมาด้วย สือมูเฉินที่ยืดตัวตรงขึ้น “แม่ครับ ขอบคุณนะครับที่ในตอนนั้นช่วยผมลงมาจากต้นไม้ได้ แล้วให้ชีวิตที่สองแก่ผม”
พูดไป เขาก็โขลกลงไปอีกครั้ง
“แม่ครับ ขอบคุณนะครับที่เลี้ยงดูผมมาสิบปี” สือมูเฉินพูดไป ก็โขลกลงไปอีกครั้งหนึ่ง
ในตอนที่เขาลึกขึ้นนั้นเอง หน้าผากของเขามีรอบแผลเล็ก ๆ รอยหนึ่งแล้ว มีเลือดไหลออกมาเล็กน้อยด้วย บนใบหน้า เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
เขาเงยหน้ามองโจวเหวินซิ่วอยู่เช่นนั้น นัยน์ตาลุ่มลึกราวกับยามค่ำคืน
โจวเหวินซิ่วเห็นภาพในตอนนี้แล้ว ร่างทั้งร่างของเธอเหม่อลอยอยู่สองสามวินาที แต่ทว่า หลังจากนั้น ความเกลียดชังที่อยู่ภายใต้ส่วนลึกของหัวใจ ที่ผ่านมานานกว่ายี่สิบปีก็ตีตื้นขึ้นมาอีกครั้ง
เธอกักเก็บสายตา ก่อนจะจากไปจากห้องโดยไม่เอ่ยอะไรเลย
เสียงปิดประตูดังขึ้น สือมูเฉินไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับเลยแม้แต่นิดเดียว
เขายังคงคุกเข่าอยู่อย่างนั้น ใบหูได้ยินคำพูดของโจวเหวินซิ่วเมื่อครู่นี้
เธอบอกว่า สิ่งที่เธอเสียใจในภายหลังที่สุดเลยในชีวิต นั่นก็คือการให้กำเนิดลูกชายเช่นเขา
เธอบอกว่า เธอจะไม่ให้อภัยเขาตลอดไป แม้ตายก็จะไม่ให้อภัย……
เขาราวกับว่าเป็นคนจมน้ำก็ไม่ปาน หายใจเข้าออกหนัก ๆ กลับไม่สามารถตามหาถนนหนทางได้เลย คำพูดตัดสินอย่างเด็ดขาดเช่นนั้น ราวกับว่าเป็นมีด ที่ทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจของเขาไม่หยุด
สือมูเฉินไม่รู้ว่าตัวเองคุกเข่าอยู่ที่พื้นนานเท่าไหร่แล้ว จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา เขาถึงหลุดจากภวังค์ทันที
เขาลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ขาเป็นเพราะว่าคุกเข่าอยู่นานมากจึงทำให้ชา ในตอนที่เดินเข้าไปหาโทรศัพท์ทางด้านข้างนั้นเอง เสียงก็จบลงไปเรียบร้อยแล้ว
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ถึงจะค้นพบว่า เป็นหลานเสี่ยวถางที่โทรศัพท์มาหาเขาก่อนเอง
มือที่บีบโทรศัพท์อยู่อดไม่ได้ที่จะเพิ่มแรงมากขึ้น เดิมเขาก็รอสายจากเธอมาโดยตลอด แต่ทว่า ในตอนที่เธอโทรเข้ามาหาแล้วจริง ๆ เขากลับไม่รู้ว่าควรที่จะพูดอะไรกับเธอเลย
เขาไม่อยากให้เธอได้มาเห็นท่าทีอ่อนแอเช่นนี้ของเขา ไม่อยากให้เธอรู้เลย ว่าเขาเป็นลูกที่แม้กระทั่งแม่แท้ ๆ ยังทิ้งได้ลงคอเช่นนี้
ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นฟู่สีเกอที่โทรเข้ามา สือมูเฉินจัดแจงอารมณ์ของตนเอง ก่อนจะเลื่อนรับสาย “ฮัลโหล”
“อาเฉิน พวกเราอยู่ที่ Royal Empire กันหมด ออกมาดื่มเล่นกันหน่อยมา!” ฟู่สีเกอเอ่ย “ดึกขนาดนี้แล้ว เสี่ยวถางนอนหรือยัง ถ้ายังไม่นอนก็เรียกเธอให้ออกมาด้วยกันสิ!”
สือมูเฉินบีบโทรศัพท์แน่น “ห้องไหน”
“ห้องเลขที่ 808” ฟู่สีเกอเอ่ย
“ได้” สือมูเฉินวางสายไปแล้ว
เขาหยิบกุญแจรถกับโทรศัพท์ ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปยัง Royal Empire
หลานเสี่ยวถางได้รับสายจากฟู่สีเกอตอนเที่ยงคืน
โดยปกติแล้วตอนนอนเธอก็มักจะปิดเครื่องอยู่แล้ว แต่ทว่า วันนี้เธอเป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปหาสือมูเฉินก่อน แต่ทว่าเขากลับไม่รับสาย
ในตอนแรกเริ่ม เธอยังคงโกรธอยู่ แต่ทว่าหลังจากนั้น ตาของเธอก็กระตุกอยู่ตลอดเวลาเลย หัวใจยิ่งไม่เป็นสุข เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็เลยส่งข้อความไปหาคุณ Jarvis เพื่อสอบถามความเป็นไปของสือมูเฉิน
แต่ทว่า วันนี้คุณ Jarvis เองก็คงยุ่งแทบทั้งวัน ไม่ได้ตอบวีแชทของเธอเลย ดังนั้นแล้ว แม้กระทั่งในตอนที่เธอหลับไปแล้ว ก็ยังคงตื่นตระหนก และไม่ได้ปิดเครื่องด้วย
เที่ยงคืน จู่ ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา หลานเสี่ยวถางเด้งขึ้นมาจากเตียงทันที เมื่อเห็นว่าเป็นฟู่สีเกอ ดังนั้นแล้วจึงเอ่ยว่า “สีเกอ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
“เสี่ยวถาง คุณอยู่บ้านหรือเปล่า?” ฟู่สีเกอเอ่ย “รีบมาที่โรงพยาบาลราษฎรเร็วเข้า พี่เฉินดื่มหนักมาก กระเพาะเลือดออก”
หลานเสี่ยวถางถือโทรศัพท์เอาไว้แทบจะไม่อยู่ หัวใจของเธอแข็งเกร็งในทันที “หนักมากไหมคะ? ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ?”
“พี่เฉินดูเหมือนว่าจะอารมณ์ไม่ดี ผมยังไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อนเลย” ฟู่สีเกอเอ่ย “วันนี้เมื่อเจอหน้ากันแล้ว เขาก็ดื่มรวดเดียวเลย ไม่พูดอะไรเลยแม้แต่ประโยคเดียว ตอนนี้เข้าห้องรักษาไปแล้วล่ะ คุณรับเข้ามาดูเร็วเข้าเถอะ!”
“ได้ค่ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!” หลานเสี่ยวถางวางสายไปแล้ว จู่ ๆ ก็คิดไปถึงที่จอดรถโดยอัตโนมัติทันที อีกทั้งรถของเธอยังอยู่ในโรงจอดรถในบ้านของสือมูเฉินด้วย
ดังนั้นแล้ว เธอในตอนเที่ยงคืนเช่นนี้ ควรที่จะไปอย่างไรดีนะ?
แต่ทว่า เมื่อคิดถึงว่ากระเพาะของสือมูเฉินมีเลือดออก เธอก็กระวนกระวายเป็นอย่างมากแล้ว เธอสวมใส่เสื้อผ้าอย่างลวก ๆ หยิบโทรศัพท์ หลังจากนั้นก็วิ่งลงไปที่ชั้นล่างอย่างรวดเร็ว
เดินมาได้ครึ่งหนึ่ง เมื่อคิดได้ว่ายังไม่ได้บอกว่าหลานเซี่ยวเฉิงสักคำเลย เธอหยิบโทรศัพท์ ก่อนจะส่งข้อความไปหาหลานเซี่ยวเฉิง
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู พนักงานรักษาความปลอดภัยที่เข้าเวรอยู่ก็เห็นเธอ จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า “คุณผู้หญิงครับ คุณจะไปไหนครับ……”
หัวใจของหลานเสี่ยวถางเป็นประกายขึ้นมาในทันที “ฉันจะไปในเมืองค่ะ พวกคุณส่งฉันออกไปนอกเขตทหารหน่อยได้ไหมคะ?”
ทั้งสองคนรู้สึกลำบากเล็กน้อย “คุณผู้หญิงครับ พวกเรายังไม่ได้รับคำสั่งทหารเลย เกรงว่า……”
หลานเสี่ยวถางแสดงท่าทีเข้าใจ “ได้ค่ะ ฉันไปเองก็ได้ค่ะ”
“คุณผู้หญิงครับ ขอประทานโทษจริง ๆ นะครับ กฎมันเป็นเช่นนี้ แต่ทว่า พวกเรามีจักรยานนะครับ สามารถให้คุณยืนก่อนได้นะ……”
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว หลานเสี่ยวถางจึงขี่จักรยานของพนักงานรักษาความปลอดภัย แล้วมุ่งตรงออกจากประตูของเขตทหารไป
เป็นเพราะว่าพื้นที่สาธารณะของเขตทหารนั้นเขียวขจีมาก ดังนั้นแล้ว การขี่จักรยานในตอนเที่ยงคืน มีบางที่ ที่เป็นเพราะต้นไม้ใหญ่ อีกทั้งยังรู้สึกวังเวงอีกด้วย
หลานเสี่ยวถางเร่งความเร็วของจักรยานมากขึ้นแล้ว แทบจะกัดฟันเลยทีเดียว ก่อนจะผ่านเงาดำของต้นไม้ไปแล้ว และมาถึงที่ถนนหนัก
เธอไม่มีรถ จึงจำเป็นต้องโบกรถกลางคืนสักคัน ในที่สุดแล้วก็ไปถึงโรงพยาบาลราษฎรแล้ว
ตามจากชั้นที่ฟู่สีเกอบอกมา หลานเสี่ยวถางขึ้นลิฟต์มาจนถึงประตูของห้องรักษา ก็มองเห็นฟู่สีเกอแล้ว
เขาชี้ไปที่ด้านใน “อาเฉินเข้าไปได้สักพักแล้วล่ะ กำลังส่องกล้องดูกระเพาะอยู่ เกรงว่าใกล้จะออกมาแล้วละนะ”
หลานเสียวถางพยักหน้าหงึกหงัก “ค่ะ พวกเราจะรอเขาอยู่ตรงนี้”