ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 233 นี่แหละคือเลือดข้นกว่าน้ำ
เย่เหลียนอีก็พูดว่า : “ เตรียมตัว 3 2 1 เริ่ม !”
พร้อมกับคำพูดของเธอจบลง สือมูเฉินกับหลานจื่อเฉินก็กระโดดลงไปตรงกลางน้ำด้วยกัน
ทั้งคู่เลือกใช้ท่าในการว่ายน้ำแบบฟรีสไตล์ เป็นเพราะว่าสือมูเฉินนั้นสูงกว่าหลานจื่อเฉินเล็กน้อย ดังนั้นเมื่อพ้นขึ้นมาจากเหนือน้ำ แขนของเขาจึงยืดไปข้างหน้ากว่าของเค้าเล็กน้อย
หลานจื่อเฉินกัดฟัน ออกแรงไปข้างหน้า ในใจมีเพียงแค่ความมั่นใจเท่านั้น เขาจะต้องแซงสือมูเฉินและทิ้งห่างเขาให้ไกลอยู่ข้างหลัง !
ในระยะ 15 เมตร ในไม่ช้าก็จะถึงแล้ว หลานเสี่ยวถางยังคงส่งเสียงร้องเชียร์อยู่ตลอด ถึงแม้จะเป็นการพูดที่มุ่งไปยังสือมูเฉิน แต่ก็กลัวว่าหลานจื่อเฉินจะคิดว่าเธอลำเอียง เพราะฉะนั้นก็เลยไม่ได้เรียกชื่อของใคร เพียงแค่ตะโกนร้องอย่างเสียงดังไม่หยุด
เมื่อถึงตอนที่กลับตัว หลานจื่อเฉินก็คิดวางแผน
ก่อนหน้านี้มองสือมูเฉินก็รู้สึกว่าเป็นผู้ชายที่มีความเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง รู้สึกว่าปกติแล้วน่าจะไม่ออกกำลังกายอะไร แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะว่ายน้ำได้ดีแบบนี้ สู้กันมา 50 เมตร คาดไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะเข้าสู่เส้นชัย
ดังนั้น……
พอหลานจื่อเฉินกลับตัวก็เปลี่ยนมาเริ่มใช้ท่าผีเสื้อในการว่าย
เขาอายุเพียงแค่ 20 ปี ยังเป็นวัยรุ่นที่มีความแข็งแกร่งของร่างกาย ดังนั้น เขาก็เลยตั้งใจว่ายท่าผีเสื้อขนาดใหญ่ ตีละอองน้ำขนาดใหญ่ และไม่น้อยเลยที่ตีไปโดนใบหน้าของสื่อมูเฉิน
สือมูเฉินหรี่ตาแล้วหรี่ตาอีก ดูเหมือนว่าเขาที่เป็นน้องชายของภรรยาจะไม่ชอบเขาเป็นอย่างมาก ?
ในเมื่อเป็นแบบนี้ สู้ทำตามความคิดของหลานจื่อเฉินไม่ดีกว่าหรอ
อย่างไรก็ตามถ้าเกิดว่าเขาแพ้ มันก็คงเป็นเพราะว่าแก่กว่าหลานจื่อเฉิน 10 ปี และถ้าเกิดว่าชนะ น้องชายของภรรยาเป็นคนที่ชอบเอาชนะคนมาก ไม่แน่ว่าบางทีจะมีผลข้างเคียง……
ด้วยเหตุนี้ สือมูเฉินก็เลยลดการแข่งขันลง แต่ก็ยังคงรักษาความเร็วและจังหวะของตัวเองว่ายไปจนถึงเส้นชัย
หลานจื่อเฉินว่ายมาถึงเส้นชัยก่อน ด้วยความเร็วประมาณ 2 วินาที
เป็นเพราะต้องตีละอองน้ำแล้วก็ต้องแน่ใจในความเร็ว มันก็เลยทำให้หมดแรงไปบ้าง เขาสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ในตอนท้าย แต่ไม่ได้อยากให้ใครเห็น ดังนั้นที่กลั้นไว้ก็เลยรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
พอสือมูเฉินมาถึง ก็ยิ้มให้เขาและยอมรับอย่างใจกว้าง : “ ยังไงเป็นวัยรุ่นก็ดีกว่า ผมว่ายไม่ชนะคุณหรอก !”
หลานจื่อเฉินรู้ว่าหน้าแดงเล็กน้อย
ถึงอย่างไรตามเขายังคงกลัวเสียหน้าก็เลยยักคิ้ว : “ ผมพูดก่อนหน้านี้แล้วว่าจะยอมถอยให้ 2 วิ ตอนนี้ก็ถือว่าพวกเรานั้นเสมอกัน ถ้าอย่างนั้น ผมจะยอมรับคุณชั่วคราว !”
“ จื่อเฉิน ให้มันสุภาพหน่อย ” เย่เหลียนอีโยนผ้าเช็ดตัวมาให้
หลานจื่อเฉินแบะปากและพูดอย่างไม่เต็มใจ “ พี่เขย !”
สือมูเฉินก็ยิ้มอย่างใจกว้างให้กับเขา : “ เสี่ยวเฉิน !”
หลานจื่อเฉินรู้สึกโกรธเล็กน้อย ที่เรียกเขาว่าเสี่ยวเฉิน ? ก็เห็นชัดอยู่แล้วว่าเขาก็สูงราวๆกับสือมูเฉิน และฝีมือการยิงปืนยังเก่งกว่าอีกตั้งเยอะ ตอนนี้คิดไม่ถึงว่าจะมองเขาเหมือนกับเด็ก !
เย่เหลียนอีแค่มองไปก็รู้แล้วว่าลูกชายของเธอกำลังคิดอะไรอยู่
ถึงแม้ว่าปกติแล้วเขาจะทำเรื่องที่ดูเป็นผู้ใหญ่ แต่ทว่าก็ยังคงมีนิสัยและความอคติของคนวัยรุ่นอยู่ตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าครอบครัว มันยิ่งแสดงออกมาให้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ
เธอก็ออกมาทำให้มันจบลงด้วยดี : “ ว่ายน้ำมาก็ไปอาบน้ำให้เรียบร้อย พอเสร็จแล้วพวกเราก็ไปสนามฝึกยิงปืน เสี่ยวถาง ฝีมือการยิงปืนของน้องไม่เลวเลยนะ ให้น้องโชว์ให้ลูกดูหน่อย !”
พอหลานจื่อเฉินได้ยินแบบนั้น ก็รู้สึกสบายใจ
หลานเสี่ยวถางหยิบผ้าเช็ดตัวมาแล้วก็ช่วยเช็ดน้ำที่อยู่บนตัวของสือมูเฉิน เขามีรูปร่างที่สูง และเธอก็เอื้อมไม่ถึงหัวของเขาก็เลยอดไม่ได้ที่จะเขย่งปลายเท้าขึ้น
หลานจื่อเฉินที่อยู่ข้างๆก็เห็นเข้าและขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เดิมทีคิดว่าจะเป็นพี่สาวที่สง่าผ่าเผย บึกบึนเข้มแข็ง แต่สุดท้ายก็เห็นเขาสำคัญกว่าญาติตัวเอง ทำไมถึงไม่มาช่วยเขาที่เป็นน้องชายแท้ๆ ?
สือมูเฉินที่เหลือบไปมองก็เห็นสีหน้าท่าทางที่แสดงออกมาในตอนนั้นของหลานจื่อเฉิน เขาก็เลยเอนตัวเข้าไปใกล้ที่หูของหลานเสี่ยวถางและพูดว่า : “ ดูเหมือนว่าน้องชายของคุณจะอิจฉาผมนะ !”
หลานเสี่ยวถางกระพริบตา อิจฉา ?
หลานเสี่ยวถางก็หันกลับดู และในตอนนั้น หลานจื่อเฉินก็ได้หันหลังไปแล้ว และเหลือเพียงแค่ภาพด้านหลังของเขาเอาไว้ให้พวกเขา
“ เอ่อ……เดิมทีแล้วน้องชายเป็นคนที่ฉุนเฉียวง่ายอย่างนั้นหรอ ?”
หลานเสี่ยวถางอดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก แล้วก็ส่งผ้าเช็ดตัวให้กับสือมูเฉิน : “ มูเฉิน ถ้าอย่างนั้นฉันขอไปดูหน่อยนะ ”
“ อื้ม ” สือมูเฉินบีบไปยังแก้มของหลานเสี่ยวถาง : “ ไปง้อเขาเถอะ ยังไงแล้วสามีของคุณก็เป็นคนที่ใจกว้างอยู่แล้ว ไม่เหมือนกับเด็กที่ยังไม่ได้เปิดหูเปิดตา !”
หลานเสี่ยวถางก็มองบนใส่สือมูเฉินและเดินไปยังหลานจื่อเฉิน
“ จื่อเฉิน ด้านหลังของแกยังเช็ดไม่แห้งนะ ให้พี่ช่วยไหม ?” ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นการเจอกับหลานจื่อเฉินเป็นครั้งแรก แต่ก็พยายามเก็บความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเอาไว้ในใจ และพยายามทำให้ตัวเองนั้นดูเป็นธรรมชาติ
หลานจื่อเฉินพูดอย่างสนใจ : “ ไม่เป็นไรครับ ผมเอื้อมมือถึง แต่พี่เขย ผมดูแล้วเขาน่าจะทำไม่ได้ !”
หลานเสี่ยวถางตกอยู่ในภาวะลำบากใจไม่รู้จะทำอย่างไรดี ต้องแสดงออกชัดเจนขนาดนี้เลยหรอ
แต่ดูเหมือนว่าน้องชายที่น่ารักคนนี้รู้สึกว่าแป๊บเดียวก็สามารถลดระยะห่างและใกล้ชิดขึ้น เธอก็หยิบผ้าเช็ดตัวจากมือของเขาและช่วยหลานจื่อเฉินเช็ดด้านหลังที่เขาเช็ดไม่ถึงจนแห้ง
ในตอนนั้น สัมผัสของผ้าเช็ดตัวที่ถูอยู่บนร่างกายของเขามันก็รู้สึกชัดเจนเป็นพิเศษ ในชั่วพริบตาหลานจื่อเฉินรู้สึกราวกับว่าได้ชดเชยส่วนที่ขาดหายมานานหลายปีที่เขาไม่เคยได้รับมัน
เมื่อก่อน เขาเห็นคนอื่นมีพี่มีน้อง เห็นคนอื่นที่มีพ่อแม่คอยรักและทะนุถนอม แต่ทว่าเขากลับมีเพียงแค่คุณตาคุณยายและแม่เท่านั้น
ในตอนนั้น เขาก็คิดอยู่ตลอด ถ้าเกิดว่าพี่สาวของเขาไม่ตายก็คงจะดีมาก และถ้าหากพวกเขาทั้งสองพี่น้องร่วมมือกัน ก็คงไม่มีเรื่องอะไรที่จะไม่เอาอยู่ !
และในวันนี้ ถึงแม้ว่าพี่สาวของเขาจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด แต่รู้สึกได้ถึงความเอาใจใส่ของเธอ รสชาติของชีวิตแบบนั้นดูเหมือนว่าจะห้ามใจไม่ได้จริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่ได้เก่งอะไรมากมายแต่ก็ไม่เป็นไร เขาเก่งก็พอแล้วไม่ใช่หรอ ? เขาเป็นผู้ชาย ถึงแม้จะอายุน้อยกว่าเธอ 5 ปีแต่ก็เป็นแบบอย่างที่สามารถปกป้องเขาได้ !
พอคิดมาถึงนี่แล้ว หลานจื่อเฉินก็อดไม่ได้ที่จะค่อยๆยิ้มออกมา และดวงตาสีทองก็เต็มไปด้วยความแวววาว
หลังจากที่สือมูเฉินกับหลานจื่อเฉินเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็ไปยังสนามฝึกยิงปืนด้วยกัน
ณ ทางเข้าของสนามฝึกยิงปืน เมื่อผู้ชายที่ใส่ชุดสูททั้งสองแถวเห็นทุกคน ก็พูดด้วยความเคารพว่า : “ คุณหนู ลัทซ์ !”
“ ลัทซ์ เป็นชื่ออังกฤษของจื่อเฉิน ” เย่เหลียนอีอธิบาย : “ จื่อเฉินชอบยิงเป้าที่เคลื่อนไหวมากๆ ก่อนหน้านี้ที่ แบรนด์ออเนอร์มีการจัดการแข่งขัน เขาก็ได้ที่หนึ่ง ”
“ เก่งมากเลย !” หลานเสี่ยวถาง : “ แม่คะ แล้วจื่อเฉินทำให้แม่แพ้ยังคะ ?”
เย่เหลียนอีก็หัวเราะ : “ ตอนนั้นแม่ไม่ได้เข้าร่วมการแข่ง ถึงอย่างไร ปกติที่จื่อเฉินแข่งกับแม่ ก็ไม่เลวเลย ”
“ ไม่เป็นไรครับ ผมสอนพี่เอง !” ในตอนนี้หลานจื่อเฉินคิดได้แล้วและเขาก็เกาะติดอยู่กับหลานเสี่ยวถาง : “ พี่อยากจะเรียนอะไร ผมจะสอนทุกอย่างที่ผมรู้ให้พี่เลย ?”
เย่เหลียนอีที่สังเกตเห็นท่าทีของเขาที่เปลี่ยนไป ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเรา : “ ยอมรับในตัวพี่สาวแล้วหรอ ?”
หลานจื่อเฉินก็แบะปากแล้วก็เอามือวางลงบนไหล่ของหลานเสี่ยวถาง และพูดอย่างเป็นธรรมชาติว่า : “ มีอะไรที่จะต้องไม่ยอมรับ เดิมทีก็เป็นพี่สาวของผมอยู่แล้วนิ แน่นอนว่าผมก็ต้องดูแลพี่สาวของผมอยู่แล้ว ”
หลานเสี่ยวถางหัวเราะ : “ ดีเลย ต่อจากนี้ไปก็มีคนดูแลพี่เพิ่มขึ้นมาอีกคน !”
พอมาถึงสนามที่ยิงเป้าเคลื่อนที่ หลานจื่อเฉินก็ปล่อยหลานเสี่ยวถาง : “ พี่ครับ จะแสดงความแม่นในการยิงของน้องชายคนนี้ให้ดู ”
ในขณะที่พูดนั้น เขาก็หยิบปืนขึ้นมา และกลิ่นอายของทั้งคนก็เปลี่ยนไปในทันที
ถ้าให้พูดก่อนหน้านี้หลานจื่อเฉินก็คือคนที่ไม่จริงจังกับชีวิตไม่อ่อนน้อมถ่อมตนและเป็นผู้ชายที่ฉุนเฉียวง่าย แต่ในตอนนี้กลับกลายเป็นผู้ชายที่ผู้ชายที่เด็ดขาด
กลิ่นอายของเขาราวกับปลอกดาบที่ถูกชักออก ความเย็นชาที่เด็ดขาดแน่วแน่ราวกับความแหลมคมของมีด และเหมือนกับกลิ่นอายของความพากเพียรที่หลานเสี่ยวถางเคยเห็นในกองกำลังทหาร
ทันทีที่เขาเหนี่ยวไกปืน ก็เหมือนกับมีลมรายล้อมอยู่รอบๆตัวเขา เขายิงกระสุนออกไปหลายนัดอย่างต่อเนื่อง และเป็นเป้าที่ตั้งอยู่ไกลๆนั้นก็ถูกเล็งยิงไปที่หัวทั้งหมด
“ โอ้พระเจ้า สุดยอดมาก !” หลานเสี่ยวถางก็อุทานอย่างตกตะลึง
หลานจื่อเฉินก็ยักคิ้วอย่างภูมิใจ จากนั้นก็วางปืนลง : “ มาครับพี่ ผมจะสอนให้พี่เอง !”
เมื่อเย่เหลียนอีเห็นว่าทั้งสองคนนั้นเข้ากันได้เป็นอย่างดี ก็ถือว่ารู้สึกวางใจไปทั้งหมด ตอนที่พักผ่อนนั้น เธอก็เอ่ยขึ้นมาว่า : “ ถางถาง งานแต่งของลูกกับสือมูเฉินกำหนดวันเอาไว้แล้วหรือยัง ?”
สือมูเฉินพยักหน้า : “ กำหนดเอาไว้แล้วครับ 28 ธันวาคม ครับ ”
หลานจื่อเฉินก็ถาม : “ มีเพื่อนเจ้าบ่าวยัง ?”
สือมูเฉินพยักหน้า : “ ฉันยังมีเพื่อนอยู่หลายคนที่ยังไม่แต่งงาน ”
หลานจื่อเฉินก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย : “ เสียดายที่คุณตาไม่ให้ผมกลับมาที่ประเทศจีน ถ้าไม่อย่างนั้น……”
หลานเสี่ยวถางก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรก็ยังยิ้ม : “ ไม่เป็นไร พอถึงตอนนั้นพี่จะส่งรูปถ่ายแล้วก็วิดีโอมาให้แก !”
“ ครับ ” หลานจื่อเฉินพยักหน้า
ทุกคนก็คุยกันอยู่สักพัก คืนวันนั้น หลานเสี่ยวถางก็ชวนหลานจื่อเฉินให้ไปพักที่คฤหาสน์ ทั้งสองพี่น้องยิ่งอยู่ก็ยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้น
เป็นเพราะว่าสือมูเฉินยังมีเรื่องที่ต้องจัดการในประเทศไม่น้อย เพราะฉะนั้น หลานเสี่ยวถางกับเขา และซูสือจิ่นก็บินกลับมายังประเทศจีนพร้อมกัน
และหยานชิงเจ๋อทั้งสอง ก็อยู่ในสหรัฐอเมริกาอีกสองวัน ส่วนทุกคนก็กลับไป
ในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ เป็นวันเกิดครบรอบ 70 ปีของตระกูลลั่ว และยังคงเป็นวันที่พ่อของซูสือจิ่นที่ชื่อซูเผิงฮวานัดดูตัวให้กับเธอ
นอกจากสือมูเฉินแล้วก็ยังมีอีกหลายคนที่ได้รับคำเชิญจากนายท่านแห่งตระกูลลั่ว เพราะฉะนั้นในตอนเย็น หลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉินก็ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ไปยังบ้านของตระกูลลั่วพร้อมกัน
ตระกูลลั่วกับตระกูลซูต่างก็เป็นครอบครัวทหาร
นายท่านแห่งตระกูลลาวกับนายท่านเห็นตระกูลซูในปีนั้นยังเคยเป็นสหายร่วมรบกันมาก่อน เพราะฉะนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองครอบครัวจึงดีมาตลอด
และมาถึงในรุ่นของซูสือจิ่น ในตระกูลซูของเธอนั้นทั้งพี่ชายและน้องชายต่างเปลี่ยนอาชีพมาเปิดบริษัทแล้ว ส่วนตระกูลลั่วก็เปลี่ยนมาเป็นอุตสาหกรรมการเงินเช่นกัน มีแค่คุณลุงและน้องชายเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่ยังคงทำงานในหน่วยงานของรัฐ
ในคืนวันนั้น หลานเสี่ยวถางและทั้งสองก็มาถึงที่งานแล้ว มีแขกจำนวนไม่น้อยแล้วที่อยู่ในลานงานของตระกูลลั่ว
เป็นเพราะว่าลั่วฝานหวาเรียนอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เด็กๆ เพราะฉะนั้นแล้วไม่ว่าจะสือมูเฉินหรือคนอื่นๆเขาก็ไม่รู้จักเลย แต่ก็ค่อนข้างคุ้นเคยกับคนรุ่นก่อนของตระกูลลั่ว
ในขณะนั้นเองหลานเสี่ยวถางก็ควงแขนของสือมูเฉินเดินมาตรงหน้าของนายท่านลั่ว ทั้งสองคนก็มอบของขวัญให้เพื่อแสดงความยินดีและสือมูเฉินก็พูดว่า : “ คุณปู่ลั่วครับ ในช่วงก่อนค่อนข้างที่จะมีงานยุ่ง ก็เลยไม่มีโอกาสที่จะได้ไปเยี่ยมเยียน ครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ได้มา นี่คือภรรยาของผมครับหลานเสี่ยวถาง เสี่ยวถาง นี่คือคุณปู่ลั่ว เป็นคนที่คอยเฝ้าดูรุ่นของพวกเราเติบโต !”
หลานเสี่ยวถางก็รีบตอบกลับพร้อมกับรอยยิ้ม : “ คุณปู่ลั่ว ของให้คุณปู่มีบุญบารมีกว้างใหญ่ไพศาล และขอให้อายุมั่นขวัญยืนนะคะ !”
“ มูเฉิน ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินมาว่าแกแต่งานแล้ว แต่ก็ไม่เคยจะเห็นแกจะพาภรรยาออกมา พอได้เจอในวันนี้ ไม่รู้เลยว่าจะสวยขนาดนี้ !” นายท่านแห่งตระกูลลั่วก็พูดว่า : “ ไม่แปลกเลยที่จะซ่อนอยู่ในบ้าน ! แต่ถึงอย่างไรถ้าปกติไม่มีอะไรทำก็ควรก็ต้องออกมาเดินเล่นให้มันมากๆ โดยเฉพาะรุ่นของพวกแก ฝานหวากลับมายังไม่ถึงสองเดือน ยังมีหลายที่ที่ยังไม่คุ้นชิน อย่างไรก็ต้องขอให้พวกแกช่วยดูแลเป็นอย่างมาก !”
“ มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วครับ ” สือมูเฉิน : “ ก่อนหน้านี้ที่ผมไปสหรัฐอเมริกาก็เคยได้เจอกับฝานหวาไม่กี่ครั้ง ก็ถือได้ว่าค่อนข้างคุ้นชิน ต่อจากนี้ไปก็คงจะมีโอกาสในการแลกเปลี่ยนมากกว่านี้อย่างแน่นอนครับ !”
นายท่านแห่งตระกูลลั่วพยักหน้า : “ ใช่ ต่อจากนี้ไปมันจะเป็นโลกของรุ่นแก !”
ในขณะที่พูดนั้น เขาก็ชี้ไปยังชายหนุ่มคนหนึ่งที่รายล้อมไปด้วยผู้คน : “ ฝานหวาอยู่นู้นไง ฉันจะพาพวกแกไป ”
ก่อนหน้าที่หลานเสี่ยวถางเคยได้ยินมาว่าตระกูลซู ตระกูลลั่วมีเจตนาที่จะจับคู่ซูสือจิ่นกับลั่วฝานหวา ดังนั้นเธอก็เลยอดไม่ได้ที่จะสงสัยเล็กน้อย ดังนั้นจึงควงแขนของสือมูเฉิน และเดินไปยังกลุ่มวัยร่นนั้น