ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 271 เราลองใช้ชีวิตเหมือนคู่สามีภรรยากัน ได้ไหม
และในรถด้านหลังคันนั้น หยานชิงเจ๋อกับซูสือจิ่นนั่งอยู่แถวหลังในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาว
ในรถเงียบมาก เพราะทั้งสองคนสวมชุดมาน้อย ดังนั้นลมอร้อนในรถจึงแรงมากพอ ที่จะนำพาให้ลมหายใจกระสับกระส่ายขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้มีความกดอากาศมากขึ้นเรื่อยๆ
ซูสือจิ่นนั่งอยู่ข้างๆหยานชิงเจ๋อ รู้สึกได้ว่าสายตาของเขามองออกไปนอกหน้าต่างตลอด เธอรู้สึกขมขื่นในใจเล็กน้อย แต่ยังคงรวบรวมความกล้าขึ้นมา
เธอกลืนน้ำลาย เพื่อต้องการผ่อนคลายอาการติดขัดในลำคอลง เตรียมความคิดอยู่สองวินาที แล้วพูดออกไปว่า : “พี่ชิงเจ๋อ——”
ที่ด้านข้าง หยานชิงเจ๋อถอนหายใจเบาๆ แต่สายตายังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง
เห็นท่าทีของเขาในเวลานี้ ซูสือจิ่นรู้สึกเพียงแค่ว่าความกล้าหาญที่ได้รวบรวมเอาไว้มันเหมือนน้ำแข็งหิมะที่เจอเข้ากับน้ำเดือด แต่เธอยังคงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพูดคำพูดเมื่อกี้นี้ให้จบ : “พี่ชิงเจ๋อ ในเมื่อเราแต่งงานกันแล้ว เราอยู่ร่วมกันด้วยดีจะได้ไหม?”
ดูเหมือนว่าหยานชิงเจ๋อจะถูกเนื้อหาของเธอทำให้ประหลาดใจ จากนั้นก็หันมาอย่างช้าๆ มองไปทางซูสือจิ่นด้วยสายตาเย็นชา
“เรา……” ซูสือจิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ : “เราลองดูได้ไหม อยู่ร่วมกันเหมือนกับสามีภรรยา ถึงอย่างไรเราก็แต่งงานกันแล้ว อีกทั้ง……”
ซูสือจิ่นรู้สึกตึงเครียดยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหยานชิงเจ๋อที่สงบและเยือกเย็นอย่างนี้ ภายใต้สายตาที่ไร้อารมณ์ความรู้สึก ประโยคของเธอ ‘อันที่จริงฉันชอบคุณมานานแล้ว’ นั้น มันเอ่อล้นมาที่ลำคอ แทบจะส่งเสียงออกมา มันทำให้เธอตึงเครียดจนเหงื่อออกไปทั้งตัว
เธอเคยคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย เธอต้องให้โอกาสตนเองสักครั้ง
เธอแต่งงานกับเขา แล้วก็โชคดีที่ช่วงชิงมาได้ เธอจึงมีข้ออ้างที่จะอยู่ด้วยกันกับเขา
ถ้าเธอไม่เคยพยายามเลย ในอนาคตก็จะต้องเสียดายในภายหลัง แต่ถ้าพยายามแล้วพ่ายแพ้ ในอนาคตเมื่อมองย้อนกลับไป มากที่สุดเธอก็แค่เสียใจ แต่จะไม่เสียดายอย่างแน่นอน!
แต่เวลานี้ จู่ๆหยานชิงเจ๋อก็มีปฏิกิริยาตอบกลับ——
“หึหึ——” เสียงหัวเราะเยาะเอ่อล้นออกมาจากปากของเขา เขามองไปที่ซูสือจิ่น ความเย็นชาในดวงตาของเขาถูกแทนที่ด้วยความเย้ยหยัน ริมฝีปากสวยๆของเขาก็หัวเราะเยาะขึ้นมา : “ซูสือจิ่น ใจคุณกว้างจริงๆเลย!”
ซูสือจิ่นตัวแข็งทื่อ เดิมทีคำพูดที่พูดโพล่งออกมาโดยไม่ยั้งคิดชั่วขณะมันติดอยู่ที่ลำคอ แล้วก็พูดไม่ออกอีก
หยานชิงเจ๋อเห็นท่าทีที่เธอได้รับความเจ็บปวด ใจของเขาก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที ด้วยเหตุนี้คำพูดที่พูดออกไปก็ยิ่งเป็นพิษเป็นภัยมากยิ่งขึ้น : “ทัศนคติของคุณไม่ได้มีปัญหาใช่ไหม? จริงๆแล้วอยากจะบอกว่าตนเองมีความคิดอยากจะใช้ชีวิตแบบสามีภรรยากับผู้ชายที่เป็นพี่น้องกันมาตั้งแต่เด็กๆใช่ไหม? ฮ่าๆ คาดไม่ถึงว่าคุณจะมีความคิดที่ทันสมัยขนาดนี้ แม้แต่การผิดศีลธรรมระหว่างพี่น้องก็พูดออกมาได้ง่ายๆ!”
ถ้าไม่ได้มีการแต่งหน้า ใบหน้าของซูสือจิ่นคงจะซีดเผือดในตอนนี้ เธอพยายามควบคุมน้ำตาที่แทบจะไหลออกมา มองหยานชิงเจ๋อแล้วพูดว่า : “ฉันไม่ใช่น้องสาวของคุณ เราไม่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด!”
หยานชิงเจ๋อหรี่ตามอง สายตาเปลี่ยนเป็นเฉียบคมเล็กน้อย : “ไม่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดก็ไม่ใช่พี่น้องกันใช่ไหม? ที่ผ่านมายี่สิบกว่าปี ฉันไม่ได้คิดว่าคุณเป็นน้องสาวของตนเองมาตลอดหรอกเหรอ? ฉันเคยบอกกับคุณหรือเปล่า?! อย่ามาพูดเลยว่าคุณชอบฉัน ฉันไม่เชื่อ อีกทั้งยังรู้สึกสะอิดสะเอียนอีกด้วย!”
ดวงตาของซูสือจิ่นเบิกกว้างขึ้นทันที ไม่อยากจะเชื่อในคำพูดที่เพิ่งจะได้ยิน
และเวลานี้ หยานชิงเจ๋อยังคงพูดซ้ำเติมอีกว่า : “ก็ถูก ฉันแต่งงานกับคุณแล้ว อย่างนั้นฉันก็จะยกตำแหน่งคุณนายหยานนี้ให้คุณ แต่ถ้าจะให้อยู่ร่วมกันแบบสามีภรรยา อย่าได้คิดเลย!”
ในขณะนี้ ซูสือจิ่นจึงค่อยๆได้สติกลับมาจากในคำพูดของเขา
เขาบอกว่า เขาไม่เชื่อว่าเธอชอบเขา
เขาบอกว่า ถึงแม้ว่าเธอจะชอบเขาจริงๆ เขาก็จะรู้สึกสะอิดสะเอียน
เขายังบอกอีกว่า เขาจะให้ตำแหน่งนี้แก่เธอ แต่ไม่สามารถคิดว่าเธอเป็นภรรยาของเขาได้……
คำพูดของเขา เหมือนมือที่มองไม่เห็น ยื่นเข้าไปในซี่โครงของเธออย่างไม่ทันตั้งตัว ตรงเข้าไปที่หัวใจ จากนั้นก็คว้ามันไว้ทันที
ทันใดนั้น ความเจ็บปวดก็แผ่ซ่านไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย เหมือนมีเลือดสดๆหยดลงอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ
ฉะนั้นความกล้าเหล่านั้นที่เธอต้องการจะบอกชอบ เธอเก็บซ่อนความรู้สึกมาสิบกว่าปี แต่เธอกลับถูกเขาตราหน้าว่า ‘น่าสะอิดสะเอียน’ อย่างนี้ มันเหมือนกับดอกไม้ในยามค่ำคืน ที่รอจะเบ่งบานกลางแสงแดดไม่ไหว จึงเหี่ยวเฉาตายไปอย่างเงียบๆ
ซูสือจิ่นเสียใจมากจนอยากจะร้องไห้ แต่ก็พยายามอดกลั้นอดทนกับความรู้สึกของตนเองอย่างสุดความสามารถ
เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นขบวนรถที่ทอดยาวและคดเคี้ยวข้างหลังเธอ นึกถึงก่อนที่ตนเองจะมาในวันนี้ เคยคิดเพ้อฝันว่านี่คืองานแต่งของเธอกับหยานชิงเจ๋อ
ทั้งหมดมันเป็นแค่ความเพ้อฝันจริงๆ……
นิ้วมือของเธอกำขึ้นมาจนแน่น เล็บจิกเข้าไปที่กลางฝ่ามือ จนกระทั่งความเจ็บปวดแผ่ซ่านมาที่ฝ่ามือ เธอจึงรู้สึกว่าน้ำตาถูกเธอยับยั้งกลับไปได้แล้วจริงๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน จึงทำให้เธอรู้สึกว่าตนเองไม่ถึงขั้นกับทำกิริยาไม่เหมาะสม เธอจึงหันกลับไปทางหยานชิงเจ๋อข้างๆที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วพูดว่า : “โอเค ที่คุณพูดก็ถูก อย่างนั้นต่อไปนี้ ก็ต่างคนต่างอยู่ เมื่อจำเป็นจะต้องเจอพ่อแม่ ก็แกล้งทำเป็นสามีภรรยากัน เมื่อไม่จำเป็น ก็ไม่ต้องมาเจอหน้ากัน”
หยานชิงเจ๋อฟังคำพูดของเธอ ก็เหมือนได้ยินเสียงลม ปฏิกิริยาตอบกลับสักนิดก็ไม่มี
ซูสือจิ่นมองเขาอยู่หลายวินาที เห็นเขาไม่ชายตามองแม้แต่น้อย
ก็รู้สึกได้ว่าหัวใจของตนเอง คล้ายกับกลายเป็นเถ้าถ่านทีละน้อยๆหลังจากประกายไฟดับลง สุดท้าย เกรงว่าความอบอุ่นที่เหลืออยู่ก็คงจะหมดลงไปด้วยใช่ไหม?
คำพูดเหล่านั้นที่เธอพูดไปเมื่อกี้นี้ เดิมทีเธอก็ไม่ได้ต้องการ แต่บางทีอาจรับรองได้ว่าเป็นสิ่งที่เขาต้องการฟัง
เธอทำให้เขาสมความปรารถนาแล้ว เดิมทีก็คิดว่าเขาจะต้องขานรับเธอบ้าง แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะไม่เต็มใจที่จะเสียเวลากับเธอ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เขาเกลียดเธอมากแค่ไหน!
จู่ๆซูสือจิ่นก็นึกถึงละครทีวี ในละครมีนักแสดงหญิงคนหนึ่งชื่อซ่งหนิง
คืนนั้นที่ซ่งหนิงแต่งงานกับสามี เดิมทีตนเองก็ได้เตรียมคำพูดของคนรู้ใจไว้พูดคุยกับสามี
แต่คืนแรกที่ส่งตัวเข้าหอเธอก็รออยู่เป็นเวลานาน กลับถูกแลกมาด้วยประโยคที่เย็นชาและไม่แยแสของเขา และภาพที่เขาโอบกอดกับผู้หญิงอีกคน
นับตั้งแต่นั้นเป็นเวลาเจ็ดปี ซ่งหนิงก็ไม่เคยแสดงความรักของตนเองอีกเลย และสามีของเธอ ก็ทำร้ายเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เธอยิ่งผิดหวังอย่างมาก
สุดท้าย เธอก็ใช้เพลงท่วงทำนองแห่งแดนสนธยา จบชีวิตของตนเอง
และสามีของเธอ หลังจากที่เธอตายไปแล้ว ได้รับรู้ว่าในตอนนั้นเข้าใจผิด ก็รู้สึกเจ็บปวดใจจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ เพราะยอมแพ้ที่จะต่อสู้ จึงเสียชีวิตในสนามรบ ก่อนที่เขาเกือบจะเสียชีวิต เขาได้กำขวดเถ้ากระดูกของซ่งหนิงเอาไว้แน่น
มุมปากของซูสือจิ่นปรากฏรอยยิ้มที่เยาะเย้ยขึ้นมา เป็นรอยยิ้มตื้นๆ แต่ความโศกเศร้าอย่างรุนแรงก็ปรากฏออกมา
งานแต่งของสือมูเฉินและหลานเสี่ยวถางได้จัดขึ้นที่คฤหาสน์หลังหนึ่ง
นี่คืออสังหาริมทรัพย์ภายใต้การบริหารของTimes Group ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของหนิงเฉิง มีต้นไม้เขียวขจีสวยงามอย่างมาก
แต่เพราะเป็นฤดูหนาว ดังนั้นต้นไม้จำนวนมากจึงใบร่วงจนหมดต้น แต่เวลานี้มีดอกไม้สดจัดวางอยู่เต็มท้องถนน
ดอกไม้สดทั้งหมดล้วนส่งมาจากทางตอนใต้ทางเครื่องบิน ดังนั้น เมื่อเดินอยู่ในนั้น คาดไม่ถึงว่าจะได้กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้
ในที่สุด รถวิวาห์จอดอยู่ที่ช่วงต้นพรมแดง เป็นครั้งแรกที่หลานเสี่ยวถางได้เห็นสถานที่จัดงานแต่งของตนเอง
ก่อนหน้านี้ สือมูเฉินบอกว่าเธอตั้งท้องแล้วต้องพักผ่อน ดังนั้น การจัดการตกแต่งทั้งหมดล้วนเป็นเขาที่สั่งให้คนมาทำจนเสร็จสมบูรณ์
เวลานี้ เธอเห็นฉากที่ราวกับภาพความฝัน อดไม่ได้ที่จะกอดแขนของสือมูเฉิน แล้วกล่าวกระซิบว่า: “มูเฉิน ที่นี่สวยจังเลย ฉันรู้สึกว่ามันเหมือนกับดินแดนแห่งสวรรค์เลย”
เพราะหนิงเฉิงในฤดูหนาวมีดอกไม่สีสันสวยงามบานสะพรั่งให้ได้ชื่นชมซะที่ไหนกัน อีกทั้งน้ำตกที่สร้างขึ้น นกพิราบที่กำลังจิกกินเมล็ดข้าวอยู่บนพื้น แล้วก็ความรู้สึกที่อบอุ่นที่ราวกับฤดูใบไม้ผลิ ทำให้คนรู้สึกเหมือนกับว่าอยู่อีกประเทศหนึ่ง
งานแต่งเป็นงานกลางแจ้ง แต่บนท้องฟ้าถูกคลุมด้วยกระจกใสมาก่อนหน้านี้แล้ว แล้วเปิดเครื่องปรับอากาศจนอุ่น ดังนั้น จึงไม่รู้สึกหนาวโดยสิ้นเชิง และเวลานี้ แขกเหรื่อก็มาถึงจำนวนมากแล้ว และสือมูเฉินก็กล่าวทักทายกับคนที่เรียงแถวกันเข้ามา
หลานเสี่ยวถาง เฉียวโยวโยวและซูสือจิ่น ไปยังห้องแต่งตัวเจ้าสาวที่ต่อเติมเสร็จแล้วเพื่อพักผ่อนก่อน และทางด้านของสือมูชิงก็อยู่กับสือมูชิง ฟู่สีเกอ แล้วก็หยานชิงเจ๋อ ได้กล่าวทักทายแขกอยู่ด้านนอกก่อน
ยังมีเวลาอีกสักระยะก่อนสิบโมงตามกำหนดพิธีเดิม และแขกที่ได้รับเชิญมาในครั้งนี้ล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียงทั้งสิ้น ดังนั้น เมื่อทุกคนได้รวมตัวกันแล้ว ก็ไม่พลาดโอกาสที่จะแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันแบบนี้
สือมูเฉินเพิ่งจะพูดคุยกับรัฐมนตรีท่านหนึ่งเสร็จ พอหันตัวกลับ ก็เห็นชายวัยกลางคนพุงพลุ้ยคนหนึ่ง เดินเข้ามาพร้อมกับหญิงสาวที่ตั้งท้องคนหนึ่ง
“ประธานสือ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ!” ในตอนนั้นเขาเป็นรองนายกเทศมนตรีของเมืองไห่หลิน ซึ่งตอนนี้ได้เป็นนายกเทศมนตรีแล้ว และผมของเขา ก็บางตาลงไปมาก
“คุณอา——” ทางหย่าหยุนที่กำลังตั้งท้องและยืนอยู่ข้างๆนายกเทศมนตรี ดูไม่เหมือนภรรยาของเขา แต่เหมือนลูกสาวของเขามากกว่า
“นายกเทศมนตรีจาง ไม่ได้เจอกันนานเลย ดูสีหน้ามีราศีมากเลยนะครับ!” สือมูเฉินเช็กแฮนด์กับนายกเทศมนตรีจาง
จากนั้น เขาก็มองไปยังทางหย่าหยุน:”คุณนายจาง ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ!”
ทางหย่าหยุนได้ยินเขาเรียกตนเองแบบนี้ แล้วก็เห็นสือมูเฉินในเวลานี้ที่เหมือนเดินออกมาจากภาพวาด ภายในใจของเธอก็ยิ่งขมขื่น ดวงตาแดงเล็กน้อย
แต่ไม่ว่าเธอจะไม่เต็มใจแค่ไหน ไม่ว่าเธอจะหึงแค่ไหน สุดท้ายแล้วสือมูเฉินก็ไม่ใช่ของเธอ และข้างกายของเธอ ก็มีชายคนหนึ่งที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับพ่อของตนเอง ในท้องของเธอ ก็ยังมีลูกของผู้ชายคนนั้นอีกด้วย
จู่ๆเธอก็นึกถึงหลังจากก๊วยพู้แต่งงานแล้ว ได้มาเจอกับก๊วยเจ๋งก็รู้สึกสับสนวุ่นวาย เธอหลบสายตาลง ลูบคลำท้อง ระงับความรู้สึกหดหู่และเศร้าสลดทั้งหมด: “ขอบคุณค่ะคุณอา วันนี้ ก็ต้องแสดงความยินดีกับคุณอาและอาสะใภ้เช่นกันนะคะ!”
“ขอบคุณครับ!” สือมูเฉินยิ้มๆ แล้วก็สนทนากับนายกเทศมนตรีจางอีกสองสามคำ จากนั้นก็ไปกล่าวทักทายแขกคนอื่นๆต่อ
เวลาผ่านไปทีละน้อยๆ ในที่สุดก็เข้าใกล้ช่วงเวลาที่จะเริ่มพิธีแต่งงานแล้ว และเวลานี้ พิธีกรก็ได้มาถึงบนเวทีแล้ว
เขาหยิบไมโครโฟนขึ้นมา บอกให้ทุกคนหาที่นั่งให้เรียบร้อย จากนั้นก็ประกาศว่าพิธีแต่งงานกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
มีเสียงเพลงเบาๆคลอขึ้นมา พิธีกรกล่าวว่า: “วันนี้ เป็นวันที่พิเศษวันหนึ่ง ณ ที่แห่งนี้ พวกเราจะได้พบกับพิธีแต่งงานที่รอคอยมานาน จำได้ว่าก่อนหน้านี้คุณสือได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ตนเองแต่งงานแล้ว ภรรยาสงบเสงี่ยมอย่างมาก พวกเขาอยู่ร่วมกันด้วยความรักความผูกพันที่ดีอย่างมาก เวลานั้น ฉันอยู่หน้าทีวี ได้ยินคำพูดแบบนี้แล้ว ก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นอย่างมากว่า ตกลงแล้วภรรยาของเขาเป็นแบบไหนกัน ถึงได้สามารถครองใจสามีที่ดีเลิศขนาดนี้ได้ เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่า คุณสือเป็นถึงท่านประธานของTimes Group แต่ไม่เคยมีข่าวฉาวเลย เช่นนั้น ตอนนี้ก็ขอเชิญคุณสือ และเจ้าสาวผู้ลึกลับในวันนี้ครับ!”
เมื่อคำพูดของเขาจบลง ดนตรีแสดงสดภายในงานแต่งก็ดังขึ้นมา จากนั้น ก็เห็นสือมูเฉินและเพื่อนเจ้าบ่าวสองคน ค่อยๆเดินเข้ามาจากปลายสุดของพรมแดง