ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 279 เด็กดิ้นได้เร็วขนาดนี้ซะที่ไหนกัน!
หยานชิงเจ๋อพยักหน้าแสดงออกถึงการเห็นด้วย เขาคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า : “รอหลังจากที่พี่สะใภ้แก้ปัญหาได้แล้ว ฉันจะให้คนไปตรวจสอบทันที ว่าท้ายที่สุดแล้วความลับรั่วไหลมาจากที่ไหน”
สือมูเฉินกล่าวว่า : “โอเค หลังจากตรวจสอบออกมาแล้ว แจ้งให้ฉันทราบโดยเร็วที่สุด แล้วก็อย่าลืมว่า ถ้าคุณสงสัยใคร ก็อย่าเพิ่งไปถาม มาปรึกษาหารือกับฉันก่อน”
“โอเค” หยานชิงเจ๋อพยักหน้า
เห็นเพื่อนเก่าคนหนึ่งโบกมือทักทายเขา หยานชิงเจ๋อก็ยิ้มให้แล้วเดินเข้าไปหาทันที แต่เมื่อเขาเดินไปถึงครึ่งทาง คำพูดของสือมูเฉินก็ดังก้องขึ้นมาในหูของเขา
สือมูเฉินบอกว่า บางทีอาจจะเป็นคนของพวกเขา ที่มาเคลื่อนไหวคอมพิวเตอร์หรือมือถือ……
จู่ๆหนานชิงเจ๋อก็นึกขึ้นได้ว่า กลางดึกวันนั้นที่เจียงซีหยู่ออกจากบ้านไป มือถือของเขามันถูกเปลี่ยนตำแหน่ง
แต่ก็เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนตำแหน่งเท่านั้น ในเวลานั้นเขาก็ไม่ได้ดู ว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า?
อีกทั้งในตอนแรกที่อยู่อเมริกาเขาก็เป็นฝ่ายตามจีบเธอเอง ไม่ว่าอย่างไร เธอไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับมั่วหลิงชวน ด้วยการพิจารณาตามหลักการเหตุผลของเขา
เมื่อหยานชิงเจ๋อนึกถึงสิ่งเหล่านี้ ก็ได้เดินมาถึงตรงหน้าเพื่อนเก่าแล้ว
อีกฝ่ายยื่นแขนออกมา : “ชิงเจ๋อ ไม่ได้เจอกันนานเลย เห็นว่าคุณยุ่งตลอดจึงไม่ได้เรียกคุณ วันนี้หล่อมากเลยนะ!”
หยานชิงเจ๋อกอดอีกฝ่ายเป็นการทักทาย เก็บกดความสงสัยไว้ในใจชั่วคราว
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง แขกเหรื่อก็ทยอยออกไปกันหมดแล้ว และเวลานี้ ที่ด้านหลังเวที หลานเสี่ยวถางกดปุ่ม Enter จากนั้นก็รอการตอบสนองที่ด้านบนอย่างตึงเครียด
บนหน้าจอเริ่มดำเนินการโหมดสลีปทันที จากนั้นแถบความคืบหน้าก็เริ่มจาก 0 ค่อยๆเพิ่มไปถึง 99% จนกระทั่ง——
100%!
“ดำเนินการโหมดสลีปสำเร็จ!”
เมื่อเห็นข้อความนี้ หลานเสี่ยวถางก็รู้สึกได้ถึงพละกำลังที่หมดลงไปทันที เธอจึงเอนหลังพิงเก้าอี้
และหน้าจอก็แสดงให้เห็นว่า ไวรัสของคนคนนั้นที่ต่อสู้กับเธอมาหลายชั่วโมง เวลานี้ได้เข้าสู่โหมดสลีปแล้ว ระยะเวลาของการสลีปคือ 9999 ปี
เวลานี้มือถือบนโต๊ะดังขึ้น หลานเสี่ยวถางหยิบขึ้นมารับสาย : “มั่วหลิงชวน?”
“ผู้พิทักษ์ ฉันรู้สึกทึ่งกับคุณจริงๆ” มั่วหลิงชวนดูเหมือนจะไม่ได้เป็นทุกข์กับความล้มเหลวเลย น้ำเสียงกลับตื่นเต้นดีใจมากยิ่งขึ้นไปอีก : “คุณเป็นผู้หญิงคนแรกเลยที่ฉันยอมให้ ถ้ามีโอกาส จะขอเชิญคุณไปดื่มกาแฟด้วย เราจะได้มาแลกเปลี่ยนความรู้กันซึ่งๆหน้า!”
ยังจะดื่มกาแฟอีกเหรอ? หลานเสี่ยวถางพูดอย่างอารมณ์เสีย : “ประสาท! ฉันไม่ต้องการการยอมรับจากคุณหรอกนะ ฉันแค่หวังว่า คุณจะรับปากและทำตามสัญญาด้วย!”
“วางใจเถอะ ถ้าฉันเผยแพร่วิดีโอนี้ต่อสาธารณชน มันก็ไม่สนุกแล้วละ!” น้ำเสียงของมั่วหลิงชวนเหมือนกับเด็กที่ได้ลูกกวาด : “ตอนแรกฉันรู้สึกว่าเรื่องราวหลายสิ่งหลายอย่างมันไม่มีความหมาย แต่คุณได้จุดไฟทำให้ความรักของฉันมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง! กาแฟ สั่งไว้ให้คุณแล้วนะ!”
หลานเสี่ยวถางวางสายไป
เธอกำลังจะลุกขึ้น ออกไปบอกข่าวนี้กับสือมูเฉิน ก็เห็นว่าสือมูเฉินเดินเข้ามาพอดี
สีหน้าของเขาเรียบเฉยมาก ถึงแม้จะคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันสายไปแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกถึงความผิดหวังเลยแม้แต่น้อย
เขาเดินเข้ามาตรงหน้าหลานเสี่ยวถาง แล้วพูดว่า : “เสี่ยวถาง เหนื่อยไหม? พักสักหน่อยเถอะ เราออกไปทานอาหารกัน มีของหวานที่คุณชอบเยอะแยะเลย ฉันเก็บไว้ให้คุณโดยเฉพาะ”
“มูเฉิน ฉัน——”
หลานเสี่ยวถางยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกสือมูเฉินพูดตัดบทว่า : “เสี่ยวถาง ไม่เป็นไร เผยแพร่ออกไปก็แค่เสียผลประโยชน์เท่านั้น แขกก็ไปกันหมดแล้ว ไม่ต้องเป็นทุกข์ไป สามีจะช่วยนวดไหล่ให้คุณนะ!”
หลานเสี่ยวถางได้สติกลับมา
ที่แท้สือมูเฉินคิดว่าเธอแก้ปัญหาไม่ได้ คิดว่าตัวตนอีกหนึ่งด้านของเขาจะได้รับการเผยเปิดออกมาในเร็วๆนี้ใช่ไหม?
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา มุมปากยกยิ้มขึ้น เพียงแต่จงใจที่จะไม่พูดออกไป
วันนี้หลานเสี่ยวถางแต่งหน้ามาอย่างละเอียดอ่อนและงดงาม เดิมทีรูปหน้าก็สวยราวกับภาพสามมิติที่แกะสลักอย่างประณีตอยู่แล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองเขา แววตาก็เป็นประกาย รอยยิ้มที่มุมปาก ทำให้คนดูสดใส
ดูเหมือนว่าสือมูเฉินจะรู้สึกตาลายเล็กน้อย ตกตะลึงอยู่หลายวินาที เมื่อได้สติกลับมา จึงพบว่าตนเองยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ : “เสี่ยวถาง ทำไมถึงได้ดูดีใจขนาดนี้ล่ะ?”
“คุณลองทายดูสิ” หลานเสี่ยวถางกะพริบตาปริบๆ
“เพราะเราแต่งงานกันเหรอ?” สือมูเฉินถาม
หลานเสี่ยวถางส่ายหัว
สือมูเฉินคิดๆเล็กน้อย : “เพราะว่าแม่ของคุณบอกอะไรกับคุณใช่ไหม?”
หลานเสี่ยวถางเบ้ปาก : “ไม่ใช่”
สือมูเฉินพูดอีกว่า : “ลูกดิ้นเหรอ?”
หลานเสี่ยวถางยิ้มๆ : “เด็กดิ้นได้เร็วขนาดนี้ซะที่ไหนกัน!”
เธอรู้สึกได้ถึงความสนใจอยากรู้ของสือมูเฉิน จึงดึงสือมูเฉินมา แล้วมองไปทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเธอ
เมื่อสือมูเฉินเห็นข้อความภาษาอังกฤษบนหน้าจอ คนทั้งคนก็สั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นก็มองไปที่หลานเสี่ยวถางด้วยความตกตะลึง ประกายในแววตาไม่สามารถปกปิดไว้ได้
น้อยมากที่เธอจะได้เห็นการแสดงออกเช่นนี้ของสือมูเฉิน! หลานเสี่ยวถางรู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างมาก เธอเงยหน้ามองเขา เหมือนกับเด็กที่สอบได้คะแนนเต็มแล้วรอรับความดีความชอบจากผู้ใหญ่
“เสี่ยวถาง คุณทำสำเร็จแล้วจริงๆ!” สือมูเฉินยื่นมือไปโอบกอดหลานเสี่ยวถางเอาไว้ ผ่านไปสองสามวินาที จึงปล่อยเธอออกเล็กน้อย เขาหยิกแก้มของเธอเบาๆ: “เดิมทีฉันก็คิดเอาไว้แล้วว่า ถ้าหากคุณร้องไห้มาหาฉัน ฉันควรจะปลอบโยนคุณอย่างไรดี ไม่นึกเลยว่าทางด้านDRบอกว่าต้องใช้เวลา19ชั่วโมง แต่คาดไม่ถึงว่าคุณจะใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงก็สามารถแก้ไขปัญหาได้! คุณรู้ไหม ฉันถึงกับโทรไปที่อเมริกาเพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์วิกฤตการณ์แล้วนะ……”
หลานเสี่ยวถางถูกคำพูดที่ออกมาเป็นชุดของสือมูเฉินทำให้รู้สึกเกรงใจเล็กน้อย เธอฉีกยิ้มมุมปาก: “จู่ๆฉันก็นึกขึ้นได้ จึงได้นึกถึงวิธีการสลีปนี้…….”
“ภรรยาเก่งขนาดนี้ สามีกดดันมากเลยนะ!” สือมูเฉินพูดพลาง โน้มตัวลง อุ้มหลานเสี่ยวถางขึ้นมา แล้วเดินไปยังด้านนอก: “ไป วันนี้ทำผลงานได้ดีขนาดนี้ สามีจะพาคุณไปทานของหวาน!”
“ห๊ะ ด้านนอกยังมีคนอยู่ ถ้าพวกเขาเห็นคุณอุ้มฉันแบบนี้…..” หลานเสี่ยวถางรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
“คุณเป็นภรรยาของฉัน ฉันอยากจะอุ้มยังไงก็ได้!” สือมูเฉินกล่าวว่า: “ยิ่งไปกว่านั้น คุณสวมรองเท้าส้นสูงก็เมื่อยอยู่แล้ว ฉันอุ้มคุณมันก็ถูกต้องแล้วนี่!”
เขาพูดพลาง อุ้มหลานเสี่ยวถางเดินไปด้านนอก แล้วกล่าวกับยานชิงเจ๋อว่า: “ชิงเจ๋อ จัดการไวรัสได้เรียบร้อยแล้ว”
“จัดการแล้ว?” การแสดงออกในเวลานี้ของหยานชิงเจ๋อเหมือนกันกับสือมูเฉินในตอนนั้น
“นี่คือข้อดีของการแต่งงานกับภรรยาที่ฉลาด!” สือมูเฉินนำหลานเสี่ยวถางวางลงบนโซฟา แล้วพูดอย่างจริงใจว่า: “ดังนั้น ชิงเจ๋อ ต่อไปคุณก็ต้องแต่งกับภรรยาที่มีคุณธรรมและความสามารถ!”
หัวใจหยานชิงเจ๋อจมดิ่งเล็กน้อย แต่ไม่ได้แสดงออกมา เขารีบก้าวไปยังตรงหน้าของหลานเสี่ยวถางแล้วกล่าวว่า: “พี่สะใภ้ ทำสำเร็จได้ยังไงเหรอ?”
“ชิงเจ๋อ มูเฉินบอกว่าคุณเป็นคนบ้างาน น่าจะพูดไม่ผิดจริงๆ!” หลานเสี่ยวถางยิ้มๆ จากนั้นก็เล่าวิธีให้หยานชิงเจ๋อฟัง
หยานชิงเจ๋อได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเล็กน้อย: “พี่สะใภ้ ฉันคิดว่าคุณเหมาะสมเป็นพิเศษที่จะเป็นที่ปรึกษาของกลุ่มDR!”
ถึงแม้ความสามารถทางด้านธุรกิจของหลานเสี่ยวถางจะไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษ แต่แนวคิดและความอดทนต่อความกดดันก็ไม่เลว ดังนั้น ตำแหน่งที่ปรึกษาแบบนี้ก็น่าจะเหมาะสม!
หลานเสี่ยวถางพยักหน้า: “ได้สิ รอให้ฉันคลอดลูกแล้ว ก็จะเข้าร่วมกับDRอย่างเป็นทางการ!”
เวลานี้ สือมูเฉินก็ถือของหวานเข้ามา หยานชิงเจ๋อเห็นว่าคนทั้งสองต้องการจะสวีตกัน ด้วยเหตุนี้ จึงตัดสินใจไม่อยู่เป็นก้างขวางคอ
พิธีแต่งงานของสือมูเฉินและหลานเสี่ยวถางวันนี้ แน่นอนว่าได้เชิญผู้ใหญ่สองสามท่านมาเข้าร่วมงาน
เมิ่งซินหรุ่ยแม่ของฟู่สีเกอที่เดิมทีจะมาตอนเช้า สุดท้ายก็ไม่รู้ทำไมถึงท้องเสีย จึงทำได้เพียงส่งให้พ่อของเขาเข้ามา
และทางด้านหยานชิงเจ๋อ ซูสือจิ่นก็มีพ่อแม่มาร่วมงานทั้งคู่
เพราะเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมาหลายปี ดังนั้น ทุกคนก็รับหน้าที่ในการส่งแขก
ส่งแขกเสร็จแล้ว แม่หลู่หยุนเซียงและพ่อหยานเว่ยคุนกลับมาถึงสถานที่จัดงาน กำลังวางแผนที่จะไปกล่าวลาสือมูเฉิน หาคนอยู่รอบหนึ่ง เจอแต่หยานชิงเจ๋อแต่ไม่เจอซูสือจิ่น
หยานเว่ยคุนและซูเผิงฮวากำลังคุยกันอยู่ หลู่หยุนเซียงก็เดินไปหาคนตรงนี้นั่งพักอีกด้านหนึ่ง ก็ได้เห็นซูสือจิ่นอยู่ในมุมนั้นจริงๆ
เธอคล้ายกับมีท่าทีที่อ่อนล้าอย่างมาก ซ่อนตัวอยู่ในโซฟา นั่งอยู่เพียงคนเดียว ทำให้คนรู้สึกได้ถึงความเงียบเหงาอย่างมาก
หลู่หยุนเซียงอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงภาพก่อนหน้านี้ จู่ๆก็รู้สึกว่าตอนที่หยานชิงเจ๋อและซูสือจิ่นเต้นรำ ก็คล้ายกับว่าบรรยากาศจะผิดปกติ และเวลานี้ได้เห็นท่าทีของซูสือจิ่นอีก หัวใจของเธอก็รู้สึกเป็นทุกข์
เธอเดินเข้าไป ซูสือจิ่นเห็นเธอ ก็ยิ้มให้เธอแล้วกล่าวว่า: “แม่ คุณมาได้ยังไงคะ?”
หลู่หยุนเซียงเห็นในดวงตาของซูสือจิ่นแดงเล็กน้อย จึงอดไม่ได้ที่จะนั่งลงแล้วกล่าวว่า: “เสี่ยวจิ่น ทำไมมานั่งตรงนี้คนเดียวล่ะ ชิงเจ๋อรังแกคุณใช่ไหม?”
ซูสือจิ่นยิ้มแล้วส่ายหน้า: “เปล่าหรอกค่ะ คือฉันข้อเท้าพลิก ไปพูดคุยกับคนอื่นได้ไม่สะดวก ก็เลยมานั่งหลบตรงที่เงียบๆตรงนี้ค่ะ”
“ข้อเท้าพลิกเหรอ? เป็นมากไหม?” หลู่หยุนเซียงพูดพลาง ก้มหน้าลงไปมองสภาพอาการบาดเจ็บของซูสือจิ่น: “บวมมากขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!”
เธอพูดพลางลุกขึ้น แล้วกล่าวว่า: “ฉันจะไปเรียกชิงเจ๋อให้เข้ามา!”
“แม่ ไม่ต้องหรอกค่ะ——” ซูสือจิ่นต้องการเรียกเธอให้หยุด แต่หลู่หยุนเซียงได้เดินไปแล้ว
ซูสือจิ่นรีบลุกขึ้นยืน แต่ด้วยข้อเท้าที่ปวด จึงอดไม่ได้ที่จะนั่งกลับไปเหมือนเดิม
เธอไม่สบายใจเล็กน้อย อีกเดี๋ยวหยานชิงเจ๋อมา กลัวว่าจะเข้าใจผิดคิดว่าเธอจงใจให้แม่ของเขาเรียกเขาเข้ามา!
เธอไม่อยากให้เขาเห็นท่าทีที่หมดหนทางแบบนี้ของเธอ แล้วก็ไม่อยากฟังคำพูดเยาะเย้ยถากถางแบบนั้นที่ออกมาจากปากเขา……
เป็นอย่างที่คาดไว้ หลู่หยุนเซียงเพิ่งเดินไปไม่นาน ภาพเงาของหยานชิงเจ๋อก็ปรากฏจากไกลๆของสายตา
ห่างไปค่อนข้างไกล ซูสือจิ่นเห็นการแสดงออกของเขาได้ไม่ชัดเจนนัก แต่เธอก็สามารถจินตนาการได้ว่า เวลานี้ใจของเขาก็คงไม่เต็มใจอย่างมากที่จะเข้ามา!
เธอแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ ดึงสายตากลับ แล้วนั่งนิ่งๆอยู่บนโซฟา
ถึงแม้จะไม่ได้มองเขา แต่เธอก็สามารถรู้สึกได้ถึง ความกดดันที่เข้ามาใกล้เธอทีละน้อยๆ จนกระทั่ง เธอสัมผัสได้ถึงความกดอากาศต่ำที่ตลบอบอวลไปทั่วทั้งร่างของเขา ทำให้เธอรู้สึกว่าร่างกายของเธอเย็นเยือกโดยไม่คาดคิด
ในที่สุด หยานชิงเจ๋อก็หยุดลงตรงหน้าเธอ
เขาเหลือบมองลงมาที่เท้าของเธอชั่วขณะ จากนั้น ก็โน้มตัวลงมาโดยไม่พูดไม่จา
การเข้าใกล้อย่างกะทันหันของหยานชิงเจ๋อ ทำให้ซูสือจิ่นใจเต้นรัว ร่างกายของเธอสั่นโดยไม่รู้ตัว แม้แต่การหายใจก็ทำให้เบาที่สุด
จากนั้น เธอก็รู้สึกได้ถึง แขนของเขาที่สวมผ่านด้านหลังและข้อพับขาของเธอ ลมหายใจของเขาลอยเข้าปลายจมูก จากนั้น เขาก็ออกแรงเล็กน้อย อุ้มเธอขึ้นมา
ร่างกายที่เบาของซูสือจิ่น ถูกหยานชิงเจ๋ออุ้มขึ้นมาเรียบร้อย จากนั้น เขาก็พาเธอเดินออกไปข้างนอกโดยไม่พูดเลยสักคำ
กระทั่งเดินมาได้สองสามก้าวแล้ว ซูสือจิ่นจึงค่อยๆเคลื่อนสายตา ใช้หางตามองหยานชิงเจ๋อเล็กน้อย
เวลานี้เขาไม่มีท่าทีแสดงออกใดๆเลย ใบหน้าละเอียดงดงาม เค้าโครงชัดเจน กล้ามเนื้อคางยุบลงเล็กน้อย สายตามองไปข้างหน้า ในแววตาเย็นชา