ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 285 ถ้าหากแพ้ ฉันจะไปจากเขา ไม่เจอเขาอีก
ดูเหมือนเหนื่อยมานาน ในที่สุดก็หาที่หยุดพักได้ชั่วคราว ซูสือจิ่นไม่ดิ้นรนอีกต่อไป เธอพิงไหล่ของลั่วฝานหวา ร้องไห้อย่างหมดสภาพ
ความลับที่ว่าเธอชอบหยานชิงเจ๋อ บนโลกนี้นอกจากตัวเธอเอง ก็มีแค่เขาที่รู้ ในที่สุดเธอก็มีคนที่สามารถคุยด้วยได้
เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยื่นมือออกมาลูบหลังเธอเบา ๆ
เวลาผ่านไปช้า ๆ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ซูสือจิ่นร้องไห้จนรู้สึกมึนหัว เหมือนจะลืมไปแล้วว่าร้องไห้ทำไม จึงได้เงยหน้าขึ้น
เธอเห็นรอยดวงใหญ่ที่เธอเป็นคนทำเปียกบนไหล่ของลั่วฝานหวา แล้วพูดอย่างเกรงใจ “ขอโทษค่ะ ร้องจนไหล่ของคุณเปียกเลย”
ลั่วฝานหวาก้มหน้ามอง แล้วชี้ไปที่ไหล่อีกข้าง “เปลี่ยนข้างไหม? ร้องจนเป็นรอยให้หมด จะได้สวยตามมาตรฐาน”
เป็นเพราะคำพูดของเขา ซูสือจิ่นยิ้มครู่หนึ่ง จากนั้นก็เก็บรอยยิ้ม
“ไม่ร้องแล้วเหรอ?” เขามองดูเธอ
เธอส่ายหน้า “ไม่แล้ว”
“ตกลง งั้นผมถามคุณ ต่อไปคุณวางแผนจะทำยังไง?” ลั่วฝานหวาถาม
“ฉัน…” ซูสือจิ่นบอกลั่วฝานหวาถึงคำตัดสินใจในตอนที่อาบน้ำ “ฉันวางแผนที่จะลองอีกครั้ง”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจเล็กน้อย “ก็ถูก ไม่ให้คุณลองดู เกรงว่าจะไม่ยินยอมตลอดชีวิต”
ซูสือจิ่นเบ้ปาก “ฉันหน้าขายขี้หน้ามากใช่ไหม?”
“มีอะไรน่าขายหน้า?” ลั่วฝานหวาตอบอย่างธรรมชาติ
เพียงแต่ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ถามขึ้นอีก “งั้นวันนี้เรื่องอะไรกัน ทะเลาะกันเหรอ? ผมดูออก ว่าเขาเป็นห่วงคุณมากมาโดยตลอด”
“เขาเห็นฉันเป็นน้องสาว” ซูสือจิ่นนึกถึงคำพูดที่ได้ยินในโรงพยาบาล แล้วหัวเราะเยาะตัวเอง
“น้องสาว?” ลั่วฝานหวางงงวย “หมายความว่ายังไง?”
เพราะว่าเธอบอกเขาทุกเรื่อง ดังนั้น เวลานี้พูดขึ้นมาก็ไม่มีอะไรน่าอับอาย ซูสือจิ่นจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา “เขาบอกว่าอยู่กับฉันคือการร่วมประเวณีระหว่างพี่น้อง เขาเห็นฉันเป็นเหมือนน้องสาวแท้ ๆ มาโดยตลอด ดังนั้น ไม่ยินยอมที่จะยอมรับฉัน เขายังพูดกับแฟนเก่าของเขาว่า เขา…”
คำพูดด้านหลัง ซูสือจิ่นรู้สึกว่า ให้เธอพูดอีกครั้ง หัวใจที่แตกสลาย เหมือนโดนหักอกซ้ำอีกครั้ง
ยังไงก็ตาม เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดออกมา “เขาพูดว่าชีวิตนี้เขาไม่มีทางชอบฉัน แถมยังพูดว่า ถ้าหากฉันชอบเขา เขาจะรู้สึกรังเกียจ…”
ลั่วฝานหวาอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองไปที่ตาบวมแดงของซูสือจิ่น
เขารู้สึกสงสารนิดหน่อย
แต่ผ่านไปครู่หนึ่ง ความสงสารถูกแทนที่ด้วยความโกรธ จึงตะคอกใส่เธอ “เขาพูดขนาดนี้แล้ว คุณยังชอบเขาอีก ซูสือจิ่น คุณไม่มีมันสมองเหรอ?!”
ซูสือจิ่นเดิมทีที่ขอคำปลอบใจ กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกสั่งสอน เธอถลึงตาโต เปลี่ยนความคับข้องใจเป็นความโมโห “เห้ย มีเพื่อนแบบนี้ที่ไหนกัน? หลอกให้ฉันพูดความในใจ ไม่ยอมปลอบใจ แถมยังว่าฉันอีก?!”
“ผมไม่ว่าคุณแล้วจะว่าใคร?” ลั่วฝานหวาลุกขึ้นยืน เดินรอบห้องอยู่หลายรอบ “ก่อนหน้านี้คุณปฏิเสธผม ผมคิดว่าคุณเจอคนที่ดีเลิศ! ตอนนี้เขาไม่ได้ชอบคุณ คุณยังแกว่งเท้าหาเสี้ยน คุณบ้าไปแล้วเหรอ?!”
ซูสือจิ่นก็โมโหแล้ว เธอลุกขึ้นยืนอย่างแรง จึงทำให้ปวดเท้า เธอถึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองขยับไม่ได้ จึงอดไม่ได้ที่หน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บ
ลั่วฝานหวาสาวเท้าเดินเข้ามาพยุงเธอไว้ “ไม่เป็นไรนะ?”
“คุณไม่ต้องยุ่ง!” ซูสือจิ่นยกกำปั้นขึ้น “ฉันแกว่งเท้าหาเสี้ยน ทำไม คุณเป็นพ่อฉันเหรอ ถึงได้มาสนใจฉัน?!”
“ดังนั้น คุณจะลองให้ได้ใช่ไหม?” ลั่วฝานหวาพูดแทงใจดำ “ต่อให้ผลสุดท้ายจะไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการก็ตาม”
“ใช่ ฉันจะลองดู” ดวงตาของซูสือจิ่นสว่างไสวด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้ที่เด็ดขาด
“ได้ ผมช่วยคุณ” ลั่วฝานหวาพูด “ผมช่วยคุณลองเชิง ถ้าหากแพ้แล้ว ผมหวังว่าคุณจะไม่เหมือนกับในวันนี้ เหมือนแมวที่ถูกคนทอดทิ้ง!”
“ถ้าหากแพ้ ฉันจะไปจากเขา จะไม่เจอเขาอีก!” ซูสือจิ่นพูดทีละคำ
“ผมจะจำคำนี้ของคุณไว้” ลั่วฝานหวาพูด
บรรยากาศที่ห้าวหาญในตอนนี้ จู่ ๆ ซูสือจิ่นก็ท้องร้องขึ้น
“หิวเหรอ?” ลั่วฝานหวายิ้มแล้วพูด
“อืม” ซูสือจิ่นพยักหน้า อยู่ต่อหน้าลั่วฝานหวาไม่จำเป็นต้องรักษาภาพพจน์อีกต่อไป ยังไงซะเรื่องที่น่าขายหน้ากว่านี้ เขาก็เคยเห็นมาแล้ว
ลั่วฝานหวาหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง “ผมให้โรงแรมส่งอาหารมาให้”
“ค่ะ” ซูสือจิ่นพยักหน้า แล้วเงียบไปพักหนึ่ง เธอมองดูเขาที่กำลังดูเมนูอาหาร จึงเอ่ยปากขึ้น “ขอบคุณนะคะ”
ลั่วฝานหวามือค้างอยู่แวบหนึ่ง จากนั้นก็เปิดเมนูต่อ เมื่อเปิดดูจนหมด ถึงได้เงยหน้าขึ้นมองเธอ “ถ้าหากคุณแพ้อีก เรื่องทุกอย่างในวันนี้ อย่าลืมชดใช้ให้ผม”
ซูสือจิ่นตะลึง
เหมือนเขาจะบอกเธอเป็นนัย ๆ ว่าให้เธอชดใช้
เธอไม่ได้พูด ท่าทางค่อนข้างเคร่งขรึม
เธอไม่อยากเป็นเพราะตัวเองไล่ตามความรักแล้วแพ้ แล้วหาใครสักคนมาเติมเต็มความว่างเปล่า
“ดูทำให้คุณตกใจซะ!” ลั่วฝานหวาหยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก “ไม่แน่คุณอาจจะสำเร็จก็ได้นะ!”
เขาสั่งอาหารได้ไม่นาน โรงแรมก็นำมาส่ง
ในตอนที่ทั้งคู่กำลังทานข้าว ซูสือจิ่นเอ่ยปากถาม “คุณพูดว่าจะช่วยฉันลองเชิงดู คุณจะช่วยยังไง?”
“ต้องการโอกาส” ลั่วฝานหวาพูด “อันที่จริงลองเชิงจิตใจผู้ชายง่ายมาก แค่ดูว่าเขาหึงหรือไม่แค่นั้นแหละ”
ซูสือจิ่นกะพริบตา คิดได้ถึงบางอย่าง จึงพูดขึ้น “คุณรอฉันเดี๋ยวหนึ่ง ฉันโทรศัพท์”
ขณะที่พูด เธอลุกขึ้น หยิบโทรศัพท์โทรหาสือมูเฉิน
เวลานี้ หยานชิงเจ๋อที่อยู่ที่บ้านของสือมูเฉินหงุดหงิดจนใกล้จะระเบิดแล้ว แต่เขากลับทำท่าทางเย็นชาและเฉยเมย
เขาออกมาจากโรงพยาบาล ก็ไปที่บ้านของสือมูเฉินโดยตรง ในตอนที่ไปถึง ฟู่สีเกอกับเฉียวโยวโยวก็อยู่ที่นั่น
เป็นเพราะหลานเสี่ยวถางเหนื่อยมาครึ่งวันแล้ว จึงนอนหลับกลางวันไป ส่วนสือมูเฉินยังมีงานที่ต้องทำ จึงไปที่ห้องหนังสือ
หยานชิงเจ๋อคุยเรื่องงานกับเขาอยู่พักหนึ่งก็ออกมา เขามองดูเวลา ก็ยิ่งหงุดหงิด
ฟู่สีเกอกับเฉียวโยวโยวทั้งคู่กำลังถกเถียง หยอกล้อต่อเถียงกันอยู่ มองดูแล้วน่าโมโห
หยานชิงเจ๋อมองอะไรก็ไม่เข้าตาไปหมด เขายืนขึ้น เดินไปตรงหน้าหน้าต่าง เขากัดฟันแน่น เม้มปากจนเป็นเส้นตรง
“เห้ย ชิงเจ๋อ นายทำอะไรอยู่ ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะเป็นกว้างขวางคอพวกเรา พวกเราไม่สนใจหรอก!” ฟู่สีเกอเห็นหยานชิงเจ๋อไม่พูดไม่จามาตลอด จึงกวักมือหาเขา
“กี่โมงแล้ว?” หยานชิงเจ๋อถาม
“นายมีนาฬิกาข้อมือไม่ใช่เหรอ?” ฟู่สีเกอพูด แต่ก็มองดูเวลา “สี่โมงสิบห้า เดาว่าอีกเดี๋ยวซู่สือจิ่นก็น่าจะมาแล้วมั้ง? นายว่า ลั่วฝานหวาจะมาด้วยไหม? แต่ว่าแบบนี้ก็ดี ครบคู่พอดี คนเยอะเล่นด้วยกันคึกคักดี!”
มือของหยานชิงเจ๋อที่ล้วงกระเป๋ากางเกงกำหมัดแน่น
เวลานี้ โทรศัพท์ของสือมูเฉินดังขึ้น เขาเลื่อนรับสาย “สือจิ่น?”
“พี่เฉิน งานเลี้ยงตอนเย็นของเรา ฉันเรียกอีกคนหนึ่งไปด้วยได้ไหม?” ซูสือจิ่นพูด
ก่อนหน้านี้สือมูเฉินได้ยินหยานชิงเจ๋อเคยพูดไว้ว่าตอนนี้ซูสือจิ่นอยู่กับลั่วฝานหวา เขาจึงยิ้มบางแล้วพูดขึ้น “เธอจะพาลั่วฝานหวามาเหรอ?”
ซูสือจิ่นกัดปาก “พี่เฉิน พี่รู้ทุกอย่าง…”
สือมูเฉินยิ้ม “พามาเถอะ คนเยอะก็คึกคัก ถ้าหากในอนาคตเธอคบกับเขาจริง ๆ เราจะได้รู้จักกันไม่ช้าก็เร็ว!”
อนาคต…
ซูสือจิ่นรวบรวมอารมณ์ “ค่ะ ตกลง งั้นเดี๋ยวพวกเราก็ไปแล้ว”
สือมูเฉินวางสายไป แล้วเดินออกมาจากห้องหนังสือ พูดกับทุกคน “เดี๋ยวสือจิ่นพาลั่วฝานหวามา”
ฟู่สีเกอได้ยิน ดวงตาเป็นประกาย “ยายโง่โยว รีบมาชื่นชมกับความฉลาดของผม! คุณว่าผมเป็นเทพแห่งการพยากรณ์ไหม?”
เฉียวโยวโยวกรอกตามองเขา “ขอเรียกคุณว่าปลาหมึกยักษ์ได้ไหม?”
ส่วนหยานชิงเจ๋อ เมื่อได้ยินประโยคนั้นของสือมูเฉิน สีหน้าก็เคร่งขรึมในทันที
ดีมาก เธอไม่ฟังคำเตือนของเขา แถมยังพาคนมาที่นี่! พามาต่อหน้าเขา!
ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง หลานเสี่ยวถางเพิ่งตื่น ซูสือจิ่นก็พาลั่วฝานหวามาถึงแล้ว
เป็นเพราะเคยเจอหน้ากันอย่างเป็นทางการตั้งนานแล้ว ดังนั้น สือมูเฉินกับหลานเสี่ยวถางจึงทักทายลั่วฝานหวาอย่างเป็นกันเอง จากนั้นลั่วฝานหวาก็อุ้มซูสือจิ่นไปที่ห้องรับแขก
ซูสือจิ่นเห็นหยานชิงเจ๋อที่นั่งอยู่บนโซฟาที่มุมห้องตั้งแต่ไกล หัวใจเธอเต้นแรง แต่ว่า พูดยังยิ้มและพูดกับลั่วฝานหวาอย่างเป็นธรรมชาติ “บ้านพี่เฉินไม่ต้องเป็นทางการมาก พวกเรานั่งตามสบาย!”
ฟู่สีเกอกับเฉียวโยวโยวเจอลั่วฝานหวาเป็นครั้งแรก ดังนั้นหลังจากต่างคนต่างแนะนำตัว ฟู่สีเกอก็หยิบไพ่ออกมา “สุดหล่อ เล่นไพ่เป็นไหม? ปกติชอบเล่นอะไร?”
ลั่วฝานหวายิ้มแล้วพูด “ปกติทุกคนเล่นอะไรผมก็เล่นเป็นหมด!”
ฟู่สีเกอหรี่ตามองซูสือจิ่น “ซู่สือจิ่น เธอต้องระวังหน่อยนะ ดูท่าแฟนของเธอปกติไปเข้าสังคมอยู่ไม่น้อย!”
ซูสือจิ่นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ส่วนลั่วฝานหวาท่าทางเป็นธรรมชาติ “เป็นงานจำเป็น แต่ว่าผมสามารถแยกแยะออกได้ชัดเจน อีกอย่างผมมีนิสัยรักความสะอาดมากเกินไป ของบางอย่างไม่มีทางแตะต้อง”
ฟู่สีเกอได้ยินเขาพูดแบบนี้ จึงอดยิ้มไม่ได้ “ดูท่า ถูกสั่งไว้นานแล้ว?”
เฉียวโยวโยวตีฟู่สีเกอ “สีเย็น มีใครเขาเหมือนคุณกัน ถามแบบนี้สือจิ่นก็อายแล้ว!”
“ก็ถูก!” ฟู่สีเกอมองดูเฉียวโยวโยว “ผมคิดว่าทุกคนหน้าหนาเหมือนคุณหมด!”
“คุณพูดว่าฉันหน้าหนา?!” เฉียวโยวโยวโมโห ลุกขึ้นยืน จะตีคน
หลานเสี่ยวถางจะหัวเราะก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็ใช่ที “โยวโยว ตกลงว่าเธอกับสีเกอเป็นอะไรกัน? พวกนายคบกันแล้วจริงเหรอ?”
ฟู่สีเกอเลิกคิ้ว “จับมือก็แล้ว จูบก็จูบแล้ว ลูบ…”
เขายังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกเฉียวโยวโยวส่งสายตาพิฆาตให้
“เหมือนกำลังเล่นพ่อแม่ลูกกัน” สือมูเฉินพูดดูถูก
หลานเสี่ยวถางพยักหน้า “พอแล้ว สีเกอ โยวโยวค่อนข้างหัวโบราณ นายอย่ารังแกเธอ”
“ดังนั้น พวกเราเปิดเผยความรัก อยากให้ดวงตาไททาเนียมของทุกคนสดใส แต่กลับไม่มีคนเชื่อ?!” ฟู่สีเกอมองทุกคนอย่างหมดหวัง “wow?โลกนี้เป็นอะไรไปแล้ว?!”
“พวกเราเล่นไพ่กันเถอะ!” สือมูเฉินไม่สนใจเขา แล้วเรียกลั่วฝานหวา “ฝานหวา ต่อไปทุกคนเป็นเพื่อนกัน ไม่ต้องเกรงใจ”
“ครับ” ลั่วฝานหวามองไปทางซูสือจิ่น “บวกกับต่อไปตระกูลลั่วและตระกูลซูจะมีความร่วมมือทางธุรกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นในอนาคต ไม่แน่ ผมอาจจะต้องออกงานพร้อมกับซื่อจิ่นบ่อย ๆ..”
“ทำไมถึงเรียกเธอซื่อจิ่น?” หลานเสี่ยวถางเงยหน้า
“ไม่สังเกตคำพ้องเสียงของชื่อของพวกเรา?” ลั่วฝานหวาพูด
“หา จริงด้วย!” หลานเสี่ยวถางพูดอย่างตะลึง “ลั่วหวาซื่อจิ่น ฟังดูแล้วโรแมนติกมาก!” พูดจบ เธอเงยหน้าพูดกับสือมูเฉิน “มูเฉิน ชื่อของพวกเราเหมือนกับเอามาต่อกันไม่ได้นะ!”
“มู่เสี่ยวถางก็ได้” สือมูเฉินพูดคำหวานออกมาตามหลัง “ซือมู่ที่แปลว่าโหยหา”
“เชี่ย!” ฟู่สีเกอมือทาบหน้าอก “อาเฉิน นายต้องขนาดนี้เลยเหรอ ตรงนี้ยังมีคนโสดนะ!”
พูดจบ สายตาของทุกคน มองไปทางหยานชิงเจ๋อ เพราะว่าก่อนงานแต่งเขาพูดไว้ว่า เลิกกับเจียงซีหยู่แล้ว
ตอนนี้สือมูเฉินเพิ่งจะเห็นว่า ตั้งแต่ต้นจนจบหยานชิงเจ๋อไม่ได้พูดอะไรเลย
เหมือนกับเห็นว่าทุกคนมองมา หยานชิงเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ควบคุมอารมณ์ทุกอย่างไว้ “ฉันไม่โสด”