ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 31 นึกถึงครั้งแรกที่ได้พบกัน
หลานเสี่ยวถางได้ยินคำพูดของสือมูเฉิน ทันใดนั้นเอง ภายในหัวใจก็สูบฉีดเลือดอย่างรวดเร็วในทันที แทบจะพยายามพุ่งขึ้นมาในทันที
อีกอย่าง ณ เวลานี้ ภายในห้องโถงใหญ่ ในตอนที่เฉินจื่อโร่วสบตามองไปทางด้านหน้านั้น ร่างทั้งร่างพลันชะงักนิ่งโดยไม่รู้ตัว ตามต่อมาด้วย หัวใจที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
มองเห็นเพียงแค่ที่ด้านหน้าของสือเพ่ยหลินมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ หญิงสาวคนนั้นสวดใส่ชุดเดรสตัวยาวสีแดงสดทั้งตัว แสดงให้เห็นถึงความสดใสของช่วงวัยได้อย่างชัดเจน ใบหน้าของเธอมีรอบยิ้มเจือจางประดับเอาไว้อยู่ อีกทั้งยังมีลักยิ้มทั้งสองข้างที่ดูน่ารักน่าชังนั่นอีก
อีกอย่างที่ด้านข้างของเธอนั้นเอง เป็นภรรยาของสือมูชิง นายท่านแห่งตระกูลจินและจินเจ๋อหมิง คนกลุ่มนั้นทั้งพูดคุยและหัวเราะกัน ดูท่าแล้วจะถูกคอกันมากจริง ๆ
แม้กระทั่งทางหย่าหยุนก็ยังสามารถที่จะดูออกได้ “จื่อโร่ว พวกเขากำลังแนะนำแฟนสาวให้กับพี่เพ่ยหลินอยู่หรือ?”
“ฉันไม่รู้” เฉินจื่อโร่วจ้องมองไปที่หญิงสาวชุดแดงคนนั้นอย่างระแวงระวัง “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครหรือ?”
“ฉันก็ยังไม่ทราบแน่ชัดนักหรอก” ทางหย่าหยุนเอ่ยขึ้น “จื่อโร่วเธออย่าพึ่งใจร้อนไปเลยนะ ฉันจะไปดูสถานการณ์ให้เอง!”
พูดไป เธอก็ปล่อยเฉินจื่อโร่ว ก่อนจะวิ่งไปทางด้านข้างของสือเพ่ยหลิน “พี่เพ่ยหลินคะ พวกพี่คุยอะไรกันอยู่หรือคะ?”
“หย่าหยุนจ๊ะ นี่คือคุณจินเยว่ฉี เป็นหลานสาวแท้ ๆ ของนายท่านแห่งตระกูลจินจ้ะ!” ด้านข้าง เริ่นเหม่ยเฟิ่งเอ่ยแนะนำขึ้น “ทุกท่านคะ นี่คือหลานสาวที่เป็นญาติห่าง ๆ ของฉันเองค่ะทางหย่าหยุน”
“สวัสดีค่ะคุณทาง” จินเยว่ฉียิ้มให้เธอก่อนจะเอ่ยขึ้น
“คุณจินคะ คุณสวยมากเลยนะคะเนี่ย!” ทางหย่าหยุนแสร้งเอ่ยชมขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ยังคงรู้สึกขัดข้องใจอยู่
“พี่เพ่ยหลินของเธอตอนเด็ก ๆ เคยเล่นด้วยกันกับเยว่ฉีน่ะ ในตอนนั้นผูกพันกันไม่น้อยเลยทีเดียวเชียวละ” เริ่นเหม่ยเฟิ่งเอ่ยพูดไป ก่อนจะดึงทางหย่าหยุนแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เราไปทางนู้นกันเถอะจ้ะ ฉันจะแนะนำให้เธอได้รู้จักกับเพื่อนอีกสองสามคนนะ ให้พี่ชายเธอกับเยว่ฉีเขาได้พูดคุยกัน”
ทันใดนั้นเอง ทางหย่าหยุนก็เข้าใจได้ขึ้นมาในทันทีแล้ว ดูท่าแล้วครั้งนี้ตระกูลสือคงจะหาคู่ให้สือเพ่ยหลินจริง ๆ แล้วสินะ! อีกฝั่งหนึ่งก็เป็นคุณหนูแห่งตระกูลจิน ดูท่าแล้ว เพื่อนในวัยเด็กของเธออย่างเฉินจื่อโร่วไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อกรได้เลยแม้แต่น้อย
“เพ่ยหลินคะ ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้คุณได้รับบาดเจ็บ หายดีหรือยังคะ?” จินเยว่ฉีกับสือเพ่ยหลินนั่งลงที่บริเวณพักผ่อน
“ดีขึ้นหมดแล้วล่ะครับ” สือเพ่ยหลินสบตามองใบหน้าอันงดงามของจินเยว่ฉี ความรู้สึกที่ได้รับรู้ว่าจะต้องถูกแนะนำแฟนสาวให้มลายหายไปเกือบครึ่งอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนพูดคุยกับอยู่บนโซฟาอย่างถูกคอและเป็นธรรมชาติ
ไกลจากนั้น หยาดน้ำตาของเฉินจื่อโร่วแทบจะใกล้ไหลหยดลงมาแล้ว เธอไม่ได้รับรู้เลย ว่าเธอทำหลานเสี่ยวถางหลุดมือไปแล้ว สายตาและหัวใจจับจ้องไปที่สือเพ่ยหลินทั้งหมด แถมยังมีสายตาอาฆาตใส่จินเยว่ฉีด้วย!
อีกอย่าง ตอนนี้สือเพ่ยหลินกลับคุยกันอย่างถูกปากถูกคอกับจินเยว่ฉีอีก!
ฝ่ายชาย พอได้เจอกับสาวสวยเข้าหน่อยก็แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงมาต่อด้านเลยก็ไม่ปาน อีกอย่างจินเยว่ฉีคนนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่าเป็นศัตรูหัวใจเบอร์หนึ่งของเธอเลย!
ทางด้านข้าง มีผู้ชายคนหนึ่งเห็นเธอเข้า ก็เลยเข้ามาพูดคุยด้วย เฉินจื่อโร่วหงุดหงิดจนขมวดคิ้วแน่น “ฉันไม่มีเวลาค่ะ”
“นี่ผมเองไงครับ จื่อโร่ว คุณไม่รู้จักผมหรือครับ?” น้ำเสียงของชายหนุ่มคนนั้นดังขึ้นที่เข้าใบหูของเธอ
เฉินจื่อโร่วช้อนสายตาขึ้น มองไปยังชายหนุ่ม หลังจากที่คิดพิจารณาดูแล้ว ก็นึกออกขึ้นมาได้ในทันทีว่าเป็นเพื่อนนักเรียนที่หน้าตาไม่ค่อยดีตอนสมัยเรียนอยู่มัธยมปลาย แม้กระทั่งชื่อก็ลืมเลือนไปหมดแล้ว เธอส่ายศีรษะอย่างอดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ “ไม่รู้จักค่ะ”
“เห้อ——” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะหยิบนามบัตรแผ่นหนึ่งออกมาจากชุดสูทต่อ “ผมคือชุยซื่อฮว๋าครับ เมื่อก่อนก็ยังเคยตายจีบคุณอยู่”
เฉินจื่อโร่วรับนามบัตรมามองดูอยู่ครู่หนึ่ง รองประธานบริษัทของ Cui Industry Group งั้นหรือ? เธอเงยหน้าขึ้นอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะจ้องมองไปยังชุยซื่อฮว๋าอยู่หลายครั้ง
หัวใจของชุยซื่อฮว๋าสว่างวาบขึ้นมาทันที “ปีที่แล้วบริษัทของพ่อผมเข้าตลาดแล้วครับ จื่อโร่ว ถ้าหากคุณพอจะมีเวลา พวกเราสามารถที่จะนัดคุยกันได้นะครับ”
“ค่ะ ทราบแล้วค่ะ” เฉินจื่อโร่วพยักหน้าหงึกหงักอย่างขอไปที แต่ทว่าภายในหัวใจกลับรู้สึกขบขัน Cui Industry Group จะสามารถมาสู้กับ Times Group ได้อย่างไรกัน? น่าขำสิ้นดี!
ทว่าในตอนนั้นเอง หลังจากที่หลานเสี่ยวถางออกมาจากห้องน้ำแล้ว รู้สึกว่าคอแห้งนิดหน่อย จึงเดินไปหยิบน้ำผลไม้คั้นมาหนึ่งแก้ว ก่อนจะเดินไปที่บริเวณพักผ่อน วางแผนว่าจะนั่งพักเสียหน่อย
พึ่งจะเดินเข้าไปใกล้ได้ครู่เดียวเท่านั้น ก็มองเห็นสือเพ่ยหลินกำลังนั่งอยู่บนโซฟา แล้วพูดคุยอย่างออกรสกับหญิงสาวคนหนึ่งอยู่
ไม่ใช่เฉินจื่อโร่วงั้นหรือ? มุมปากของหลานเสี่ยวถางกระตุกยิ้มเบา ๆ ขึ้นมาทันที รู้สึกระบายโทสะออกมาเล็กน้อย
เพียงแต่ว่า ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงดูคุ้นตาจังเลยนะ? หลานเสี่ยวถางสบตามองอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็น——
ชัดเจนเลย จินเยว่ฉีก็มองเห็นเธอเข้าให้แล้ว เธอพินิจพิเคราะห์เธออยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่มั่นใจนักว่า “เสี่ยวถางหรือ?”
“ฉันเองค่ะ” หลานเสี่ยวถางพยักหน้า “เยว่ฉีหรือ?”
“ใช่ค่ะ!” นัยน์ตาของจินเยว่ฉีเป็นประกายขึ้นมาในทันที “มานี่เร็วเข้า ไม่เจอคุณมานานมากเลยนะคะ!”
หลานเสี่ยวถางเดินเข้าไปหา ก่อนจะนั่งลงที่ทางด้านข้างของเธอ “ฉันได้ยินจากพี่ชายคุณมาว่า อีกหนึ่งเดือนไม่ใช่หรือคะที่คุณจะกลับมาน่ะ?”
“นี่มันวันเกิดของคุณปู่นี่น่า ฉันกลับมาก่อนค่ะ แล้วก็ไม่ได้บอกใครเลยด้วย ว่าจะเซอร์ไพรส์พวกเขาเสียหน่อยน่ะ!” จินเยว่ฉีดึงหลานเสี่ยวถางก่อนจะพินิจพิเคราะห์เธอไม่หยุด ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับสายตาที่ไม่ปกปิดความปีติเลยว่า “นี่ พวกเราไม่ได้เจอกันมาหลายปีเลยนะคะ คุณดูสวยขึ้นมาเลยนะคะ!”
ภาพความทรงจำของหลานเสี่ยวถางที่มีต่อจินเยว่ฉีนั้นดีมาก ๆ รู้สึกว่าเธอเป็นคนหนึ่งเลยที่ไม่เคยมองคนด้วยความอคติ
ถึงแม้ว่าเธอจะนามสกุลหลาน ในตอนที่ตระกูลหลานเจริญรุ่งเรืองนั้นเอง รอบข้างก็เต็มไปด้วยเหล่านายน้อยและคุณหนู แต่ทว่าหลาย ๆ คนกลับปฏิบัติต่อเธอที่เป็นลูกบุญธรรมและพี่ใหญ่อย่างหลานเล่อซินแห่งตระกูลหลานนั้น แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจนเลย
แต่ทว่า จินเยว่ฉีนั้นกลับมีเมตตาและมีคุณธรรมกับเธอมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นจินเยว่ฉีก็ไปต่อมัธยมปลายต่อที่ต่างประเทศ ทั้งสองคนจึงค่อย ๆ ขาดการติดต่อจากกันไป
“เยว่ฉี หลายปีมานี้คุณอยู่ที่ต่างประเทศเป็นอย่างไรบ้างหรือคะ?” หลานเสี่ยวถางเอ่ยขึ้นอย่างหยอกล้อว่า “คุณได้ปริญญาโทแล้ว แต่ยังฉันปริญญาตรีอยู่เลย……”
“อันที่จริงแล้วก็เหมือนกันนั่นแหละค่ะ เพียงแต่ว่าคุณปู่ของฉันเห็นด้วยแล้ว ฉันเรียบจบแล้วก็จะกลับมาทำงานที่ฉันชอบ ไม่ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจการของครอบครัว” จินเยว่ฉีพูดไป ก่อนจะชี้นิ้วไปทางสือเพ่ยหลินแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เสี่ยวถางคะ ท่านนี้คือคุณสือเพ่ยหลินแห่ง Times Group ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณเคยเจอกันมาก่อนไหมคะ?”
หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าตนเองจะร้องไห้หรือจะยิ้มก็ไม่ออก เธอคิดไม่ถึงเลย ว่าจะมีวันหนึ่ง ที่จะมีคนอื่นมาแนะนำสือเพ่ยหลินในฐานะของคนแปลกหน้าให้เธอได้รู้จัก
เธอส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะยิ้มบางแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ไม่รู้จักค่ะ ตระกูลหลานของพวกเราตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วน่ะค่ะ จะไปเป็นเพื่อนกับคุณชายทายาทของ Times Group ผู้สูงส่งแบบนั้นได้อย่างไรกันละคะ?”
ทางฝั่งตรงข้าม ใบหน้าของสือเพ่ยหลินยิ้มเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบขึ้นมาต่อว่า “คุณหลานถ่อมตัวเกินไปแล้วครับ ทายาทอะไรกันครับ ก็เพียงแค่ยืมทรัพย์สินภายในบ้านมานิดหน่อยเท่านั้นเองครับ”
หลานเสี่ยวถางมองเห็นรอยยิ้มจอมปลอมบนใบหน้าของเขา ภายในหัวใจยิ้มเย็นออกมาทันที เหอะ ๆ คำพูดของเขาประโยคนี้ก็ไม่ผิดไปเลยจริง ๆ เป็นเพราะว่าเขาเล่นหุ้นเล่นได้ดี ถึงมีตระกูลสือได้ มิฉะนั้นแล้ว เมื่อสองปีก่อนเขาก็คงจะเจ็บหนักจนไม่สามารถที่จะรักษาให้หายได้แล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นแล้ววันนี้จะสามารถมานั่งพูดคุยแล้วยิ้มแย้มอย่างนี้อยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
“คุณสือนี่ถ่อมตัวจังเลยนะคะ!” หลานเสี่ยวถางพูดไป หลังจากนั้นจึงแสร้งทำเป็นมองไปทางเฉินจื่อโร่วที่ยืนอยู่ไกล ๆ ก่อนจะหันไปมองสือเพ่ยหลินแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ผู้หญิงคนนั้นมองคุณอยู่ตลอดเลยนะคะ คุณสือคะ คุณรู้จักเธอหรือเปล่าคะ?”
สือเพ่ยหลินรับรู้ว่าเฉินจื่อโร่วมองมาอยู่ทางด้านข้าง แต่ทว่า เขาก็ไม่ได้มองไปทางด้านนั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว หนึ่งเลยก็คือไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร สอง จู่ ๆ เลยก็รู้สึกรำคาญกับสายตาที่ถูกจับจ้องแบบนี้ขึ้นมาเล็กน้อย
เขาแสร้งทำเป็นมองเฉินจื่อโร่วทางฝั่งนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาต่อว่า “เคยเห็นครับ ไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่”
ที่แท้ก็เป็นผู้ชายสารเลวจริง ๆ สินะ! ต่อหน้าของจินเยว่ฉีแล้ว ตอนนี้แม้กระทั่งเฉินจื่อโร่วก็ยังไม่รู้จักแล้ว!
หลานเสี่ยวถางดื่มน้ำผลไม้เข้าไปหนึ่งอึก ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจว่า “แต่ว่าดูคล้ายกับผู้หญิงที่กำลังเป็นที่นิยมบนอินเทอร์เน็ตเมื่อเดือนก่อนอยู่มากเลยนะคะ!”
เมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว นัยน์ตาของสือเพ่ยหลินหดตัวลงเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องแล้วเอ่ยขึ้นมาต่อว่า “งั้นหรือครับ ตอนนี้ผู้หญิงสวย ๆ ก็ดูสวยไม่ต่างกันเท่านั้นนี่นะ ใบหน้าสวยเหมือนบนอินเทอร์เน็ต จะดูคล้ายกันหน่อยก็เป็นเรื่องปกตินี่ครับ”
พูดไป สายตาของเขาก็หยุดลงบนตัวของจินเยว่ฉี “จะว่าไปคุณจินและคุณหลานทั้งสองคนก็สวยแบบเป็นพิเศษนะครับ ทำให้คนมองครั้งแรกแล้วก็สามารถทำให้ประทับใจเป็นอย่างมากเลยล่ะครับ”
จินเยว่ฉีหัวเราะ “คุณสือนี่ช่างพูดเอาใจผู้หญิงจริง ๆ เลยนะคะเนี่ย!”
ในระหว่างที่กำลังพูดอยู่นั่นเอง จินเจ๋อหมิงก็เดินเข้ามาหา “เยว่ฉีจ้ะ อาสองมีเรื่องถามหาเธอน่ะ เธอไปดูเสียหน่อยไป” พูดไป ก่อนจะหันไปเอ่ยขอโทษขอโพยสือเพ่ยหลินกันสองคน
เมื่อจินเยว่ฉีจากไปแล้ว ที่เขตโซฟาก็เหลือสือเพ่ยหลินและหลานเสี่ยวถางกันอยู่สองคนเท่านั้น
สีหน้าของสือเพ่ยหลินแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เขาหรี่ตาลง ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้กับหลานเสี่ยวถางมากขึ้น “เมื่อครู่นี้ที่คุณพูดขึ้นมา จงใจใช่ไหมครับ?”
หลานเสี่ยวถางเบิกตาขึ้นอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวใด ๆ “คุณสือพูดอะไรคะเนี่ย ทำไมฉันถึงไม่เข้าใจเลยนะ?”
“หลานเสี่ยวถาง คุณคงจะไม่ได้ยังคิดถึงผมอยู่ตลอดเวลาหรอกนะใช่ไหม พอเห็นว่าข้างกายผมมีผู้หญิงเข้าหน่อย ก็คิดที่จะไล่ไปสินะครับ?” สือเพ่ยหลินคิดแบบนี้ รู้สึกเพียงแค่ว่าภายในหัวใจของเขามีความพึงพอใจและความปีติตีตื้นขึ้นมาอยู่ครั้งหนึ่ง
หลานเสี่ยวถางส่ายศีรษะไปมา “ไม่ค่ะ กลับกันฉันกลับอยากรู้มาก ๆ เสียอีก ถ้าหากผู้หญิงที่คุณบอกว่าไม่สนิทรับรู้คำพูดของคุณเมื่อครู่นี้เข้าไปแล้ว จะมีปฏิกิริยาตอบกลับมาอย่างไรบ้างกันนะ?”
พูดไป เธอก็หันไปยิ้มให้กับเขาหนึ่งครั้ง “เธอมาแล้วนะคะ”
สือเพ่ยหลินพลันชะงักนิ่งไป
เมื่อครู่นี้ ในตอนที่หลานเสี่ยวถางยิ้ม นัยน์ตาเต็มไปด้วยประกายของแสงไฟที่แตกละเอียด
ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ เขาก็พลันนึกถึงช่วงเวลาที่ได้เจอเธอครั้งแรกขึ้นมาในทันที
ในตอนนั้น เธอยังคงเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สี่ เขาได้ยินมาว่าทางบ้านของเขาวางแผนการแต่งงานให้กับเขาแล้ว เขาในวัยต่อต้านนั้น จนสุดท้ายแล้วก็ไปหาเธอที่มหาวิทยาลัย ต้องการที่จะให้เธอได้รับรู้ถึงความร้ายกาจของเขา ให้ทุกข์ทรมานและล่าถอยไป
ก็เป็นช่วงบ่ายที่มีแสงอาทิตย์สาดส่องอย่างสดใส เขารอเธออยู่ใต้ตึกเรียนด้วยความหงุดหงิด ภายในหัวใจวางแผนเอาไว้ว่าอีกประเดี๋ยวจะได้เจอเธอแล้ว จะปฏิบัติต่อเธออย่างไรดี
ไม่นานนัก เสียงระฆังเลิกเรียนก็ดังขึ้น ใต้ตึกคณะของพวกเธอเต็มไปด้วยนักศึกษากลุ่มใหญ่ที่เดินลงกันมาจากตึกเรียน
เป็นเพราะว่าเธอเรียนการเขียนโปรแกรมและซอฟต์แวร์ ผู้ชายในคณะเดิมทีก็มีน้อย ดังนั้นแล้ว เขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างง่ายดาย ว่าเธอสวมใส่กระโปรงสีแดงและเดินอยู่ตรงกลาง
เมื่อก่อนเขาเคยเห็นรูปถ่ายเพียงแค่ใบเดียวเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเห็นแล้วจึงไม่ค่อยแน่ใจมากนัก แต่ในที่สุดแล้ว เขาก็เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงโกรธ ๆ ไปครั้งหนึ่งว่า “หลานเสี่ยวถาง!”
ทันใดนั้นเอง ทุกคนจึงหันมามองที่เขาเป็นตาเดียว อีกทั้งเธอที่อยู่ตรงกลาง ก็รู้สึกใจหวิวขึ้นมาในทันที ก่อนจะยิ้มให้เขาอย่างแผ่วเบา รอยยิ้มสดใสบริสุทธิ์ นัยน์ตาเป็นประกายสว่างจ้าไปหมด “สวัสดีค่ะ ฉันคือหลานเสี่ยวถาง ขออนุญาตถามนะคะ คุณมาหาฉันมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”
โทสะที่เดิมทีเป็นเพราะว่ารอมานานมากแล้ว ในช่วงเวลานั้นเองกลับมลายหายไปจนหมดสิ้น อีกทั้งจู่ ๆ เขากลับลืมความตั้งใจเดิมที่จะมาหาเธอไปจนหมด แล้วยังเอ่ยขึ้นกับเธอด้วยความเกรงใจว่า “ผมคือสือเพ่ยหลิน ผมมาหาคุณที่มหาวิทยาลัยโดยเฉพาะครับ พวกเราไปคุยกับทางฝั่งนู้นดีไหม?”
เธอได้ยินชื่อของเขา ก่อนจะตกตะลึงไปอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงยิ้มอย่างขัดเขินแล้วเอ่ยขึ้นมาต่อว่า “ค่ะ”
ก็เป็นในวันนั้นเอง ที่เขาก่อเกิดความรู้สึกว่าอันที่จริงแล้วจะให้แต่งงานกับเธอก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น ก็เป็นหนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้นเอง ที่เขาออกไปทำธุระแล้วประสบอุบัติเหตุ ทำให้นอนติดเตียงไปสองปี
ช่วงระยะเวลาสองปี จู่ ๆ เขากลับลืมเลือนช่วงเวลาแรกพบไปจนหมดสิ้น กลับกันในช่วงเวลาสองปีหลังจากนั้นเอง จู่ ๆ เวลาก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว และยิ่งชัดเจนมากขึ้น
ในตอนนี้ เฉินจื่อโร่วเดินเข้ามาเคียงข้างของสือเพ่ยหลินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอนั่งลงบนโซฟา สายตาเต็มไปด้วยน้อยเนื้อต่ำใจ “พี่เพ่ยหลินคะ ทำไมเมื่อครู่นี้พี่ไม่สนใจฉันเลยละคะ?”
สือเพ่ยหลินหลุดออกจากภวังค์ที่แสนสั้นอย่างรวดเร็ว เดิมทีก็ไม่อยากจะพูดอะไร แต่ทว่า จู่ ๆ กลับเห็นหลานเสี่ยวถางที่เหมือนกับกำลังนั่งดูละครอยู่ก็ไม่ปาน ความหงุดหงิดภายในหัวใจของเขาปะทุขึ้นมาอีกครั้ง แต่กลับเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับหยาดน้ำที่ไหลออกมาก็ไม่ปานแทนว่า “โร่วโร่วครับ เธอก็รู้นี่ คุณพ่อคุณแม่ของฉันก็เป็นแบบนี้ ฉันก็ควบคุมอะไรไม่ได้ แต่ทว่าเธอวางในเถอะนะ ฉันรักเธอแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น”