ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 32 บนร่างของเธอมีรอยจูบของคนอื่นอยู่
เมื่อเฉินจื่อโร่วได้ยินคำพูดของสือเพ่ยหลินแล้ว ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย เธอยกแก้วเหล้าในมือขึ้นมาดื่มจนหมด ใบหน้าและแก้มแดงก่ำ “พี่เพ่ยหลินคะ ฉันก็มีพี่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้นนะคะ พี่ห้ามทำให้ฉันผิดหวังเป็นอันขาดเลยนะคะ!”
“ดื่มเหล้าเข้าไปเยอะมากเลยหรือ?” ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ สือเพ่ยหลินได้กลิ่นแอลกอฮอล์จากร่างของเฉินจื่อโร่วได้อย่างชัดเจน ทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกผิดต่อเธอขึ้นมาเล็กน้อยอีกครั้ง ความรักใคร่ที่มีต่อเธอแทบจะเพิ่มขึ้นมาอย่างได้เปรียบในเวลานี้
“ฉันเห็นพี่กับคุณจิน……” น้ำตาของเฉินจื่อโร่วไหลลงมาเป็นสายก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “พี่เพ่ยหลินคะ ฉันเข้าใจค่ะ เข้าใจทั้งหมดเลยค่ะ!”
พูดไป เธอก็ยื่นมือไปหยิบเครื่องดื่มที่วางอยู่บนโต๊ะน้ำชาตัวเล็กสองสามขวด ก่อนจะแสร้งทำเป็นยืนไม่ตรง นำเครื่องดื่มที่พึ่งหยิบได้เข้ามาในมือเมื่อครู่นี้ก่อนจะหันไปสบตามองหลานเสี่ยวถางที่นั่งอยู่บนโซฟาด้านตรงข้าม
เมื่อหลานเสี่ยวถางเห็นดังนั้นก็สัมผัสอะไรได้ขึ้นมาในทันที เธอเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว บนร่างไม่มีน้ำสาดใส่เลยแม้แต่หยดเดียว
“นี่ ขอโทษด้วยนะคะ!” เฉินจื่อโร่วแสร้งทำเป็นพลั้งมือทำเรื่องผิดพลาดไป หยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดโซฟาที่เปียกโชกทางฝั่งตรงข้าม
หลานเสี่ยงถางรู้สึกรำคาญละครแบบนี้ กำลังเตรียมตัวที่จะจากไปแล้ว
แต่ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ ๆ เสียง “อ๊ะ” อย่างตกใจของเฉินจื่อโร่วก็ดังขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะตามมาด้วยนิ้วที่ชี้มาทางกระดูกไหปลาร้าของหลานเสี่ยวถาง “ที่ไหปลาร้าของพี่ทำไมถึงมีแผลได้ละคะ?”
เธอที่พึ่งเอ่ยจบไปเมื่อครู่นี้ จู่ ๆ ก็ยกมือขึ้นมาปิดปากขึ้นในทันที ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างขัดเขินขึ้นมาเล็กน้อยว่า “อ๋อ ฉันมองผิดไปแล้วล่ะค่ะ นั่นไม่ใช่บาดแผล แต่เป็นรอย……”
เธอไม่ได้เอ่ยคำว่า “จูบ” ออกมา แต่ทว่า ทำไมสือเพ่ยหลินจะไม่รู้ล่ะ
ม่านตาของเขาหดตัวเข้าหากันในทันที นัยน์ตาฉายประกายเย็นยะเยือกจนทำให้บรรยากาศโดยรอบเย็นตัวลงกว่าเดิมไปอยู่มากโข
เขาลุกพรวดยืนขึ้นในทันที ก่อนจะสบตามองไปยังไหปลาร้าของหลานเสี่ยวถางอย่างรวดเร็วและดุดัน
ที่ตรงนั้นเดิมทีถูกดอกไม้สีน้ำเงินบดบังเอาไว้อยู่ แต่ทว่า ในตอนที่หลานเสี่ยวถางนั่งลงนั้นเอง เผอิญดอกไม้งอตัวขึ้นพอดี ทำให้เห็นถึงรอยแดงที่อยู่ทางด้านล่าง
หลานเสี่ยวถางยื่นมือไปบดบังเอาไว้ แต่ทว่ากลับช้าไปหลายวินาที ในมุมมองที่อยู่สูงกว่าของสือเพ่ยหลินนั่น ทำให้รอยสีสตรอว์เบอร์รี่นั่นปรากฏเข้าสู่สายตาของเขา
เขาก้าวเข้าไปใกล้หนึ่งก้าวอย่างรวดเร็ว แทบจะคิดที่จะยื่นมือไปคว้าหลานเสี่ยวถางเอาไว้ แต่ทว่า กลับเกรงใจรอบข้าง ร่างทั้งร่างราวกับว่าเป็นภูเขาไฟที่กำลังกักเก็บโทสะที่คล้ายกับกำลังจะปะทุขึ้นมาอยู่ก็ไม่ปาน
แทบจะขบกรามจะแน่นก็ไม่ปาน สือเพ่ยหลินเอ่ยขึ้นมาว่า “หลานเสี่ยวถาง นึกไม่ถึงเลยว่าคุณจะใจง่ายมากขนาดนี้! เป็นเพราะว่าผมไม่นอนกับคุณหรือไงกันนะ คุณก็เลยกักเก็บความเหงาเอาไว้ไม่ได้สินะ? ในตอนแรก คุณสวมเขาสวมหมวกเขียวให้ผมไปเท่าไหร่แล้วกัน?!”
หลานเสี่ยวถางช้อนสายตาขึ้นสบตามองเขา ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณสือเพ่ยหลินคะ เป็นเพราะว่ารอยจูบนี่รอยเดียว ต่อหน้าคนรักของคุณแล้ว ต้องโกรธต่อฉันมากขนาดนี้เลยหรือคะ หากไม่รู้นี่คงจะคิดว่า คุณกำลังหึงอยู่เลยนะคะเนี่ย? คุณเฉินคะ คุณว่าใช่หรือเปล่าคะ?”
เฉินจื่อโร่วขบกรามแน่นด้วยความโกรธ คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกหลานเสี่ยวถางเล่นงานกลับแบบนี้ เธอพยายามทำให้หัวใจที่ริษยาของเธอกลับมาเป็นปกติ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ฮ่าๆ ในตอนแรกพี่มักจะพูดเสมอเลยว่าพี่เพ่ยหลินผิดต่อพี่ พี่ดูสิคะ เป็นพี่ที่นอกใจก่อนเอง พี่เพ่ยหลินไม่ฟ้องร้องพี่ ก็ถือว่ามีเมตตาจนถึงที่สุดแล้วนะคะ!”
“นอกใจงั้นหรือ?” หลานเสี่ยวถางหัวเราะเสียงเย็น “ตอนนี้ฉันกับสือเพ่ยหลินไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรต่อกันเลยแม้แต่นิดเดียว ฉันจะอยู่กับใคร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขางั้นหรือ? หากจะให้พูดถึงเมื่อก่อนแล้ว อย่างมากที่สุดก็แค่สวมใส่เสื้อเชิ้ตของผู้ชาย แต่ทว่า พวกคุณบอกว่าฉันนอกใจ มีหลักฐานหรือเปล่าคะ? กลับกันเป็นพวกคุณนั้นเองต่างหาก ที่ทำเรื่องหน้าไม่อายต่อหน้าต่อตาฉัน กลับกันตอนนี้ก็กลับมากัดกันแล้ว ช่างน่าขันสิ้นดี!”
เดิมที่สือเพ่ยหลินไม่ได้ยินเลยว่าหลานเสี่ยวถางกำลังพูดอะไรอยู่ ภายในสมองของเขายังคงมีภาพของรอยจูบเมื่อครู่นี้ฉายไปมาไม่ยอมหยุด
บนผิวที่ขาวราวกับหิมะนั่น เป็นรอยแดงขึ้นมาอย่างชัดเจน ราวกับว่าเป็นตราประทับตราหนึ่ง ตราประทับของผู้ชายคนอื่น!
เขาสบตามองหลานเสี่ยวถางตรงหน้า อยากที่จะฉีกเธอออกเป็นชิ้นๆ!
เขาเกลียดเธอ เกลียดที่เธอหยิบเอาเรื่องที่ดูแลเขามาสองปีมาพูดอยู่ตลอดเวลา เอาบุญคุณมารัดเอาไว้ เกลียดเธออย่างไม่มีสาเหตุ สรุปแล้ว ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เขามีแต่ความอาฆาตและความเกลียดชังให้ต่อเธอ
แม้กระทั่ง เขายังเคยคิดอย่างชั่วร้ายว่า หลังจากที่เขาหย่าขาดต่อเธอแล้ว เกรงว่าเธอจะทำได้เพียงแค่ไปเป็นคนขายผักอยู่ข้างทาง สักวันหนึ่ง ที่เขาควงแขนเฉินจื่อโร่วผ่านตลาดไป เห็นเธอที่น่าเวทนา ซื้อผักของเธอสักมัดหนึ่ง เธอก็จะมีแต่ความขอบคุณและบุญคุณก็เท่านั้น!
แต่ทว่า เขาไม่เคยคิดเลย เวลาผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งเดือนเต็ม มาพบกันอีกครั้ง เธอกลับแปรเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบหนึ่ง
งดงามมากขนาดนั้น มั่นอกมั่นใจมากขนาดนี้ แม้กระทั่งเอามาเทียบกับเฉินจื่อโร่วที่เขาลุ่มหลง ก็ยังเทียบไม่ติดเลยแม้แต่นิดเดียว!
เธอไม่ได้ดูน่าเวทนาต่อเขาเลย ไม่มีลงเลย กลับกันกับใช้ชีวิตดีกว่ามาก เมื่อรับรู้แบบนี้แล้ว ทำให้โทสะในหัวใจของเขากลับยิ่งมีมากขึ้นกว่าเดิม ราวกับว่าจะแผดเผาโลกได้ทั้งใบเลยจริงๆ!
แผ่นอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง กระทั่งที่หน้าผากก็มีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา สือเพ่ยหลินในตอนนี้กับเขาที่มักจะดูสง่างามอยู่เสมอนั่น ดูราวกับเป็นคนละคนไปเรียบร้อยแล้ว
เขาเข้าไปใกล้หลานเสี่ยวถาง ก่อนจะกดเสียงต่ำเข้าที่ข้างใบหูของเธอว่า “หลานเสี่ยวถาง จะต้องมีสักวันหนึ่ง คุณจะต้องคุกเข่าต่อหน้าผม แล้วขอร้องให้ผมหลับนอนกับคุณ!”
คำพูดที่ทั้งดูถูกและไม่น่าฟังแบบนี้ หลานเสี่ยวถางรู้สึกเพียงแค่ว่าโทสะเริ่มติดขึ้นมาแล้ว เธอยกมือขึ้น ก่อนจะฟาดเข้าไปหาสือเพ่ยหลิน!
สือเพ่ยหลินมีปฏิกิริยาตอบกลับเร็วมาก เมื่อเขาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเธอได้แล้ว ราวกับว่าเป็นโอกาสที่ดีเลยทีเดียว ก่อนจะใช้แรงบีบเข้าที่มือของหลานเสี่ยวถางที่เขาจับเอาไว้อยู่
เรี่ยวแรงระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงนั่นมีความแตกต่าง หลานเสี่ยวถางรู้สึกเพียงแค่ว่าเจ็บที่บริเวณข้อมือ ราวกับว่าในวินาทีต่อมาถูกเรี่ยวแรงที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มันหัก ใบหน้าของแก้มของเธอเริ่มแดงมากขึ้น ภายในหัวใจรู้สึกไม่สบายใจจนเธอยอมที่จะทนเจ็บ แต่ไม่ยอมที่จะส่งเสียงออกไปเลยแม้แต่นิดเดียว
“เพ่ยหลิน นี่กำลังรังแกผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อยู่ หรือว่ากำลังเล่นงัดข้อกันอยู่น่ะ?” น้ำเสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้น สือมูเฉินเดินเข้ามาใกล้เขตโซฟา ก่อนจะนั่งลงที่ด้านข้างของหลานเสี่ยวถาง สองขาไขว่ห้างเข้าหากัน นัยน์ตาสุขุมนุ่มลึก มีประกายติดเล่น และมีประกายโทสะอยู่
เมื่อสือเพ่ยหลินเห็นสถานการณ์ดังนั้นแล้ว จึงรีบปล่อยหลานเสี่ยวถางออกอย่างรวดเร็ว ใบหน้าฉายความอึดอัดออกมาเล็กน้อย
หลานเสี่ยวถางเมื่อถูกปล่อยแล้ว ร่างทั้งร่างจึงล้มนั่งลงบนโซฟาอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่เล็กน้อย
สือมูเฉินเห็นข้อมือแดงเถือกของเธอ นัยน์ตาหดเกร็งอย่างรวดเร็ว เขาหยิบทิชชูเปียกบนโต๊ะน้ำชาตัวเล็กขึ้นมาหนึ่งแผ่น ก่อนจะหยิบน้ำแข็งที่อยู่ในถังขึ้นมาห่อเอาไว้สองสามก้อน หลังจากนั้นจึงหมุนตัวไปเอ่ยกับหลานเสี่ยวถางว่า “ผมช่วยคุณประคบนะครับ”
ฝั่งตรงข้าม เมื่อสือเพ่ยหลินเห็นดังนั้นแล้ว ก็รู้สึกขัดใจขึ้นมาในทันที ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้มขึ้นมาว่า “อาครับ คุณอาดูใส่ใจอดีตหลานสะใภ้จังเลยนะครับเนี่ย”
สือมูเฉินนำมือของหลานเสี่ยวถางขึ้นมาวางไว้บนหน้าขาของตนเอง ก่อนจะหยิบห่อน้ำแข็งจากทิชชูเปียกขึ้นมาประคบตรงรอยแดงที่บริเวณข้อมือของเธอ หลังจากนั้นจึงช้อนสายตาขึ้นไปมองสือเพ่ยหลินแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “จู่ ๆ ก็ค้นพบว่าเสี่ยวถางสวยมาก ดังนั้นก็เลยคิดว่าจะใส่ใจดีกว่า”
เมื่อสือเพ่ยหลินได้ยินดังนั้นแล้ว ภายในหัวใจก็ยิ่งไม่สบอารมณ์เข้าไปกันใหญ่ “คุณอาครับ เธอเป็น……”
สือมูเฉินช้อนสายตาขึ้น ก่อนจะแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ พร้อมกับเอ่ยด้วยใบหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยขึ้นมาว่า “นายไม่ได้เป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือไงว่าเป็นอดีตหลานสะใภ้ของฉันน่ะ?”
เขาเอ่ยคำว่า “อดีต” ขึ้นมาและเน้นย้ำอย่างชัดเจน หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาต่อว่า “ดังนั้นตอนนี้เธอโสด ฉันโสด ฉันเห็นว่าเธอสวยก็เลยจีบเธอ ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรไม่เหมาะสมไม่ใช่หรือไง?เมื่อก่อนเธอเรียกฉันว่าคุณอา แต่ทว่าพวกเรากลับไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกันเลยแม้แต่นิดเดียวนี่”
สือเพ่ยหลินรู้สึกเพียงแค่ว่าเลือดของเขาจะปะทุออกมาจากอกอยู่แล้ว “อาครับ อาพูดอะไรน่ะ?อาจะจีบเธองั้นหรือ? อย่ามาล้อเล่นกันหน่อยเลยครับ!”
จู่ ๆ สือมูเฉินก็รู้สึกสนุกขึ้นมา เขาพยักหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “จู่ ๆ วันนี้ฉันก็ค้นพบว่าเสี่ยวถางเหมาะสมเข้ากับคุณสมบัติของว่าที่ภรรยาในอนาคตของฉันอยู่พอดีเลย ดังนั้นแล้ว ฉันนึกเอาไว้ว่าหากเข้ากันได้ดี จะแต่งงานกันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่”
“คุณอา นี่อา——” เส้นเลือดบนใบหน้าของสือเพ่ยหลินปูดโปนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว “อาจะแต่งกับเธอได้อย่างไรกันน่ะครับ?!”
“ฉันค้นพบว่า ถ้าฉันแต่งกับเสี่ยวถางแล้ว หลังจากนี้นายกับเสี่ยวเฉินก็ต้องเรียกเธอว่าอาสะใภ้” สือมูเฉินเอ่ยขึ้น พร้อมกับใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มขบขัน เขาหันไปเอ่ยกับหลานเสี่ยวถางว่า “เสี่ยวถางครับ คุณโอเคไหมถ้าหากเพ่ยหลินจะเรียกคุณว่าอาสะใภ้น่ะ?”
หลานเสี่ยวถางจึงถือโอกาสนี้เอาไว้ อยากจะหัวเราะออกมาตั้งนานแล้ว เธอส่ายศีรษะไปมา “ตามสบายสิคะ อีกอย่างถ้าจะให้ว่าแล้วสำหรับฉันนั้นเขาก็เป็นแค่คนแปลกหน้านี่นะ”
แผ่นอกของสือเพ่ยหลินกระเพื่อมขึ้นมาในทันที นัยน์ตาของเขาฉายประกายเย็นยะเยือกออกมาทันที “คุณอาครับ อาไม่รู้สินะครับ อดีตหลานสะใภ้ทางด้านข้างของอามีความเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหน เป็นเพราะว่าอยู่กับผู้ชายมากหน้าหลายตา บนร่างกายของเธอตอนนี้ก็ยังมีรอยอยู่เลยนะครับ! ถ้าอาจะจีบเธอจริงๆ ก็ระวังจะติดโรคร้ายอะไรขึ้นมาด้วยแล้วกันนะครับ!”
นี่ยังคงเป็นครั้งแรกที่สือมูเฉินได้ฟังคำพูดที่ไม่น่าฟังมากขนาดนี้จากปากของสือเพ่ยหลิน เขาหรี่ตาลงอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะใช้สายตามองสือเพ่ยหลินอย่างพินิจพิจารณามากขึ้น
เจ้าหลานชายคนนี้ ภายนอกดูถ่อมตัวและสง่างาม จู่ ๆ กลับพูดคำพูดเหล่านี้ออกมา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่าเกลียดชังหลานเสี่ยวถางจนถึงขีดสุด มิฉะนั้นแล้ว ผู้ชายคนหนึ่ง คงจะไม่อะไรกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งมากขนาดนี้หรอก
เกลียด แต่ทว่ากลับกลายเป็นรูปแบบของความใส่ใจเป็นอย่างมากอีกรูปแบบหนึ่ง
ถ้าอย่างนั้นแล้ว ความรู้สึกของสือเพ่ยหลินที่มีต่อหลานเสี่ยวถางนั้น……
สือมูเฉินนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ในตอนที่สือเพ่ยหลินนึกว่าเขาจะรับฟังคำแนะนำของตนเองแล้วนั่นเอง จู่ ๆ สือมูเฉินกลับหัวเราะออกมาหนึ่งครั้ง “อะไรนะ? อันที่จริงแล้วฉันรู้สึกว่า ผู้หญิงที่ผ่านการวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ กลับกันกลับเป็นผู้บริสุทธิ์ การใส่ร้ายป้ายสีต่าง ๆ เป็นเพราะว่ามีคนอิจฉาริษยาก็เท่านั้นเอง เพ่ยหลิน นายเองก็โตขนาดนี้แล้ว อย่าไปฟังคำลวงไม่เข้าท่าเหล่านั้นเลยจะดีกว่านะ พูดแบบนั้นออกมา กลับกันกลับจะทำให้นายดูด้อยค่าลงแทน”
เมื่อสือเพ่ยหลินได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าอยากจะพูดอะไรต่อ แต่ทว่ากลับค้นพบว่าเดิมทีหมดคำที่จะคัดค้านแล้ว แต่ทว่า เมื่อได้เห็นท่าทางของหลานเสี่ยวถางและสือมูเฉินที่ดูเข้ากันได้ดีแล้วนั้น ยังคงคิดถึงคำว่า “อาสะใภ้” ที่สือมูเฉินได้เอ่ยออกมาเมื่อครู่นี้อยู่ เขารู้สึกว่าไฟโทสะในหัวใจของเขาไม่มีที่ระบายเลย
เขาลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันไปเอ่ยกับสือมูเฉิน “คุณอาครับ ผมไปเข้าห้องน้ำครู่หนึ่งนะครับ” พูดไป ก็หมุนตัวจากไป
เมื่อเฉินจื่อโร่วเห็นเขาจากไปแล้ว ก็รีบกุลีกุจอตามเขาไปทันที
ทั้งสองคนเดินไปไกลแล้ว สายตาของสือมูเฉินกลับมามองยังข้อมือของหลานเสี่ยวถาง เขาเปิดริมฝีปากบางเอ่ยพูดขึ้นมาว่า “ทำไมไม่หลบละครับ?”
หลานเสี่ยวถางก้มศีรษะลง “เขาพูดจาไม่น่าฟัง เดิมทีฉันอยากจะฟาดเขาสักที แต่ทว่าข้อมือถูกเขาจับเข้าให้ ก็เลยขยับไม่ได้น่ะค่ะ”
สือมูเฉินช่วยเธอประคบเย็นต่อไป “หลังจากนี้ หาจะให้สู้กับคนด้วยเรี่ยวแรงแบบนี้ล่ะก็ ให้เห็นหน้าที่ของสามีคุณเถอะครับ”
นัยน์ตาของหลานเสี่ยวถางอดไม่ได้ที่จะเป็นประกายขึ้นมาในทันที “คุณยอมที่จะช่วยฉันต่อสู้หรือคะ?”
“ใครใช้ให้มีภรรยาโง่ แล้วถูกคนอื่นรังแกข้างนอกกันล่ะครับ?” สือมูเฉินพูดไป ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างจริงจังว่า “ผมไม่สามารถอยู่กับคุณได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงหรอกนะครับ หลังจากนี้ตอนผมไม่อยู่ ก็ต้องเรียนรู้ที่จะป้องกันตนเองเอาไว้ด้วย”
“อือ” หลานเสี่ยวถางพยักหน้า ก่อนจะรับฟังคำสอนอย่างใจอ่อน
“เด็กดี” สือมูเฉินลูบศีรษะของเธอไปมาอย่างพึงพอใจ
ในตอนนั้นเอง ที่โถงทางเดินด้านนอกห้องโถงใหญ่ สือเพ่ยหลินกำลังเดินสาวเท้ายาว ร่างทั้งร่างราวกับภูเขาไฟที่จวนจะระเบิดออกมาเต็มทน
ที่ด้านหลัง เฉินจื่อโร่วเอ่ยขึ้นด้วยความประหม่าเล็กน้อยว่า “พี่เพ่ยหลินคะ รอฉันด้วยสิคะ พี่อย่าไปใส่ใจมันมากนัก……”
คำพูดของเธอยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยจนจบ จู่ ๆ สือเพ่ยหลินก็หมุนกายกลับมา นัยน์ตาทั้งสองข้างดุดัน ก่อนจะคว้าเฉินจื่อโร่วเข้ามา แล้วจูบลงไปอย่างรุนแรง
เฉินจื่อโร่วรู้สึกเพียงแค่ว่าริมฝีปากเจ็บปวดไปหมด ก่อนจะอดที่จะส่งเสียงเจ็บปวดออกมาไม่ได้ครั้งหนึ่ง แต่ทว่าในวินาทีต่อมา สือเพ่ยหลินใช้มือข้างหนึ่งเปิดประตูห้องพักด้านข้างแล้วหมุนตัวเข้าไปแล้ว ก่อนจะดึงเธอเข้าไปด้วยกัน หลังจากนั้นก็ก้มศีรษะพรมจูบที่ไหปลาร้าของเธอ
“พี่เพ่ยหลินคะ……” เฉินจื่อโร่วถูกการกระทำบุ่มบ่ามของเขาทำให้ตกใจ เป็นครั้งแรกที่หวาดกลัวกับการใกล้ชิดเขาขนาดนี้
สือเพ่ยหลินสบตามองหลานจูบที่เขาพึ่งทำไปบนไหปลาร้าของเฉินจื่อโร่วเมื่อครู่นี้ ภายในสมองกลับมีแต่ภาพความทรงจำของรอยจูบบนไหปลาร้าของหลานเสี่ยวถางเมื่อครู่นี้ฉายซ้ำ ๆ ไปมา
นัยน์ตาของเขาแดงก่ำขึ้นมาทันที ภายในหัวใจราวกับถูกแมลงนับพันตัวขบกัดจนน่ารำคาญ สือเพ่ยหลินฉีกกางเกงซับในของเฉินจื่อโร่วออก หลังจากนั้น เขาก็ปลดกางเกงสูทออก แล้วระบายความโกรธก่อนหน้านี้ทั้งหมดใส่เข้าไปด้านในทันที