ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 333 ได้เจอกับ 'เจ้าพ่อ' ในตำนาน
ในเมืองไห่หลิน ฮั่วชิงชิงได้รับโทรศัพท์ของฟู่สีเกอ เมื่อบอกว่าเขากับเฉียวโยวโยวจะมาเยี่ยมเธอด้วยกัน อารมณ์จิตใจก็ยุ่งเหยิงไปหมด
ด้านหนึ่ง จริงๆเธอก็คิดถึงเขามาก แต่อีกด้านหนึ่ง แต่เธอก็ไม่อยากเห็นเขากับเฉียวโยวโยวมามีความสุขต่อหน้าเธอ ถึงแม้จะรู้ว่า ตนเองกับฟู่สีเกอกลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่ในความทรงจำของเธอ เหมือนมีอาการเจ็ตแลกที่ยังคงปรับตัวไม่ได้
เที่ยงวันจันทร์ ฮั่วชิงชิงกำลังรอข่าวอยู่ที่บ้าน ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากข้างนอก เธอก็เงยหน้าขึ้น จึงเห็นฮั่วเหมียวเหมี่ยวพาฟู่สีเกอกับเฉียวโยวโยวเข้ามา
เธอลุกขึ้นยืน ยิ้มให้คนทั้งสอง : “พวกคุณมากันแล้ว!”
“ชิงชิง คุณนั่งลงพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องลุกขึ้นมา!” ฟู่สีเกอพูดจบ ก็ส่งถุงๆหนึ่งให้ : “ชิงชิง นี่ของของคุณ!”
“อะไรเหรอ?” ฮั่วชิงชิงรับมาอย่างประหลาดใจ
“ทั้งหมดเป็นขนมจากหนิงเฉิง!” ฟู่สีเกอยิ้ม : “ก่อนหน้านี้คุณชอบทานพวกถั่วลันเตาเหลืองไม่ใช่เหรอ? ฉันจึงไปหาร้านเจ้าเก่ามาโดยเฉพาะ มันเป็นรสชาติในความทรงจำของคุณอย่างแน่นอน!”
ฮั่วชิงชิงได้ฟังก็รู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาเล็กน้อย เธอยิ้มๆ แกะกล่องขนมออกมา : “จริงเหรอ? อย่างนั้นฉันต้องลองชิมหน่อยแล้ว!”
พูดจบ เธอก็อดใจไม่ไหวที่จะใช้มือหยิบขึ้นมาหนึ่งชิ้น แล้วใส่เข้าไปในปาก
ชั่วขณะ ความเย็นเล็กน้อยควบคู่ไปกับกลิ่นหอมของถั่วลันเตาเหลืองได้ละลายอยู่ในปาก มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปตอนที่ไปหนิงเฉิงครั้งแรก
“อร่อยมากจริงๆด้วย!” ฮั่วชิงชิงพยักหน้า แต่เพราะว่ารีบพูดจึงสำลักเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มไอขึ้นมาอย่างรุนแรง
ฟู่สีเกอเห็นเช่นนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไป : “ชิงชิง คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เฉียวโยวโยวรีบหันหลังกลับไป เทน้ำให้ฮั่วชิงชิงหนึ่งแก้ว
ฮั่วชิงชิงดื่มน้ำ จึงดีขึ้นเล็กน้อย กล่าวอย่างเขินอายว่า : “ฉันไม่ได้ตะกละตะกลามเกินไปใช่ไหม น่าขายหน้าจัง?”
“ไม่หรอก เมื่อก่อนคุณก็เป็นอย่างนี้” ฟู่สีเกอพูดจบ จู่ๆก็ตระหนักถึงอะไรบางอย่าง จึงเงียบลงทันที
เวลานี้ที่หน้าประตูมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ฮั่วเหมียวเหมี่ยวจึงไปเปิดประตู เห็นว่าเป็นหันจื่ออี้ จึงยิ้มแล้วพูดว่า : “คุณหัน คุณมาแล้วเหรอคะ!”
หันจื่ออี้ยิ้มอย่างสุภาพให้เธอ : “เหมียวเหมี่ยว ไม่ต้องทำเป็นแปลกหน้าแบบนี้ทุกครั้งหรอก”
“อย่างนั้นฉันก็จะปฏิบัติเหมือนกับพี่สาว เรียกคุณว่าพี่หันดีไหม!” ฮั่วเหมียวเหมี่ยวยิ้มแล้วต้อนรับเขาเข้ามา
เมื่อฟู่สีเกอเห็นหันจื่ออี้มาถึง ชั่วขณะก็รู้สึกว่าด้วยตนเองว่าเหมือนจะมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงพูดกับทุกๆคนว่า : “วันนี้หาได้ยากที่เราจะมารวมตัวกัน ทุกท่าน Times Group มีศูนย์รวมความบันเทิงที่เขตพื้นที่ป่าทางด้านนั้น ต้องการจะไปเล่นสนุกด้วยกันไหม?”
หันจื่ออี้หันมามอง : “ศูนย์รวมความบันเทิงที่นั่นเพิ่งสร้างเสร็จ และยังไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าใช้บริการนะ”
ฟู่สีเกอหัวเราะ แล้วพูดอย่างลำพองใจว่า : “ด้านในนั้นมีคนของเรา! ฉันได้บอกกับอาเฉินแล้ว ว่าวันนี้ทุกๆคนจะไปสนุกกัน จึงเปิดให้บริการเฉพาะแค่พวกเราเท่านั้น!”
ถึงอย่างไรฮั่วเหมียวเหมี่ยวก็อายุยังน้อย พอได้ยินก็ตาเป็นประกาย : “เย้ พี่ฟู่ ด้านในมีอะไรน่าสนุกบ้างเหรอคะ?”
ฟู่สีเกอกล่าวว่า : “มีเขตพื้นที่ป่าให้ล่าสัตว์ได้ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการเล่นสกี อีกอย่างคือฟิตเนสในร่มและความบันเทิง ยังมีห้องเกมจำลองในตำนานอีกด้วยนะ ตอนกลางคืน โรงแรมมีบ่อน้ำพุร้อนอยู่ในที่พัก ว่ากันว่าทุกๆห้องมีบ่อน้ำพุร้อนหมด เจ๋งสุดๆไปเลย!”
“ดีจังเลย!” ฮั่วเหมียวเหมี่ยวอยากจะไปเที่ยวชมทันที เธอจึงหันไปพูดกับฮั่วชิงชิงว่า : “พี่ เราไปกันเถอะนะ!”
ฮั่วชิงชิงลังเลใจ อดไม่ได้ที่จะหันไปมองฟู่สีเกอ
ฟู่สีเกอพยักหน้าให้เธอ : “ชิงชิง อยู่แต่ในบ้านมันก็ไม่ดีต่อการฟื้นฟูร่างกายนะ ออกไปเคลื่อนไหวร่างกายสักหน่อยน่าจะดีกว่า!”
ฮั่วชิงชิงพยักหน้า : “ก็ได้ค่ะ”
ทานอาหารกลางวันกันแล้ว นายท่านฮั่วก็ได้จัดให้คนขับรถมารออยู่ที่หน้าประตูทางเข้า เพื่อจะส่งทุกๆคนไปยังสถานบันเทิง
เป็นรถขนาด 7 ที่นั่ง เพราะว่าชิงชิงกับเหมียวเหมี่ยวต้องนั่งด้วยกัน ฟู่สีเกอกับเฉียวโยวโยวก็นั่งคู่กัน ฉะนั้นหันจื่ออี้จึงต้องไปนั่งคู่กับคนขับรถ
เขากำลังจะหันไปทักทายคนขับรถ แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้าของคนขับรถ ฉับพลันก็ตกใจจนตัวสั่น!
ดูเหมือนว่าคนขับรถจะสังเกตเห็นความผิดปกติของหันจื่ออี้ ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปพยักๆหน้าให้เขา
และเวลานี้ หันจื่ออี้ได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน จึงวางมือที่สั่นเทาเบาๆไว้ที่ข้างลำตัว
เขารู้ว่าตนเองไม่สามารถแสดงอาการอะไรออกมาได้ เพราะเหตุนี้ จึงพยายามหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง แต่เขาก็ยังควบคุมอาการที่ตึงเครียดจนพูดไม่ออกไม่ได้
คนขับรถที่อยู่ข้างๆนั้น เป็นคนที่เขาตามหามาเกือบ 7 ปี เป็นศัตรูที่หาตัวไม่เจอ! และยังเป็นผู้ร้ายคนสำคัญบนรูปถ่ายที่พ่อบุญธรรมของเขามอบให้เขาในตอนนั้นด้วย!
ในตอนนั้นพ่อดื่มเหล้าเมาหัวราน้ำทุกคืน แล้วไล่ไปกู้ยืมเงินกู้ดอกเบี้ยสูงมา จนทำให้เดือดร้อน แม้แต่แม่ก็ต้องประสบเคราะห์ร้ายมีส่วนเกี่ยวข้องไปด้วย จนต้องถูกฆ่าตายทั้งคู่
ในตอนนั้นเขายังคิดว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แต่ภายใต้การช่วยเหลือพ่อบุญธรรม จึงได้รู้ว่ามันเป็นการฆาตกรรมโดยเจตนา
และผู้ที่ปล่อยเงินกู้ในตอนนั้น เป็นผู้ชายที่มีไฝดำที่หน้าผากหนึ่งเม็ด ซึ่งก็คือคนขับรถที่นั่งอยู่ข้างๆเขาในตอนนี้! ถึงแม้ว่าปัจจุบันไฝของเขาจะหายไปแล้ว แต่ยังคงหลงเหลือรอยเลเซอร์กำจัดไฝอยู่!
ใบหน้านั้น แม้จะผ่านไปเกือบเจ็ดปี แต่เขาก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจน
แม้ว่าในตอนนั้น บางคนที่เกี่ยวข้องกับการลงมือฆ่าพ่อแม่ของตนจะถูกจับกุมและประหารชีวิตไปแล้ว แต่ยังเหลือเพียงแค่คนปล่อยกู้คนนี้ หลายปีที่ผ่านมาเขาพยายามอย่างสุดความสามารถ ก็หาตัวไม่เจอ คาดไม่ถึงว่า วันนี้ในพื้นที่เล็กๆแบบนี้ จะได้เจอกับศัตรูในปีนั้น!
แต่ว่าคนปล่อยเงินกู้ที่มีอิทธิพลมีอำนาจในตอนนั้น จะมาเป็นคนขับรถให้คนอื่นในเมืองเล็กๆแบบนี้ได้อย่างไร? หัวใจของหานจื่ออี้จุดประกายความสงสัยขึ้นมา
บนเส้นทาง ฮั่วเหมียวเหมี่ยวก็แนะนำทัศนียภาพระหว่างทางให้กับพวกฟู่สีเกอตลอดทาง ดูเหมือนจะสนุกครึกครื้นอย่างมาก
จนกระทั่ง มาถึงสถานบันเทิง คนขับก็จอดรถ แล้วกล่าวกับฮั่วชิงชิงและคนอื่นๆว่า : “คุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง พวกเรามาถึงสถานที่แล้วครับ”
ทุกคนลงจากรถ แต่หันจื่ออี้ไม่ได้ลง
เขากล่าวกับฟู่สีเกอว่า : “คุณฟู่ คุณพาพวกเขาไปสนุกก่อนเถอะ ฉันนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องหนึ่งที่ยังจัดการไม่เสร็จ อีกสักพักจะกลับมาหาพวกคุณ”
“โอเค” ฟู่สีเกอพยักหน้า แล้วโบกไม้โบกมือให้หันจื่ออี้
หันจื่ออี้ส่งสายตามองทุกคนที่ห่างออกไป แล้วกล่าวกับคนขับรถว่า: “รบกวนคุณพาฉันไปส่งที่สถานที่ก่อสร้างของTimes Groupด้วยครับ……”
ครั้งนี้ เขาจะไม่ให้โอกาสคนคนนี้หนีรอดไปได้อย่างแน่นอน! ในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องการตรวจสอบออกมาว่า ในตอนนั้นพ่อแม่ของตนเองกู้เงินดอกเบี้ยสูงจากเขาจริงๆ หรือว่าเป็นคนอื่น!
ก่อนหน้านี้หลานเสี่ยวถางก็รู้ว่า ออเนอร์มีเก้าชั้น
ชั้นสูงสุดนั้น ก็คือคุณตาตนเอง เป็นสถานที่ที่เป็นสำนักงานของเย่ซีโจวที่รู้จักในนามเจ้าพ่อ
เพียงแต่ที่เธอไม่รู้คือ ชั้นเก้าของออเนอร์ อันที่จริงมันเป็นเพียงสัญลักษณ์ลำดับขั้นของอำนาจที่เข้มงวด และเบื้องหลังออเนอร์เก้าชั้นนั้น จึงเป็นการดำรงชีวิตความเป็นอยู่ทั้งหมดของออเนอร์กรุ๊ป
เย่เหลียนอีพาเธอและสือมูเฉินเข้ามาชั้นเก้า ชายสวมชุดสูททั้งหมดที่อยู่หน้าประตูต่างก็กล่าวทำความเคารพ : “คุณผู้หญิง!”
เวลานี้ มีชายอเมริกันวัยกลางคนสวมเครื่องแบบพ่อบ้านคนหนึ่งเดินเข้ามา : “คุณนายครับ เจ้าพ่อรอคุณอยู่ด้านในแล้วครับ”
เย่เหลียนอีพยักหน้า : “โอเคค่ะ”
ผ่านลานด้านหน้า อาคารด้านหลังสร้างให้ดูเหมือนโบสถ์ยุคกลาง
หลานเสี่ยวถางเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นแสงที่ส่องผ่านกระจกเป็นสีสันแวววาวระยิบระยับ คล้ายกับถูกเคลือบเงาเอาไว้
เธออดไม่ได้ที่จะคิดว่า ภายในห้อง คาดว่าคงจะคล้ายกับภาพวาดสีน้ำมันที่มีสีสันสวยงาม ตกแต่งจนสวยงามไปทั่วทั้งห้อง
เดินตามเย่เหลียนอีไปถึงหน้าประตู เดิมทีหัวใจของหลานเสี่ยวถางที่เป็นกังวลอยู่แล้วก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
หน้าประตูห้องโถงใหญ่ ยังคงมีผู้ชายตัวสูงใหญ่สวมชุดสูทสีดำยืนอยู่สองแถว เมื่อเดินผ่านพวกเขาไป ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องโถงใหญ่ก็ปรากฏตรงหน้าทันที
หลานเสี่ยวถางมองเห็นได้จากไกลๆ ในห้องโถงขนาดสองร้อยตารางเมตรนั้น มีชายลูกครึ่งที่ดูแล้วอายุราวๆหกสิบกว่าปีนั่งอยู่
ถึงแม้ว่าจะนั่งอยู่ แต่ก็สามารถมองออกถึงรูปร่างที่สูงใหญ่ของเขา ผมของเขาหงอกเล็กน้อย ใบหน้าคมชัด หน้าตาคล้ายกับเย่เหลียนอีมาก รูปร่างค่อนข้างอวบเล็กน้อย
เขานั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้จันทน์ นิ้วมือพาดอยู่ที่พนักวางแขนบนเก้าอี้ หลานเสี่ยวถางมองไป คาดไม่ถึงว่าจะเห็นนิ้วก้อยข้างซ้ายของเขาขาดครึ่ง และบนนิ้วหัวแม่มือข้างขวา สวมแหวนวงหนึ่งที่ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุอะไร
เห็นหลานเสี่ยวถางและคนอื่นๆเข้ามา สายตาของเย่ซีโจวก็มองเข้ามาอย่างผิวเผิน
ชั่วพริบตา หลานเสี่ยวถางก็รู้สึกเพียงว่าฟ้าเมฆมืดครึ้มขึ้นมาภายในห้องโถงใหญ่ พลังที่มองไม่เห็นในตัวของเย่ซีโจวทำให้เธอหายใจไม่ออกเล็กน้อย
สือมูเฉินที่อยู่ข้างๆรู้สึกได้ถึงความกังวลของหลานเสี่ยวถาง จึงกุมมือของเธอเอาไว้ แล้วกล่าวกระซิบว่า : “ถางถาง คุณตาของคุณแค่เคยชินกับท่าทางแบบนี้ ไม่ได้มีเจตนาร้ายหรอก”
หลานเสี่ยวถางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วตอบอืมคำหนึ่งกับสือมูเฉิน จากนั้น ก็ตามเย่เหลียนอีมาถึงตรงหน้าของเย่ซีโจว
“พ่อ!” เย่เหลียนอีเดินมาถึงข้างเก้าอี้ของเย่ซีโจว ยื่นมือไปดึงแขนของเขาแล้วกล่าวว่า: “ตีหน้าขรึมทำไมกัน? คุณดูสิ ถางถางตกใจแย่แล้ว!”
หลานจื่อเฉินก็เดินเข้ามา : “คุณปู่ คุณดูซิว่า ฉันหล่อ หรือว่าพี่สาวฉันสวย?”
เย่ซีโจวประคองเก้าอี้แล้วลุกขึ้นยืน จากนั้น ก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหลานเสี่ยวถาง พิจารณาเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าครั้งหนึ่ง แล้วจึงกล่าวกับลูกน้องที่อยู่ด้านข้างว่า : “ทำไมไม่เอาเก้าอี้มาเพิ่ม?”
ในทันใด ลูกน้องก็ยกเก้าอี้สองตัวเข้ามา
หลานเสี่ยวถางระมัดระวังตัวเล็กน้อย เปิดปากกำลังจะพูด เย่เหลียนอีที่อยู่ข้างๆก็จับไหล่ของเธอเอาไว้: “พ่อ ฉันขอแนะนำสักหน่อยนะ นี่คือถางถาง นี่คือมูเฉิน เป็นหลานสาวและหลานเขยของคุณ”
จากนั้น เธอก็กล่าวกับเสี่ยวถางอีกว่า : “ถางถาง เรียกคุณปู่สิ”
เย่เหลียนอีพูดจบก็กล่าวอธิบายว่า: “ที่นี่พวกเราเรียกคุณปู่ ไม่ได้แยกคุณปู่หรือคุณตาอะไร”
หลานเสี่ยวถางพยักหน้า แล้วกล่าวกับเย่ซีโจวว่า : “คุณปู่ สวัสดีค่ะ” สือมูเฉินที่อยู่ข้างๆก็พยักหน้าทำความเคารพเหมือนกัน
“ถางถาง มูเฉิน นั่งลงสิ” เย่ซีโจวแสดงเจตนาให้คนทั้งสองนั่งลง
เวลานี้ ลูกน้องของเย่ซีโจวส่งซิการ์มาให้ จากนั้น ก็กำลังจะจุดไฟ
“หลานสาวฉันท้องอยู่ ยังจะสูบบุหรี่อีกเหรอ?!” สีหน้าเย่ซีโจวเคร่งขรึม : “เอาออกไป!”
หลานเสี่ยวถางตกใจ เงยหน้ามองเย่ซีโจว
ดังนั้น นี่เขาเป็นห่วงสุขภาพร่างกายของเธองั้นเหรอ? ชั่วพริบตา เดิมทีความกังวลที่มีอยู่ก็ได้หายไปเกินครึ่ง
เย่เหลียนอีที่อยู่ข้างๆได้ยินแล้ว ในดวงตาก็ปรากฏรอยยิ้ม กล่าวกับหลานจื่อเฉินว่า : “รอให้ลูกพี่สาวคุณคลอดออกมาก่อนเถอะ คุณจะต้องเป็นหมาหัวเน่าแน่ๆ!”
เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ เย่ซีโจวถามหลานเสี่ยวถางว่า : “ถางถาง ลูกของคุณจะคลอดเมื่อไรเหรอ?”
หลานเสี่ยวถางกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า : “อีกหกเดือนค่ะ”
“ยังอีกหกเดือนเลยเหรอ?” นิ้วมือของเย่ซีโจวเคาะที่เท้าแขนเก้าอี้ ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ : “เข้ามา! เริ่มเตรียมสนามรอบบ้าน เตรียมห้องเด็กทารกตอนนี้เลย!”