ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 365 เจ้าตัวเล็กน้อยใจ มองเขาด้วยน้ำตา
ในดวงตาของโจวเหวินซิ่วเต็มไปด้วยน้ำตา : “ฉันผิดไปแล้ว ยี่สิบปีที่ผ่านมาฉันไม่ควรไปแก้แค้นคุณกับเสี่ยวถางเลย ฉันผิดไปแล้ว……”
ดวงตาของสือมูเฉินเบิกกว้างขึ้นทันที ใจเต้นระรัว น้ำเสียงของเขาสั่นเครืออย่างควบคุมไม่ได้ : “แม่ คุณจำได้แล้วเหรอ?”
โจวเหวินซิ่วพยักหน้าอย่างอ่อนแรง : “มูเฉิน ขอโทษนะ ฉันน่าจะทะนุถนอมเวลาที่ได้กลับคืนมา ฉันไม่น่าไปแก้แค้นเลย……มูเฉิน จริงๆแล้วคุณเป็นลูกที่ฉันรักที่สุด ฉันภูมิใจในตัวคุณมาตลอด……ฉันไม่เคยเสียใจเลยที่มีคุณ!”
สือมูเฉินเห็นร่างกายของโจวเหวินซิ่วเริ่มสั่นเทา มือที่จับสือมูเฉินก็อ่อนแรงลงเรื่อยๆ สือมูเฉินเห็นดวงตาของเธอค่อยๆขยายขึ้น หัวใจเขาก็หม่นหมองลง!
“แม่!” เขาตะโกนเรียกเสียงดัง แต่โจวเหวินซิ่วเหมือนไม่ได้ยินอีกแล้ว
“อันที่จริง แม่ลูกเคยโกรธกันข้ามคืนซะที่ไหน ลูกชายคนนี้ไม่เคยโทษคุณเลยนะ!” เขาพูดเสียงดังอีกครั้ง และเธอดูเหมือนว่าจะได้ยินแล้ว มุมปกยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย จากนั้นมือก็ตกลงไป!
ช่วงเวลาห่างกันแค่วันเดียว สือมูเฉินได้รับลูกสาวตัวน้อยที่น่ารักที่สุด แล้วก็สูญเสียแม่ที่เคยทำให้เขามีความสุข รู้สึกผิด ลำบากใจ เจ็บปวดทรมานใจไปเช่นกัน
เพียงแต่ความขัดแย้งคับข้องใจ เวลานี้ได้ปล่อยวางลงหมดสิ้น กลับคืนสู่ธุลีดินไปแล้ว
พิธีฝังศพของโจวเหวินซิ่วจัดขึ้นในวันถัดมา เวลานั้น สือเพ่ยหลินยังพักรักษาตัวไม่เสร็จ ดังนั้นตอนที่ส่งเธอไป จึงมีแค่สองพี่น้องสือมูชิงกับสือมูเฉินเท่านั้น
หลังจากเสร็จสิ้นจากงานศพ สือมูเฉินก็นั่งเครื่องบินไปอเมริกาทันที
ถึงแม้เรื่องราวจะเกิดขึ้นมากมาย แต่เพราะว่าไม่ได้นอนเป็นเวลานาน สือมูเฉินก็ยังคงนอนหลับไปบนเครื่องบิน
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกที ก็ใกล้ถึงที่นัดหมายแล้ว
เขาลงจากเครื่องบิน แล้วก็เข้าพักที่โรงแรมหลินไห่บนเกาะเล็กๆ เพื่อรอพบกับโอวหยางจวิ้น
วันนี้หลานเสี่ยวถางให้นมหวันหว่านเสร็จตั้งแต่เช้า ก็เลยพาหวันหว่านไปด้วยกันกับโอวหยางจวิ้น แล้วขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่จัดเตรียมไว้โดยตระกูลเพอร์เซลล์
เนื่องจากเฮลิคอปเตอร์มีเสียงดังอื้ออึง ฉะนั้นหลานเสี่ยวถางจึงปิดหูของลูกสาวไว้ตลอดการขึ้นเครื่อง เธอใส่ที่ครอบกันเสียงให้หวันหว่าน แล้วนั่งลงข้างๆหน้าต่าง
เมื่อเฮลิคอปเตอร์บินขึ้น ตระกูลเพอร์เซลล์ที่อยู่ด้านล่างก็ตัวเล็กลง จากนั้นก็ถูกทิ้งไว้ด้านหลัง
หลานเสี่ยวถางรู้สึกเพียงว่า ตนเองหลุดพ้นจากการถูกกักขังจองจำนี้ได้ ก็จะเป็นอิสระทันที
เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ดังนั้นอีกฝ่ายจึงเป็นคนนัดสถานที่ เป็นเกาะเล็กๆที่อยู่ห่างไกลจากออเนอร์และตระกูลเพอร์เซลล์
เฮลิคอปเตอร์ค่อยๆออกห่างจากเมือง แล้วบินข้ามมหาสมุทรไป
หลานเสี่ยวถางมองไปยังน้ำทะเลสีฟ้าสดใส ก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก
พอดีกับหวันหว่านที่อยู่ในอ้อมกอดตื่นแล้ว หลานเสี่ยวถางเห็นเธอลืมตา จึงอุ้มขึ้นมา ให้ใบหน้าเล็กๆมองออกไปนอกหน้าต่างตรงนั้น : “หวันหว่าน คุณดูสิ นี่คือมหาสมุทรนะ!”
เจ้าตัวเล็กดูเหมือนว่ายังมองไม่ค่อยเป็น ใบหน้าเล็กๆของเธอโผเข้าไปตบๆที่หน้าต่าง ราวกับว่าจะใช้หน้าต่างเป็นของเล่น
หลานเสี่ยวถางรู้สึกตลกขึ้นมา อีกทั้งชี้นิ้วไปที่ด้านล่างอีกครั้ง : “หวันหว่าน มองไปที่ข้างล่างสิ!”
ดูเหมือนหวันหว่านจะรู้สึกว่าหลานเสี่ยวถางพูดคุยอยู่กับเธอ ด้วยเหตุนี้จึงเงยหน้าขึ้น มองหลานเสี่ยวถางอย่างสงสัย
ดวงตาของเธอโตมาก เพราะว่ายังเด็ก เปลือกตาทั้งสองข้างจึงยังไม่เด่นขึ้นมา จึงรู้สึกว่าบนใบหน้าเล็กๆ มีเพียงแค่ดวงตาสีดำสดใสคู่นั้น
ตาดำของเด็กเดิมทีก็ใหญ่เหมือนกับใส่คอนแทกต์เลนส์อยู่แล้ว เมื่อหลานเสี่ยวถางมองใบหน้าของตนเองที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของลูกสาว ดูเหมือนว่าจะสวยมากกว่าปกติเล็กน้อย
ที่ด้านข้าง โอวหยางจวิ้นเห็นทั้งสองคนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน อารมณ์แปรปรวนในจิตใจก็กลับขึ้นมาอีกครั้ง
เขาโน้มตัวเข้าไป ยื่นมือไปสัมผัสใบหน้าเล็กๆของหวันหว่าน
หวันหว่านเคยเจอเขาหลายครั้งแล้ว ฉะนั้นจึงไม่กลัวเขา แต่กลับส่งยิ้มให้เขา
เพราะรอยยิ้มที่ค่อนข้างกว้าง ดวงตาสีดำแวววาวยิ้มจนเป็นเส้นโค้ง ปากเล็กๆเปิดกว้าง ที่มุมปากมีน้ำลายไหลออกมา เป็นประกายแวววาว
ชั่วขณะโอวหยางจวิ้น รู้สึกว่าถูกรอยยิ้มของเธอทำให้ประทับใจ อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา
หลานเสี่ยวถางคิดว่าถึงแม้คนคนนี้จะน่ารังเกียจ แต่ก็แค่เจอกันแล้วก็จากกันด้วยดี จึงไม่ได้พูดอะไรมาก
หวันหว่านของเธอ ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่มีปัญหากันมากขนาดไหน ขอเพียงแค่โอวหยางจวิ้นหยอกล้อกับเธอ เธอก็หัวเราะ จนคิ้วและตาโค้งงอน น่ารักจนทำให้คนอยากกัดสักสองสามที!
หลานเสี่ยวถางมองลูกสาวของตนเอง หัวใจก็อ่อนโยนลงมา
ตอนเกิดมาหวันหว่านเคยร้องไห้แค่ครั้งเดียว แล้วก็ไม่เคยร้องอีกเลย แม้ว่าจะหิวหรือฉี่รดผ้าอ้อม ก็แค่ขมวดคิ้วเท่านั้น แต่ไม่ร้องไห้
ตรงกันข้าม เธอจะหัวเราะทันทีที่ถูกหยอกล้อด้วย ระยะเวลาสามวันสั้นๆ คนตระกูลเพอร์เซลล์จึงชอบเธอมาก
โอวหยางหยอกล้อกับเธอสักพัก กำลังอยากให้หลานเสี่ยวถางเอามาให้เขาอุ้ม เวลานี้ จู่ๆเครื่องบินก็สั่นอย่างรุนแรง!
หลานเสี่ยวถางตกใจอย่างมาก : “เกิดอะไรขึ้น?”
โอวหยางจวิ้นตึงเครียดขึ้นมา เอ่ยถามนักบินว่า : “เกิดอะไรขึ้น?”
“คุณผู้ชาย ที่นี่จู่ๆก็มีพายุทอร์นาโดพัดผ่านเข้ามา เราเพิ่งถูกลมพายุทอร์นาโดพัดถล่ม” นักบินพูดว่า : “คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง โปรดรัดเข็มขัดนิรภัย เราต้องหลีกเลี่ยงพายุอาจจะมีการสั่นสะเทือนขึ้นได้”
เดิมทีหลานเสี่ยวถางคาดเข็มขัดนิรภัยอยู่แล้ว โอวหยางจวิ้นจึงขาดเข็มขัดนิรภัยของตนเองให้ดี แต่เพิ่งจะคาดเสร็จ เครื่องบินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงอีกครั้ง!
หลานเสี่ยวถางตกใจมาก กอดหวันหว่านไว้แน่น เห็นทะเลด้านล่างที่กว้างขวางไร้ขอบเขต ความหวาดกลัวก็ผุดขึ้นมาในใจ
เวลานี้ เครื่องบินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เพราะนักบินต้องหลบหลีกลมพายุ ดังนั้น เดี๋ยวก็บินดิ่งลงโดยตรง เดี๋ยวก็รู้สึกเหมือนว่าบินอย่างอิสระ หลานเสี่ยวถางกลัวว่าจะทำให้หวันหว่านตกใจ จึงไม่กล้าส่งเสียงออกมาโดยสิ้นเชิง
ใบหน้าของโอวหยางจวิ้นที่อยู่ข้างๆก็เคร่งขรึม เขาหยิบมือถือขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะติดต่ออะไรบางอย่าง
แต่เวลานี้ จู่ๆก็มีเสียงการเคลื่อนไหวดังเข้ามา จากนั้น ก็คล้ายกับว่าเครื่องบินสูญเสียพละกำลังทั้งหมดไป หมุนเคว้งไปพลาง ดิ่งลงสู่ด้านล่างอย่างรวดเร็วไปพลาง
ไม่รู้ว่าเครื่องบินมีรอยแยกตรงไหน เวลานี้ ลมได้แทรกเข้ามา ในทันใด สิ่งของบนเครื่องก็เริ่มตกลงมา
ด้วยความแรงของลม รอยแตกที่ส่วนหน้าของเครื่องบินก็เปลี่ยนเป็นขนาดใหญ่ทันที จากนั้น ก็ใหญ่ขึ้นๆ
สิ่งของที่มีอยู่ทั้งหมด ด้วยความรุนแรง ก็เริ่มร่วงหล่นลงสู่รอยแยกอย่างบ้าคลั่ง
หลานเสี่ยวถางตกใจจนกรีดร้อง เธอโอบกอดหวันหว่าน ไม่รู้จะทำอย่างไรโดยสิ้นเชิง
โอวหยางจวิ้นที่อยู่ข้างๆรู้ว่าไม่สามารถช่วยเหลือเครื่องบินได้แล้ว จึงกล่าวกับนักบินว่า: “เตรียมลงจอดฉุกเฉิน!” พูดจบ ก็ลุกขึ้นไปหยิบร่มชูชีพ
แต่ใครจะรู้ว่า พอเขาลุกขึ้น ก็เห็นว่าเดิมทีที่นั่งขับขี่ข้างหน้ามีรูขนาดใหญ่ ผู้ช่วยนักบินได้หายไปแล้ว แต่นักบินได้รับบาดเจ็บบริเวณหัว ติดอยู่กับที่นั่งโดยไม่ขยับแม้แต่น้อย!
โอวหยางจวิ้นรีบหันตัวกลับ แล้วไปหยิบร่มชูชีพด้วยตัวเอง
เขาเพิ่งจะหยิบได้หนึ่งอัน ส่วนที่เป็นรอยแยกของเครื่องบิน ได้ขาดออกโดยสิ้นเชิงแล้ว เวลานี้ ส่วนด้านหน้าด้านหลังของเครื่องบินได้แยกออกจากกัน และหลานเสี่ยวถาง ถึงแม้จะคาดเข็มขัดนิรภัย ก็ถูกยกขึ้นด้วยความแรง สายตาก็เห็นว่ากำลังจะตกลงไปแล้ว
เพราะโอบกอดหวันหว่านอยู่ หลานเสี่ยวถางจึงไม่สามารถคว้าอะไรไว้ได้เลย เธอใช้ขาของตนเองเหนี่ยวเกาะสิ่งของที่เหลือเพียงชิ้นเดียวบนเครื่องบิน ขณะที่กำลังเหนี่ยวรั้งเป็นครั้งสุดท้าย
“เอาหวันหว่านมาให้ฉัน!” โอวหยางจวิ้นคว้าตัวเธอเอาไว้ อุ้มหวันหว่านขึ้นมาจากในอ้อมกอดเธอ แล้วยัดร่มชูชีพให้หลานเสี่ยวถาง: “คุณกระโดดร่มลงไปก่อน!”
หลานเสี่ยวถางคว้าแขนของโอวหยางจวิ้น: “ฉันต้องการหวันหว่าน!”
“คุณคิดว่าคุณกอดเธออยู่ แล้วจะยังสามารถโดดร่มชูชีพได้งั้นเหรอ? หากคุณทำพลาด พวกคุณก็จะต้องตายทั้งสองคน!” โอวหยางจวิ้นพูดพลาง ดึงหลานเสี่ยวถางไปยังขอบเครื่องบิน จากนั้น กดมือเธอไปบนที่เปิดปิดของร่มชูชีพ: “กระโดดลงไป แล้วออกแรงเปิดมัน!”
“หวันหว่าน!” หลานเสี่ยวถางรั้งขอบเครื่องบินเอาไว้สุดชีวิต
สถานการณ์แบบนี้ เธอจะสามารถกระโดดลงไป โดยไม่พาลูกสาวไปด้วยได้อย่างไร?!
“ฉันพาเธอไปเอง! ยังมีร่มชูชีพอีก!” โอวหยางจวิ้นตะโกนเสียงดัง จากนั้น ก็ออกแรงผลักหลานเสี่ยวถางลงไปทันที
ในทันใดที่ตกลงมา ก็รู้สึกได้ถึงลมที่ปะทะเข้าสู่ร่างกาย และยังดิ่งลงใกล้พื้นผิวทะเลอย่างต่อเนื่อง หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าหัวใจแทบจะปลิวออกไปจากหน้าอก อุดกั้นอยู่ที่ลำคอ
เธอนิ่งอึ้งไปสองวินาที ในทันใดก็ตระหนักถึงอะไรบางอย่างได้ จึงกดปุ่มเปิดร่มชูชีพ
ในทันใด ร่มชูชีพก็เริ่มขยายตัว การดิ่งลงอย่างรวดเร็วของเธอก็ค่อยๆช้าลง ในที่สุด ก็เริ่มดิ่งลงอย่างช้าๆ
แต่เวลานี้ มีเศษซากของเครื่องบินผ่านไปมาด้านข้างอย่างรวดเร็ว หลานเสี่ยวถางตะโกนไปยังเครื่องบินว่า: “หวันหว่าน!”
หวันหว่านของเธอยังอยู่บนเครื่องบิน แต่เมื่อกี้โอวหยางจวิ้นบอกชัดเจนแล้วว่ายังมีร่มชูชีพอีก แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่โดดร่มลงมาล่ะ?
หลานเสี่ยวถางแทบอยากจะบินเข้าไป แต่เธอก็ลอยช้าๆอยู่เหนือทะเล ไม่สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น
เวลานี้ บนเครื่องบิน มือหนึ่งของโอวหยางจวิ้นอุ้มหวันหว่าน มือหนึ่งไปดึงร่มชูชีพอีกอันหนึ่งอย่างยากลำบาก
แต่ขณะที่เขากำลังจะหยิบร่มชูชีพออกมา ก็มีพายุทอร์นาโดจู่โจมเข้ามาอีก โอบล้อมเครื่องบินเอาไว้ ทันใดนั้น เครื่องบินก็เริ่มหมุนอย่างรวดเร็ว
เขาถูกแรงอันมหาศาลพัดลอยขึ้น ชั่วขณะหนึ่งคาดไม่ถึงว่าจะไม่สามารถคว้าสิ่งของใดๆที่รั้งตนเองไว้ได้เลย ร่างกายถูกพัดลอยขึ้น
เขาโอบหวันหว่านไว้ในอ้อมกอด จากนั้น ก็ยื่นอีกมือหนึ่ง ต้องการที่จะคว้าที่จับอะไรบางอย่าง
ร่างกายของเขากระแทกเข้ากับส่วนบนของร่างกายอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดแพร่เข้ามา เพียงแต่ ยังดีที่คว้าที่จับด้านบนเอาไว้ได้ จึงไม่ถึงกับถูกพัดม้วนออกจากเครื่องบินไป
แต่พวกเขาก็ยังคงอยู่ใจกลางพายุทอร์นาโด หมุนคว้างไม่หยุด คล้ายกับว่าถูกพายุทอร์นาโดพัดไปที่ไหนไม่รู้!
ส่วนเวลานี้ห่างจากพื้นผิวทะเลมากน้อยเท่าไร แล้วอยู่ตรงไหน โอวหยางจวิ้นไม่รู้โดยสิ้นเชิง
อีกทั้งเครื่องบินก็หมุนอย่างรวดเร็ว เขาจนปัญญาที่จะไปหยิบร่มชูชีพได้อีก ทำได้เพียงคว้าราวจับอันนั้นเอาไว้แน่นๆ ไม่เคลื่อนไหวไปไหน
ส่วนอื่นๆของเครื่องบินก็ค่อยๆเริ่มแตกแยกออก ราวกับว่า จะสามารถสลายตัวได้ทุกเมื่อ
เมื่อโอวหยางจวิ้นเห็นร่มชูชีพที่เหลือเพียงอันเดียวถูกแรงลมพัดไป หัวใจของเขาก็จมดิ่งในทันที แทบจะไม่มีความหวังใดๆอีกเลย
เวลานี้ เขาอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลง มองเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมกอด
เกิดการเคลื่อนไหวรุนแรงขนาดนี้ เธอไม่สามารถหลับได้อีกแล้ว
คิ้วน้อยๆขมวดขึ้น ดวงตาสีดำเงาเต็มไปด้วยน้ำตา จากนั้น น้ำตาใสๆไหลรินทีละหยดๆ ลื่นลงผ่านใบหน้าน้อยๆของเธอ กลิ้งลงมาที่คาง แล้วก็ถูกลมพัดปลิวหายไป
แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ของเธอ
ขณะที่เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นโดยไม่มีเสียง
จู่ๆโอวหยางจวิ้นก็รู้สึกว่าหัวใจถูกเกี่ยวพัน
ชีวิตน้อยๆที่ยังเด็กและไร้เดียงสาแบบนี้ เพิ่งจะลืมตามาดูโลกใบนี้ได้ไม่กี่วัน ก็จะถูกพรากไปแล้วเหรอ?
เขารู้สึกหายใจลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกดวงตาของหวันหว่านที่เต็มไปด้วยน้ำตามองมาแบบนั้น เขาก็รู้สึกคล้ายกับว่าตนเองได้ทำผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่