ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 368 อยากได้ยินผมเรียกคุณกับปากว่าอาสะใภ้หรือเปล่า
ขอเพียงแค่โอหยางจวิ้นอุ้มหวันหว่านเอาไว้แล้วปรากฏในที่ไหนสักที่หนึ่งผ่านในกล้องวงจรปิด ถ้าอย่างนั้นแล้ว มันจะต้องทิ้งภาพเหล่านั้นเอาไว้อย่างแน่นอน ดังนั้นแล้ว เรื่องราวทั้งหมดก็ทำเพียงแค่นำภาพถ่ายและภาพของทั้งสองคนเข้าสู่กระบวนการจำแนกบุคคล แล้วตามหาที่อยู่ของสองคน
เป็นเพราะว่ามีกองทัพเข้ามาร่วมด้วย ดังนั้นแล้วการที่จะได้ภาพมานั้นง่ายดายเป็นอย่างมาก ดังนั้นแล้ว ในยุคหลังมานี้นั้นแทบจะเป็นการวิเคราะห์ด้วยระบบคอมพิวเตอร์เป็นหลักเลย
หลายวันมานี้ หัวใจของหลานเสี่ยวถางไม่มีความผ่อนคลายวางใจลงได้เลย แต่ทว่า ในตอนที่เธอเห็นว่าใต้ดวงตาของสือมูเฉินนั้นมีรอยเขียวไม่จางหายไปโดยตลอด ด้วยเหตุนั้นเองก็เลยไม่เอ่ยพูดความกังวลใจใด ๆ ต่อหน้าสือมูเฉินอีกเลย
มีบางครั้ง เธอกลับปลอบโยนเขาแทนด้วย บอกว่าเธอรู้สึกว่าหวันหว่านนั้นจะต้องไม่เป็นอะไร ให้เขาพักผ่อนเยอะ ๆ อย่าทำให้ตนเองเหนื่อยจนล้มป่วย
เพียงแต่ มีบางครั้งที่คนกลัวอะไรไปแล้วไอ้เจ้าอะไรนั่นแหละก็มาหาเสียนี่
ร่างกายของสือมูเฉินแข็งแรงมาโดยตลอด แต่ทว่า เป็นเพราะว่าช่วงนี้พักผ่อนน้อยมากเกินไป ดังนั้นก็เลยจับไข้ไปเสียแล้ว
สองสามวันมานี้ ล้วนแล้วแต่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของออเนอร์
ในตอนเช้าหลานเสี่ยวถางอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนเขา รอให้สือมูเฉินหลับไปแล้ว เธอก็นั่งจำแนกแยกแยะใบหน้าอีกครั้งที่หน้าคอมพิวเตอร์
วันนี้ ระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวของสือมูเฉินพึ่งจะฟื้นฟูกลับคืนสู่ความเป็นปกติ หลานเสี่ยวถางรับประทานข้าวกับเขา ในตอนที่กำลังตระเตรียมการที่จะออกจากโรงพยาบาลในช่วงบ่ายนั้นเอง ก็มองเห็นว่าที่หน้าประตูก็มีเงาคุ้นเคยของคนคนหนึ่งยืนอยู่
สือเพ่ยหลินดีกว่าครั้งที่เคยพบเจอกันโดยบังเอิญในครั้งที่แล้ว เขาในตอนนี้ ร่างกายฟื้นฟูกลับมาเป็นอย่างเดิมแล้ว
เขายืนอยู่ที่หน้าประตู ก่อนจะเอ่ยทักทายสือมูเฉินครั้งหนึ่งว่าคุณอา หลังจากนั้น เขาก็เบนสายตาไปตกลงบนร่างของหลานเสี่ยวถาง “เสี่ยวถาง——”
หลานเสี่ยวถางเห็นว่าร่างกายของเขาฟื้นคืนสภาพเดิมแล้ว ดังนั้นแล้วจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “คุณทำการรักษาหายดีแล้วหรือคะ?”
สือเพ่ยหลินพยักหน้า “อืม วันนี้เป็นวันที่จะเข้ารับการตรวจเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากที่เสร็จสรรพแล้ว ก็จะสามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”
“ยินดีด้วยนะคะ” หลานเสี่ยวถางเอ่ย
“เสี่ยวถาง ขอบคุณนะครับ” สือเพ่ยหลินหันไปเอ่ยกับหลานเสี่ยวถางด้วยท่าทางจริงจัง
หลานเสี่ยวถางเอ่ยว่า “คุณเป็นหลานชายของมูเฉิน เรื่องที่ฉันช่วยคุณมันเป็นเรื่องที่สมควรทำค่ะ”
“เสี่ยวถาง ผมได้ยินมาว่าหวันหว่านหายตัวไปแล้ว?” สือเพ่ยหลินเอ่ยถามอีกครั้ง
“ค่ะ” น้ำเสียงของหลานเสี่ยวถางแข็งกระด้างขึ้นมาเล็กน้อย “แต่ว่าเธอจะต้องกลับมาแน่ ๆ”
สือเพ่ยหลินมองเห็นความห่างเหินในดวงตาของเธอ หัวใจก็มีความเจ็บปวดเล็กน้อย เธอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “พวกคุณสามารถมีเจ้าตัวน้อยกันได้ มันดีมากเลยนะครับ”
หลานเสี่ยวถางได้ยินน้ำเสียงของเขาที่ดูประหลาดไป รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักเล็กน้อย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เธอจึงไม่เอ่ยอะไร
แต่ทว่าสือเพ่ยหลินกลับมองไปทางสือมูเฉินก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “คุณอาครับ ผมมีเรื่องจะคุยกับอา”
หลานเสี่ยวถางเห็นว่าสือเพ่ยหลินนั้นแทบจะหวังไม่ให้ตนเองนั้นอยู่ข้างกายด้วยเลยก็ไม่ปาน เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว จึงหันไปเอ่ยกับสือมูเฉินครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็เดินออกไปแล้ว
สือเพ่ยหลินเดิมมาหยุดอยู่ตรงหน้าสือมูเฉิน ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นมาว่า “อาครับ ผมรู้เรื่องที่คุณย่าจากไปแล้วนะครับ”
สือมูเฉินพยักหน้า “อืม”
สือเพ่ยหลินเอ่ย “น่าเสียดายจังเลยครับที่ผมไม่สามารถตามไปร่วมงานศพได้ทันเวลา”
“ในตอนที่คนยังมีชีวิตอยู่ ดีต่อเธอนั้นมันสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด” สือมูเฉินเอ่ย “งานศพก็เป็นเพียงแค่งานที่ปลอบขวัญชนิดหนึ่งเท่านั้น”
“อาครับ หวันหว่านจะไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?” สือเพ่ยหลินมีท่าทีของคนที่อยากจะพูดอะไรแต่ทว่ากลับไม่พูดออกมาให้ได้เห็น
สือมูเฉินสบตามองเขาอย่างประเมิน “นายมีอะไรอยากจะพูดใช่ไหม?”
มือของสือเพ่ยหลินกำเข้าหากันแน่น ลูกกระเดือนขยับตัวขึ้นลงไปมาสองครั้ง เนิ่นนานราวกับครึ่งวัน เขาถึงเปิดปากเอ่ยออกมาเสียงเบาว่า “พวกเราสามารถกลับมาดีต่อกันได้ไหมครับ?”
สือมูเฉินหรี่ตาลง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาต่อ “เพ่ยหลิน นับตั้งแต่นายไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เสี่ยวถาง ฉันก็ไม่ได้มีส่วนไหนเลยที่ทำผิดต่อนาย ดังนั้นกลับมาคืนดีกันเหมือนเดิมกับนายมันหมายความว่าอย่างไร?”
“คุณอาครับ——” สือเพ่ยหลินสบตามองสือมูเฉิน จู่ ๆ ในตากลับมีหยาดใสมากขึ้นกว่าเดิมหลายส่วน “คำพูดนี้ผมยังไม่ได้พูดกับพ่อผมเลยนะครับ ผมกลัวว่าเขาจะผิดหวัง แต่ทว่า จะให้ผมไม่พูดอะไรเลย ภายในใจก็รู้สึกแย่ขึ้นมาอีกครั้งอยู่ดี”
พูดไป เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “อาครับ หลังจากนี้ผมไม่สามารถมีลูกได้แล้วล่ะครับ”
สือมูเฉินชะงักไปทันที “หมายความว่าอย่างไร?”
“หมอบอกเอาไว้ครับ เป็นเพราะว่าการรักษาของผมนั้นไม่ทันกาล บวกกับอาการป่วยมานานมากของผมด้วย ดังนั้นแล้ว ภายในร่างกายจึงไม่สามารถผลิตสเปิร์มได้อีกต่อไปแล้วครับ ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะทำเด็กหลอดแก้ว ก็ไม่สามารถมีทายาทรุ่นหลังได้อีกแล้วครับ……” สือเพ่ยหลินเอ่ยมาจนถึงตรงนี้แล้ว หลังจากนั้นก็เบนสายตาหนีไปทันที
จู่ ๆ เขาก็หวนนึกอะไรขึ้นมาได้ ในตอนแรกเริ่ม ในตอนที่เขาตัดสินใจที่จะแต่งงานกับหลานเสี่ยวถาง อีกทั้งยังเคยเอ่ยกับเธอไปแล้วด้วย หลังจากนี้พวกเขาจะต้องมีเจ้าตัวน้อยที่แข็งแรงและมีความสุขแน่ ๆ ทางที่ดีที่สุดต้องเป็นเด็กผู้ชาย อีกทั้งเพื่อที่จะเติบโตขึ้นมาแล้วจะสามารถดูแลเธอได้อีกด้วย
แต่ทว่า เรื่องราวทุกอย่างกลับตาลปัตรอย่างไม่คาดฝัน แม้กระทั่งเขาเองนั้นก็ยังไม่ทันที่จะได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดอะไรกับเธอเลย ก็……
หลังจากนั้น นิสัยของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว นับวันยิ่งห่างเหินต่อเธอมากขึ้น จนกระทั่งหลังจากที่สุดท้ายแล้วก็ดีขึ้น เขายังกลับไปมีความสัมพันธ์ด้วยกันกับเฉินจื่อโร่วอีก ก่อนจะบีบบังคับไล่เธอไป
ตอนนี้หวนกลับมาคิดขึ้นมาแล้ว บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าตัวเขาเองนั้นก่อกรรมทำเลวเอาไว้ ดังนั้นผลลัพธ์จึงออกมาเป็นเช่นนี้……
“อาครับ ทายาทรุ่นหลังของตระกูลสือหลังจากนี้ มีเพียงแค่อาคนเดียวก็พอแล้วล่ะครับ” สือเพ่ยหลินเอ่ยอีกครั้ง
อันที่จริงแล้ว เขานั้นไม่คิดอยากที่จะก้มหัวต่อหน้าสือมูเฉินเลยจริง ๆ
ตั้งแต่เล็ก เขานั้นก็ริษยาสือมูเฉินเป็นอย่างมาก
เขาอายุน้อยกว่าสือมูเฉินสามสี่ปี รูปร่างเตี้ยงกว่าสือมูเฉิน ในตอนที่วิ่งตามหลังสือมูเฉิน แล้วเรียกตามตูดเขาไปทั่วว่า ‘คุณอาครับ’
ในตอนนั้น สือมูเฉินออกไปเล่นด้านนอกก็พาเขาไปด้วย แต่ทว่าสือมูเฉินตกปลา เขานั้นกลับสามารถถือได้เพียงแค่ไม้เล็ก ๆ เท่านั้น สือมูเฉินคว้าจับผีเสื้อ เขานั้นก็ทำได้เพียงแค่ยืนมองอยู่ทางด้านข้าง
หลังจากนั้นมา สือมูเฉินก็มีเพื่อนคนอื่น ตำแหน่งของเขานั้นเริ่มถดถอยลงเรื่อย ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ระยะห่างและความรู้สึกก็ค่อย ๆ ห่างกันและเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย
ในตอนนั้น สือมูเฉินเข้าเรียนระดับชั้นสูง ร่ำเรียนดี ทุกคนรักใคร่ ใครต่อใครต่างก็ชื่นชมกันทุกคน
อีกทั้งครอบครัวของพวกเขาออกไปข้างนอกด้วยกัน คนทุกคนล้วนแล้วแต่เอ่ยชื่นชมว่าสือมูเฉินนั้นเติบโตมาอย่างหน้าตาดีมาก มองเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นเด็กเฉลียวฉลาดมากความสามารถ ในอนาคตเมื่อเติบใหญ่แล้ว จะต้องรุ่งเรืองแน่ ๆ
ดังนั้นแล้ว ความริษยานั้นเติบโตอยู่ภายในหัวใจ สือเพ่ยหลินค่อย ๆ เริ่มตัดขาดแบ่งแยกเส้นกับสือมูเฉิน อีกทั้งก็ยังคงเป็นในตอนนั้นเอง ภายในตระกูลเกิดการเปลี่ยนแปลง ขึ้น เขาสูญเสียคุณย่ากับคุณปู่ไปพร้อม ๆ กัน อีกทั้งสือมูเฉินเองก็สูญเสียพ่อแม่ไปด้วยกันทั้งคู่ด้วย
ในตอนนั้นเอง ตนเองนั้นยังคงมีบิดาที่รักใคร่ แทบจะมีข้าวของอยู่แล้วทุกสิ่งอย่าง แต่ทว่า ในทุกครั้งของภาคปีการศึกษาที่หยิบเกรดออกมา คุณครู่มักจะบอกว่า เพ่ยหลิน มูเฉินเป็นพี่ชายของเธอหรือว่าเป็นอะไร?
เธอดูสิ ทุกวิชาเรียนของมูเฉินนั้นได้ที่หนึ่งทั้งหมดเลย แต่ทว่าทำไมเธอมักจะมีจุดผิดปรากฏให้เห็นอยู่เสมอเลยล่ะ? ต้องตรวจทานให้ดี ๆ อย่าสะเพร่า ต้องร่ำเรียนเหมือนอย่างพี่ชายนะ!
ดังนั้นแล้ว สือเพ่ยหลินรู้สึกว่าถึงแม้ว่าเขาจะได้รับความรักใคร่จากในบ้านให้ตายอย่างไร แต่ทว่า กลับไม่สามารถเปรียบเทียบกับสือมูเฉินที่ไร้พ่อไร้แม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
เพียงแต่ หลังจากที่สือมูเฉินนั้นค่อย ๆ เริ่มที่จะไม่โดดเด่นแล้ว แต่ทว่า ก็ยังคงมีสายตาจากคนมากมายรอบข้างที่ยังคงจับจ้องการเปลี่ยนแปลงของเขาอยู่ดี
หลายปีมานี้ สือมูเฉินนั้นกดทับศีรษะของเขาเอาไว้อยู่ตลอด เขาคิดอยากที่จะพิสูจน์ตนเอง คิดอยากที่จะแข็งเกร็งกว่าสือมูเฉิน อยากที่จะให้ทุกคนมองเขา ไม่ใช่บอกว่าเขาเป็นน้องชายหรือว่าหลานชายของสือมูเฉิน แล้วก็ยังบอกอีกว่า เพ่ยหลิน นายเก่งว่าครูอีกนะเนี่ย
ดังนั้นแล้ว ภายใต้การสนับสนุนของบิดาตนเองอย่างสือมูชิง เขาจึงได้เป็นรองประธานบริษัทใน Times Group ทุกอย่างนั้นล้วนแล้วแต่ข้ามหัวของสือมูเฉินไปได้ทั้งหมด
ในสองสามปีนั้นเอง เขานั้นรู้สึกปลื้มใจจริง ๆ ถึงแม้ว่าตำแหน่งของตนเองที่ได้มานั้นมันจะมาจากบิดา แต่ทว่า อย่างน้อย ๆ สือมูเฉินในตอนนั้นเอง ก็ไม่มีแสงสว่างสาดส่องอะไรเลย
แต่ทว่า ในตอนที่สือมูเฉินเอา Times Group กลับไปได้แล้ว ในงานประกาศรางวัลของบริษัทเทคโนโลยีรายย่อยนั้นเอง ในตอนที่ทุก ๆ คนคาดหวังเอาไว้แล้วว่าสือมูเฉินนั้นก็คือ Jarvis สือเพ่ยหลินถึงค้นพบแล้วว่า ที่แท้ตนเองนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบมา ล้วนแล้วแต่ไม่เคยได้รับชัยชนะเลย
อีกทั้งการรักษานานกว่าครึ่งปีในออเนอร์ มันทำให้เขาสามารถกำจัดพิษไวรัสได้ทั้งหมด ก่อนที่ความทรงจำก่อนหน้านี้จะค่อย ๆ กลับมาอย่างเชื่องช้าและค้นพบว่า อันที่จริงแล้วสือมูเฉินนั้นไม่เคยมองเขาเป็นคู่ต่อสู้เลย
นี่ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าชีวิตนี้ของเขาน่าเวทนาล่ะมั้ง
ศัตรูที่ตนเองนั้นจดจำเอาไว้ตั้งแต่เด็ก อันที่จริงแล้วกลับไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตาเลยต่างหาก
มิฉะนั้นแล้ว หลังจากที่สือมูเฉินได้ตำแหน่งไปแล้ว ก็ไม่เคยกดดันอะไรเขาเลย แต่ทว่ากลับยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเขาตามหาหมอให้ด้วยใจจริงแทน อีกทั้งยังช่วยชีวิตของเขาเอาไว้จริง ๆ อีกด้วย……
แต่ทว่าในตอนที่ถูกแพทย์ประกาศว่าตนเองนั้นสูญเสียความสามารถในการให้กำเนิดไปแล้ว สือเพ่ยหลินเองก็ยอมรับแล้วว่าตนเองนั้นพ่ายแพ้แล้วจริง ๆ
ครึ่งชีวิตก่อนหน้านี้ของเขานั้นคิดอยากแต่จะพิสูจน์ตนเองมาโดยตลอด คิดอยากที่จะให้ตนเองแข็งเกร็ง แต่ทว่า ความริษยาภายในหัวใจกลับเริ่มก่อเกิดดอกไม้พิษออกมา ก่อนจะทำให้นิสัยของเขาบิดเบี้ยว แล้วดันไปทำร้ายคนที่เดิมตนเองควรจะรักษาเอาไว้ให้เป็นอย่างดีแทน
ตอนนี้ ทุกอย่างนั้นสายไปหมดแล้ว
สือเพ่ยหลินหันใบหน้าหนี ไม่อยากให้สือมูเฉินเห็นท่าทางยอมรับความพ่ายแพ้อย่างหมดสภาพของตนเอง
สือมูเฉินลุกขึ้นยืนจากบนโซฟา ก่อนจะไปหยุดยืนอยู่ที่ทางด้านข้างของสือเพ่ยหลิน แล้วมองออกไปทางนอกหน้าต่างกับเขา
เขาเอ่ยปากขึ้นมาว่า “อันที่จริงแล้วนั้นในทุก ๆ เส้นทางของคนเรา ล้วนแล้วแต่เป็นเส้นทางที่เรานั้นเลือกเองทั้งสิ้น เพ่ยหลิน นายยังอายุไม่ถึงสามสิบเลย ทุกอย่างหลังจากนี้นั้นยังอีกยาวไกล ไม่มีลูก ก็ยังสามารถพุ่งความสนใจของตนเองไปยังด้านอื่น ๆ แทนได้นะ ถ้าหากว่าชอบเด็กมากจริง ๆ ดูจากเศรษฐกิจความสามารถทางการเงินของนายแล้ว ย่อมสามารถเลี้ยงดูได้อย่างแน่นอน อนาคตของนายนั้นไม่ได้ไร้ความหวังไปเสียหมดหรอกนะ”
สือเพ่ยหลินหันศีรษะกลับมามองสือมูเฉิน ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ ก็เข้าใจแล้วว่าตนเองนั้นท้ายที่สุดแล้วพ่ายแพ้ที่ตรงไหน
เขาไม่มีน้ำใจอย่างสือมูเฉิน
เขาจิตใจคับแคบ ริษยา ตายก็ไม่ยอมรับ เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าหากไม่สบายใจก็จะต้องตายแน่ แต่ทว่า เขานั้นก็ยังคงไม่ยอมรับต่อความพ่ายแพ้อย่างชัดเจนของตนเองตรงหน้า
อีกทั้งเขาที่เป็นเช่นนี้ จะเอาอะไรไปแย่งหลานเสี่ยวถางจากสือมูเฉินกัน จะไปกอบกู้หญิงสาวที่ถูกเขาเคยทำร้ายอย่างไร้จิตใจเช่นนั้นได้อย่างไร?!
“อาครับ ผมทราบแล้วครับ” สือเพ่ยหลินสบตามองไปที่ไกล ๆ “ผมก็หวังว่าหวันหว่านจะกลับบ้านมาอย่างปลอดภัยโดยเร็ว”
“เธอจะต้องกลับมาแน่” สือมูเฉินพยักหน้า
“อาครับ หลังจากที่ผมกลับจีนแล้ว ผมคิดอยากจะทำธุรกิจของตัวเองครับ” สือเพ่ยหลินเอ่ยอีกครั้ง
“ตามใจนาย เลือกเดินทางเดินที่ตัวนายเองต้องการเถอะ สือมูเฉินเอ่ย “ใน Times Group ตำแหน่งที่เป็นของนาย ฉันก็จะเว้นเอาไว้ในนายตลอด”
“ขอบคุณครับอา” สือเพ่ยหลินพยักหน้า ก่อนจะกักเก็บความชื้นแฉะในดวงตา หลังจากนั้นก็หมุนกายจากไป “ผมไปก่อนนะครับ”
เขาเดินออกไปจากห้องพัก เดินมาถึงโถงทางเดิน ก็เห็นว่าหลานเสี่ยวถางยังคงอยู่ เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปตรงหน้าเธอ
หลานเสี่ยวถางช้อนสายตาขึ้น “พวกคุณคุยกับเสร็จแล้วหรือคะ?”
สือเพ่ยหลินพยักหน้า “อืม”
หลานเสี่ยวถางเห็นว่าเขาไม่มีอะไรจะเอ่ยแล้ว กำลังจะกลับเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย แต่ทว่าสือเพ่ยหลินกลับเรียกหยุดเธอเอาไว้เสียก่อน “เสี่ยวถาง”
“ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่าคะ?” หลานเสี่ยวถางเอ่ยถาม
ลูกกระเดือกของสือเพ่ยหลินขยับไปมา เขารู้สึกว่าหัวใจของตนเองนั้นฉีกขาดออกจากกันเล็กน้อย แม้กระทั่งลำคอยังเริ่มรู้สึกตีบตันขึ้นมาแล้ว แต่ทว่า เขานั้นก็ยังคงกลืนน้ำลายลงไปหนึ่งอึก หลังจากนั้นจึงเอ่ยคำพูดที่อยากจะเอ่ยเมื่อครู่นี้ออกมา “คุณแต่งงานกับสามีที่ดีคนหนึ่งเลยนะครับ”
หลานเสี่ยวถางชะงักนิ่งไปแล้ว ก่อนหน้านี้สือเพ่ยหลินไม่ได้มันจะทำสงครามอย่างเงียบ ๆ กับสือมูเฉินมาโดยตลอดหรือไงกัน? ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่สงครามเงียบ ๆ ก็ตาม ถึงแม้ว่าจะยอมรับความพ่ายแพ้ไปแล้ว ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นการเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วหรือไง?
สีหน้าของเธอแสดงความระมัดระวังออกมาเล็กน้อย “เมื่อครู่นี้พวกคุณคุยอะไรกันหรือคะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก” สือเพ่ยหลินเอ่ย “ผมเพียงแค่บอกกับอาว่า หวังว่าหวันหว่านจะกลับบ้านมาหาพวกคุณได้ในเร็ววันเท่านั้นเอง”
หลานเสี่ยวถางเอ่ยขึ้นอย่างงุนงงว่า “อืม ขอบคุณค่ะ ฉันเองก็หวังว่าหวันหว่านจะสามารถกลับมาได้เร็ว ๆ”
“เสี่ยวถาง” สือเพ่ยหลินสบตามองดวงตาของหลานเสี่ยวถาง จู่ ๆ ก็รู้สึกสับสนลังเลแล้วหวนนึกถึงในตอนแรกที่เขาจะสารภาพรักกับเธอ ภาพที่เธอตอบตกลง เขารู้สึกว่าหัวใจของตนเองนั้นเริ่มสับสนวุ่นวายกันมากกว่าเดิม “คุณยังอยากได้ยินผมเรียกคุณกับปากว่าอาสะใภ้อีกหรือเปล่า?”