ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 371 ที่แท้คุณก็อยู่ที่นี่
พิธีแต่งงาน พิธีการได้ดำเนินไปอย่างราบรื่น
แต่ทุกคนไม่ได้สังเกตว่า มีผู้หญิงผมยาวประบ่า นั่งอยู่ในมุมหนึ่งของสถานที่จัดงาน เธอหยิบมือถือขึ้นมา ถ่ายรูปฟู่สีเกอและคนอื่นๆอยู่ตลอด
ซูสือจิ่นได้รับบัตรเชิญทางอีเมลจากฟู่สีเกอ
ในเวลาเดียวกัน ฟู่สีเกอยังบอกในอีเมลว่า หวังให้เธอกลับมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้เฉียวโยวโยวด้วย
เพียงแต่ซูสือจิ่นรู้ดีว่า เพื่อนเจ้าบ่าวของฟู่สีเกอก็จะต้องเป็นหยานชิงเจ๋อ ถ้าเธอเป็นเพื่อนเจ้าสาว เช่นนั้นก็จะต้องเหมือนกับงานแต่งงานของสือมูเฉินก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน
ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นเธอยังคงจำได้อย่างชัดเจน ในตอนนั้นที่หยานชิงเจ๋อเต้นรำกับเธอ คิ้วของเขาไม่เคยยืดออกเลย
ภาพเหตุการณ์นั้นถึงแม้ตอนนี้เธอจะนึกถึง หัวใจก็ยังรู้สึกขมขื่นขึ้นมา และยิ่งไม่รู้ว่าในตอนนั้นตนเองยืนหยัดมุ่งมั่นอยู่ได้อย่างไร
ดังนั้นเธอจึงปฏิเสธคำเชิญในส่วนเพื่อนเจ้าสาวไป แล้วก็ไม่ได้บอกว่าตนเองจะมาร่วมงานหรือเปล่า แค่บอกว่าจะส่งของขวัญวันแต่งงานมาให้อย่างแน่นอน
เพียงแต่ ก่อนที่จะถึงงานแต่งงานของฟู่สีเกอสองวัน เธอได้ดูหนังเรื่องหนึ่ง บรรยายถึงกลุ่มเพื่อนสองสามคนที่เติบโตมาด้วยกัน
หลังจากที่ดูจบแล้ว เธอก็กลับมาคิดดูว่า ระหว่างเธอกับหยานชิงเจ๋อเกิดความสัมพันธ์ที่ไม่น่าพึงพอใจขึ้น และเธอก็รบกวนหยานชิงเจ๋อมาหลายปี แต่ฟู่สีเกอที่ปกติแล้วจะชอบเหน็บแนมเธอ กลับเป็นห่วงเป็นไยเธอมาตลอด
ฉะนั้นงานแต่งงานของฟู่สีเกอ เธอควรที่จะมาเข้าร่วม
ด้วยเหตุนี้ ซูสือจิ่นจึงซื้อตั๋วเครื่องบินในวันถัดไป เพื่อบินกลับมา และวันนี้ก็ยังคงเดินทางมาจากสนามบินโดยตรง
เพราะว่าเธอมาสาย แขกหลายคนก็มาถึงกันหมดแล้ว เธอหยิบบัตรเชิญที่ประทับตราแล้วเดินไปนั่งเงียบๆที่มุมๆหนึ่ง โดยไม่มีใครสังเกตเห็นเธอ
ก็ถูกที่ตอนนี้เธอแต่งตัวเปลี่ยนไปมาก เธอไม่ได้สวมเสื้อผ้าที่ดูเท่สง่าแบบนั้นอีกแล้ว แต่เธอไว้ผมยาว ใส่ชุดกระโปรงแบบผู้หญิง ถือกระเป๋าลวดลายสวยงามหนึ่งใบ
เวลานี้เธอเห็นฉากที่คล้ายกับงานแต่งงานของสือมูเฉินในตอนนั้น ก็รู้สึกประทับใจขึ้นมา ทุกๆคนแต่งงานกันหมดแล้ว เช่นนั้นในอนาคต เธอจะได้อยู่ด้วยกันกับคนแบบไหนกันนะ?
หรือว่า จะไม่แต่งงานแล้วอยู่อย่างนี้ต่อไปเหรอ?
บนเวที เจ้าบ่าวเจ้าสาวทั้งสองคู่แลกแหวนกันแล้ว หลังจากนั้นบรรยากาศในงานก็คึกคักขึ้น เพราะพิธีกรขอให้คู่บ่าวสาวทั้งสองคู่จูบกันแบบเฟรนช์คิส
ไม่ว่าจะจูบดูดดื่มแบบไหน ฟู่สีเกอก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี เขาคว้าเอวของเฉียวโยวโยวไว้ จากนั้นก็ก้มลงไปจูบเธอ ท่ามกางเสียงเชียร์ของทุกคน
แต่หันจื่ออี้ มองไปยังฮั่วชิงชิงที่อยู่ตรงหน้า ก็รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย
เขาเคยจูบกับฮั่วชิงชิง แต่ทุกๆครั้งก็ไม่ได้จริงจังอะไร มีครั้งเดียวเท่านั้นที่เกือบจะเกินเลยไป คือตอนก่อนหน้านี้ที่อยู่กับพวกฟู่สีเกอ เขาคิดว่าฮั่วชิงชิงเป็นหลานเสี่ยวถาง
แต่เวลานี้ บนนิ้วนางของพวกเขาสวมแหวนแต่งงานแล้ว แสดงถึงความสัมพันธ์สามีภรรยาของพวกเขา เขา หันจื่ออี้ ไม่ได้โสดแล้ว เขามีภรรยาแล้ว คือฮั่วชิงชิงที่อยู่ตรงหน้านี้
อาจเป็นเพราะบรรยากาศโดยรอบคึกคักเกินไป และฟู่สีเกอกับเฉียวโยวโยวที่อยู่ข้างๆก็จูบกันแล้ว ฉะนั้นใบหน้าของฮั่วชิงชิงจึงแดงก่ำ และไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
หันจื่ออี้ตระหนักได้ในทันทีว่า ในวันนั้น เกรงว่าฮั่วชิงชิงจะคิดว่าตนเองแค่ฝันเหมือนจริงแล้วก็จบไป
เธอไม่รู้ว่า เขาก็เคยจูบแบบบ้าคลั่งอย่างนั้นกับเธอมาแล้ว
ไม่รู้ว่าทำไม พอนึกถึงวันนั้นแล้ว หัวใจของเขาก็มีความลึกซึ้งและรู้สึกซับซ้อนขึ้นมา เขาค่อยๆเข้าไปใกล้ๆฮั่วชิงชิง ใช้มือประคองใบหน้าของเธอ หลังจากนั้นก็ก้มลงไป
ที่ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงความรู้สึกยืดหยุ่นนุ่มนวล เพราะระยะห่างที่เกือบเป็นศูนย์ ดังนั้นหันจื่ออี้จึงสัมผัสได้ถึง กลิ่นหอมสดชื่นของหญิงสาวที่ปลายจมูก มันทำให้เขานึกถึงทุ่งหญ้าสีเขียวที่ทำให้คนผ่อนคลายสบายใจอีกครั้ง
ลูกกระเดือกของเขากลิ้งขึ้นลงสองที จากนั้นก็จูบลงไป
หันจื่ออี้รู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าร่างกายของฮั่วชิงชิงสั่นเทาเล็กน้อย
เขากลัวว่าเธอจะล้ม จึงใช้มืออีกข้างหนึ่งโอบเอวเธอไว้ นำเธอมากอดแน่นๆไว้ในอ้อมแขน ค่อยๆออกแรงทีละนิดๆ
ความรู้สึกนุ่มนวลบนริมฝีปากชัดเจนยิ่งขึ้น วันนี้ไม่ใช่แค่สัมผัสแล้วผละออก และยิ่งไม่ได้เหมือนสถานการณ์ที่ชวนให้เคลิบเคลิ้มในวันนั้น หันจื่ออี้รู้ดีว่า ผู้หญิงในอ้อมกอดคนนี้คือใคร
เดิมทีเขาคิดว่าตนเองจะเป็นเหมือนกับเมื่อก่อน ที่พยายามเล็กน้อยแล้วก็หยุดลง แต่หลังจากที่ตั้งใจจูบลงไป ก็สัมผัสได้ถึงรสชาติหวานละมุนลิ้น
ผู้หญิงในอ้อมกอดเพียงแค่ถูกเขาจูบแบบนี้ ก็อ่อนปวกเปียกไปหมด ร่างกายของเธอไร้เรี่ยวแรง จุดศูนย์ถ่วงเคลื่อนเข้าหาร่างกายของเขา
ชั่วขณะ ความรู้สึกสัมผัสอันนุ่มนวลบนร่างกาย กระตุ้นเลือดลมและเส้นประสาทอย่างต่อเนื่อง หันจื่ออี้รู้สึกรุ่มร้อน และว่างเปล่าเล็กน้อย
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่พอใจกับความพยายามผิวเผินนี้ จึงกอดฮั่วชิงชิงไว้แน่น เปิดปากของเธอออก แล้วจูบลงไปอย่างลึกซึ้ง
ฮั่วชิงชิงตัวสั่นไปหมด ชั่วขณะหนึ่งก็แทบจะไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ลมหายใจของเธอเต็มไปด้วยกลิ่นของหันจื่ออี้ ทั้งรู้สึกแปลกๆและรู้สึกคุ้นเคย แค่บุกรุกโลกของเธอเข้าไปไม่กี่วินาที ก็เหมือนแย่งชิงพละกำลังของเธอไปหมดแล้ว
เวลานี้เธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แล้วก็ลืมไปเลยว่าตนเองอยู่ที่ไหน ได้แต่เอนตัวพิงหน้าอกของหันจื่ออี้ แล้วรับจูบอันลึกซึ้งนั้นของเขา
ไม่รู้ว่าเป็นเวลานานแค่ไหน หันจื่ออี้จึงค่อยๆผละออกจากเธอ
เขาก้มไปมองเธอ ใบหน้าของเธอแดงอย่างมาก ริมฝีปากบวมเจ่อเล็กน้อย ดูแวววาวระยิบระยับ และดวงตาที่มองมาที่เขา มีประกายเล็กน้อย
เขาก้มหน้าลงอีกครั้ง สัมผัสที่ริมฝีปากของเธอ แล้วกระซิบข้างหูของเธอว่า: “ชิงชิง คุณหวานจังเลย”
ฮั่วชิงชิงรู้สึกว่าหัวใจเต้นรัว เลือดไหลพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที กระทั่งรู้สึกวิงเวียนไปชั่วขณะ
เธอไม่กล้ามองหันจื่ออี้อีก รู้สึกเหมือนว่านี่เพิ่งเป็นจูบแรกของพวกเขา เพราะเธอรู้สึกว่า ตอนที่หันจื่ออี้จูบเธอเมื่อกี้นี้ คือรับรู้ได้ว่าเธอคือฮั่วชิงชิงจริงๆ
เวลานี้ พอดีฟู่สีเกอที่อยู่ข้างๆก็เพิ่งจบสิ้นการจูบอันเร่าร้อนไป ในทันใด ภายในงานก็มีเสียงร้องเชียร์ขึ้นมา
บนจอขนาดใหญ่ ก็เริ่มถ่ายทอดภาพของคู่ชีวิตคู่ใหม่สองคู่ หนุ่มหล่อสาวสวย ช่างดูดีเป็นที่สุด
และสองข้างของเวที วงดนตรีก็เริ่มบรรเลงเพลง พร้อมเริ่มการเต้นรำครั้งแรก
เวลานี้ หยานชิงเจ๋อเห็นแสงไฟที่หมุนไปมาบนเวที ชั่วพริบตา ก็นึกถึงฉากที่เต้นรำด้วยกันกับซูสือจิ่นในตอนนั้น
เขารู้สึกจุกในลำคอเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็หมดความสนใจทั้งหมด พอดีหลานเสี่ยวถางเพิ่งจะคลอดลูกมาได้หนึ่งเดือนจึงไม่อยากไปเต้นรำ ดังนั้น จึงเดินลงมาพร้อมกันกับหลานเสี่ยวถาง
ในมุมของสถานที่งาน ซูสือจิ่นเห็นหยานชิงเจ๋อลงมา ด้วยเหตุนี้ จึงก้มหน้าลง ไม่อยากให้เขาเห็นตนเอง
เพียงแต่ เหมือนว่าเธอจะเป็นกังวลจนเกินไป อันที่จริงเขาไม่ได้มองไปที่ไหนเลย เพียงแค่เดินมุ่งตรงออกนอกหอประชุมไป
ทำไมเขาถึงไปแล้วล่ะ? ซูสือจิ่นสงสัยเล็กน้อย เพียงแต่ เธอไม่ได้เคลื่อนไหว แต่นั่งนิ่งๆอยู่กับที่ สัมผัสบรรยากาศในงานต่อไป
ดีจริงๆ พวกเขาสามสี่คน ทุกคนต่างเจอรักแท้แล้ว อีกเดี๋ยวงานแต่งของฟู่สีเกอจบลง เธอก็ควรจะกลับไปได้แล้ว
ในเวลาสองสามเดือนในต่างประเทศ เว็บไซต์ของเธอก็มีชื่อเสียงขึ้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้ ช่วงเวลาในทุกวันของเธอ แทบจะใช้ไปกับการออกแบบโปรแกรม เวลาที่จะนึกถึงเรื่องในอดีต ก็น้อยลงมาก
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูสือจิ่นเห็นคนจำนวนไม่น้อยลุกขึ้นไปเต้นรำ บรรดาแขกเหรื่อก็กำลังพูดคุยกัน ตัวเธอเองจะนั่งอยู่ตรงนี้คนเดียว ก็ดูเหมือนว่าจะเด่นเกินไป
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงลุกขึ้นยืน เตรียมจะออกไป
เธอมองฟู่สีเกออีกครั้ง จากนั้น ก็กล่าวแบบไม่มีเสียงกับเขาว่าขอให้มีความสุขในวันแต่งงาน แล้วก็หันเดินจากไป
อากาศในปลายฤดูร้อน ตอนเช้ายังคงร้อนอยู่เล็กน้อย ซูสือจิ่นเดินไปบนสนามหญ้า หยิบมือถือขึ้นมา วางแผนที่จะเรียกรถกลับบ้าน เพื่อทานข้าวกับพ่อแล้วค่อยไป
เพียงแต่ เมื่อเธอเดินไปสุดสนามหญ้า จู่ๆก็เห็นภาพด้านหลังที่คุ้นเคยภาพหนึ่ง
หยานชิงเจ๋อนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวทางด้านหน้า ศีรษะพิงบนพนักเก้าอี้ ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
เขากำลังหลับตาพักผ่อนอยู่เหรอ?
ซูสือจิ่นนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย รู้สึกอยากรู้อยากเห็น
เวลานี้ พอดีมีเด็กสองสามคนเดินเข้าไป มีคนหนึ่งเดินไปข้างๆหยานชิงเจ๋อ จากนั้น ก็ยื่นมือไปยังมุมหนึ่งของเก้าอี้ หลังจากนั้น ซูสือจิ่นก็เห็นเขาหยิบกระเป๋าสตางค์ของหยานชิงเจ๋อ
“ขโมย!” ซูสือจิ่นตะโกนไปยังทางด้านนั้น
หยานชิงเจ๋อไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่เด็กเหล่านั้นถูกทำให้ตกใจ จากนั้น ก็โยนกระเป๋าสตางค์ของหยานชิงเจ๋อทิ้งแล้ววิ่งหายไป
ซูสือจิ่นเห็นกระเป๋าสตางค์ของหยานชิงเจ๋อถูกโยนไว้บนพื้น แต่เขาก็ยังไม่ตื่น ลังเลใจเล็กน้อย แล้วจึงเดินเข้าไป เก็บกระเป๋าสตางค์ของเขาขึ้นมา
ตอนที่กระเป๋าสตางค์ถูกโยนทิ้ง บางทีกระเป๋าอาจจะเปิดออก ดังนั้น เมื่อซูสือจิ่นเก็บขึ้นมาแล้ว จึงมองดูบัตรประชาชน บัตรเอทีเอ็ม แล้วก็เงินปึกหนึ่งของหยานชิงเจ๋อที่อยู่ด้านในเล็กน้อย
เธอกำลังจะปิดกระเป๋า ก็เห็นด้านในมีรูปถ่ายรูปหนึ่ง คาดไม่ถึงว่า จะเป็นรูปครั้งหนึ่งตอนที่พวกเขาไปห้างสรรพสินค้า และเธอดึงเขาเพื่อไปถ่ายรูป!
ในภาพ พวกเขาหน้าชิดติดกัน ดวงตาของเธอเป็นประกาย กำลังมองเขาที่อยู่ในหน้าจอ แล้วยิ้มมุมปาก
และหยานชิงเจ๋อ คล้ายกับว่ากำลังมองเธอ ในดวงตามีแสงจางๆ มุมปากมีรอยยิ้มเล็กน้อย
ภาพที่ดูเข้ากันได้ดีนี้ ทำให้เธอรู้สึกได้ว่า พวกเขารักกัน
เพียงแต่ ถ้าไม่มีคำพูดทำร้ายจิตใจเหล่านั้นที่เขาพูดออกมาจากปากตัวเอง ถ้าไม่มีการบรรยายเรื่องก่อนหน้านี้ของเขาที่เธอไม่อาจทนได้แบบนั้น ถ้าไม่มีรูปของเจียงซีหยู่ แล้วก็ไม่เคยมีประโยคนั้นที่เขาเคยพูดว่า ถ้าเธอชอบเขา เขาจะรู้สึกว่าเป็นการมีอะไรกันกับพี่น้องร่วมสายเลือด บางที เธอก็อาจจะจินตนาการได้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขามีความรักต่อกันใช่ไหม?
เพียงแต่ ทำไมเขาถึงยังเก็บรูปนี้เอาไว้อีกนะ?
เพราะเคยชินเหรอ? หรือว่าไม่เคยสนใจ ดังนั้นจึงไม่รับรู้ จะมีหรือไม่มี ก็เหมือนกัน
ซูสือจิ่นนำกระเป๋าสตางค์วางข้างๆหยานชิงเจ๋อ เดิมทีเธอก็จะเดินจากไป แต่นึกถึงเด็กกลุ่มนั้นเมื่อกี้นี้ ก็ลังเลใจเล็กน้อย
ถึงแม้เงินในกระเป๋าสตางค์ของหยานของเจ๋อจะมีไม่น้อย แต่เมื่อหายแล้วก็หายไป แต่บัตรประชาชนและบัตรเอทีเอ็มของเขา ถ้าหายก็คงยุ่งยากอย่างมาก โดยเฉพาะบัตรประชาชน ถ้าหายไปก็สามารถถูกคนเอาไปทำเรื่องที่ไม่ดีได้……
คิดถึงตรงนี้แล้ว ซูสือจิ่นจึงไม่ได้เดินไปไหน เธอควรจะรอให้เขาตื่นขึ้นมา หรือว่า คิดหาวิธีแจ้งสือมูเฉินให้พวกเขาออกมา มีคนมาปกป้องเขาก็น่าจะพอแล้ว?
ซูสือจิ่นยืนอยู่กับที่ครู่หนึ่ง อาจเป็นเพราะเจ็ตแลกปรับตัวไม่ทัน บวกกับนั่งเครื่องบินมาเป็นเวลานานจึงเหนื่อย เธอจึงรู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย
แต่เวลานี้ ชัดเจนว่าหยานชิงเจ๋อหลับสนิท เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆเขา เขาก็น่าจะไม่รู้หรอกมั้ง? เธอพักผ่อนสักหน่อย รอได้เวลาพอสมควรแล้ว ค่อยคิดหาวิธีให้สือมูเฉินพวกเขาออกมาก็พอ
ซูสือจิ่นนั่งลงข้างๆหยานชิงเจ๋อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรอบข้างที่เงียบสงบอย่างมากหรือไม่ เธอถึงได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจของชิงเจ๋อ ที่ยาวและเสมอกัน
ทำไม เขาง่วงขนาดนี้เลยเหรอ?