ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 378 ถูกเทรนให้เป็นคุณพ่อ
สือมูเฉินคิดไม่ถึง สามฝ่ายร่วมมือกัน ปรากฏว่าใช้เวลากว่าสองเดือนยังไม่ได้ข่าวใดๆของโอหยางจวิ้นและหวันหว่าน
เขาที่นิ่งมาตลอด ก็เริ่มกระสับกระส่ายขึ้นช้าๆ
จนถึงวันนี้ หลานเสี่ยวถางได้รับสายหนึ่ง ปรากฏว่าเป็นมั่วหลิงชวนโทรมา “ผู้พิทักษ์ คุณเดาซิผมอยู่DR เจออะไร?”
หลานเสี่ยวถางไม่มีอารมณ์คุยกับมั่วหลิงชวน เพียงแค่พูดตามน้ำไป “อะไร?”
น้ำเสียงของมั่วหลิงชวนยังคงมีความขี้เล่นเหมือนเดิม “ผมเพิ่งก๊อบปี้ซอฟต์แวร์ให้พวกเขา เจอคนที่คุณอยากค้นเจอสำเร็จ…”
เกาะเล็กหนึ่งที่ไร้ชื่อ ต้นไม้เขียวชอุ่ม
อยู่ท่ามกลางสีเขียว มีบ้านต้นไม้ที่ไม่สะดุดตาหลายหลัง มี4-5ครอบครัวอาศัยอยู่
มองจากที่ไกลๆ ตรงนั้นเป็นเพียงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มองไม่เห็นร่องรอยการใช้ดำรงชีวิตของคน
ตอนโอหยางจวิ้นตื่นขึ้น ก็เป็นกลางคืนของวันนั้นแล้ว
กลางวัน เขาอุ้มหวันหว่านเพิ่งตกลงน้ำได้ไม่นาน ก็เจอเรือเล็กลำหนึ่ง แล้วถูกคนช่วยมาไว้บนเกาะเล็กที่ตัดขาดจากโลกภายนอก
เพราะหวันหว่านถูกเขาปกป้องมาตลอด แม้ตอนที่ตกน้ำ เขาก็กดเธอไว้ในอ้อมกอด บีบจมูกไว้แล้วโผล่ขึ้นผิวน้ำอย่างรวดเร็ว ดังนั้น เธอไม่สำลักน้ำเลย เพียงแค่ถูกอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปฉับพลันทำให้ร้องไห้ออกมา
ชาวประมงสวมเปลือกไม้ช่วยพวกเขาขึ้นเกาะ โอหยางจวิ้นเหนื่อยล้าจริงๆ หลังจากค้นหาหญิงสาวที่เพิ่งคลอดลูกบนเกาะป้อนนมให้หวันหว่านแล้ว ในที่สุดร่างกายก็ฝืนไม่ไหวหมดสติไป
ตอนนี้เขาลืมตาขึ้น ลุกขึ้นนั่งจากพื้นหญ้า
หวันหว่านอยู่ข้างตัวเขา หลับตานอนหลับปุ๋ย
เสื้อผ้าของเธอเปียก ตอนนี้บนตัว มีใบไม้หญ้าแห้งคลุมอยู่ แก้มก็มีหญ้าแห้งติด ดูแล้วเหมือนตุ๊กตาฟางข้าว
โอหยางจวิ้นถอนหายใจยาว พวกเขาถือว่าปลอดภัยชั่วคราว
เพียงแต่ ตอนถูกแรงพายุทอร์นาโด เขาไหล่หลุดไปข้างหนึ่ง ตอนนี้แม้ว่าตัวเองจะต่อติด ก็ยังบวมและปวดจนยกไม่ขึ้น
โอหยางจวิ้นก้มมองหวันหว่าน ตอนกำลังจะลุกไปดูเสื้อผ้าของเธอแห้งหรือยัง จู่ ๆก็ได้กลิ่นเหม็น
ในใจเขาเดาได้ เข้าใกล้ไปมอง เป็นอย่างที่คิด เด็กนี่อึ…
เขาเคยรับราชการทหาร เคยขับเรือยอชต์ ถึงขนาดขับเฮลิคอปเตอร์ แต่กลับไม่เคยดูแลทารกน้อยที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้
ในช่วงเวลาสั้นๆโอหยางจวิ้นไม่รู้ควรทำยังไง ทำได้แค่อุ้มหวันหว่านขึ้นด้วยมือข้างเดียว
เป็นอย่างที่คิด ในหญ้าแห้ง มีอึสีทองเป็นก้อน แอบเหลวนิดๆ
เธอท้องเสียหรือเปล่า? จะเป็นอะไรไหม?
โอหยางจวิ้นร้อนใจหน่อยๆ อุ้มหวันหว่านที่ยังหลับปุ๋ยอยู่ออกจากบ้านต้นไม้
ด้านนอก มีชาวประมงกำลังจัดการปลาที่หามาได้เมื่อกลางวัน โอหยางจวิ้นเดินเข้าไป ชี้ไปที่ก้นของหวันหว่าน อยากขอกระดาษจากคนเหล่านั้น
เพียงแต่ บนเกาะไหนเลยจะมีกระดาษ ชาวประมงเด็ดใบไม้ใหญ่มาหลายใบจากต้นไม้หนึ่งข้างตัว ยื่นให้โอหยางจวิ้น
โอหยางจวิ้นก้มมองหวันหว่าน แล้วมองใบไม้ในมือ จนใจใช้มือที่แขนเพิ่งต่อติดอย่างยากลำบาก ช่วยหวันหว่านเช็ดก้นด้วยมือที่สั่น
เด็กสาวตัวน้อยเหมือนถูกการเคลื่อนไหวทำให้ตื่น แล้วขยับตัว ต่อมา…
โอหยางจวิ้นรู้สึกฝ่ามือมีของร้อนๆไหลมา ตอนรู้ว่าเป็นฉี่ของหวันหว่าน เขาเกือบโยนเธอออกจากมือไป
แต่ว่า เขาคิดได้ทันเลยไม่ได้ทำแบบนั้น
เพราะฉะนั้น เธอฉี่เต็มมือเขา ยังทำเอาเสื้อผ้าส่วนหน้าท้องเขาเปียกเล็กน้อย
แม้ว่าฉี่ของเด็กไม่เหม็น แต่โอหยางจวิ้นก็ยังเกือบสติแตก
เขาเงยหน้ามองชาวประมงคนนั้น แต่อีกฝ่ายเหมือนเห็นเป็นเรื่องปกติ ไม่สนใจใดๆ จัดการปลาต่อไป…
ที่นี่เหมือนห่างจากริมเกาะไม่ไกล โอหยางจวิ้นอุ้มหวันหว่าน มุ่งหน้าไปทางริมเกาะ
เสียงคลื่นทะเลค่อยๆชัดขึ้น เขามาถึงชายฝั่ง ตักน้ำทะเลมานิดหน่อย ล้างมือแล้วช่วยหวันหว่านล้างก้น แล้วนั่งลงริมทะเล อุ้มหวันหว่านเหม่อมองท้องฟ้า
ตอนตกลงมา มือถือและของต่างๆของเขาหล่นหายไปนานแล้ว หากไม่ใช่ว่าสวมเข็มขัดหนัง ไม่แน่กางเกงก็คงถูกลมกระชากออกไปแล้ว
ตอนนี้บนตัวเขาไม่มีข้าวของที่ทันสมัยเลย ไม่มีวิธีการติดต่อทางบ้านได้เลย ทำได้แค่รอคอยอยู่แบบนี้ รอพวกเขามาเจอตัวเขา
ลมกลางคืนมีความเย็นสบาย ค่อนข้างเย็นสบาย โอหยางจวิ้นก้มมองทารกน้อยในอ้อมกอด คิดได้ว่าเธอไม่ได้สวมอะไร โดนลมถ้าเป็นหวัด…
เขาคิดแล้วคิดอีก ถอดเสื้อยืดบนตัวอย่างยากลำบาก ห่อหวันหว่านไว้
มือของเธอขยับอย่างไม่รู้ตัว แล้วตาโตๆก็มองมาทางเขาตลอดเวลา ก็ไม่รู้ว่ามองเขาอยู่ หรือว่าเหม่อ
แสงจันทร์ที่เงียบสงบ ส่องแสงอ่อนๆมาบนแก้มเด็กสาวตัวน้อย รอบข้างก็เต็มไปด้วยแสงจันทร์
โอหยางจวิ้นมองหวันหว่านในอ้อมกอด แล้วเปิดปาก “คิดถึงแม่หนูไหม?”
เห็นชัดว่าหวันหว่านไม่เข้าใจ มองเขาตาแป๋วอยู่เหมือนเดิม
คลื่นทะเลซัด โอหยางจวิ้นถอนหายใจ “หนูว่า พวกเขาคงไม่คิดว่าพวกเราตายแล้วนะ?”
“เกาะนี่เล็กและยังธรรมชาติขนาดนี้ พวกเขาจะหาเจอไหม?”
“หนูก็คือว่าเป็นเด็กที่มีประสบการณ์ ยากที่100ปีจะมีพายุทอร์นาโดหนูก็ประสบเข้าแล้ว หนูว่า อนาคตหนูยังจะต้องเจออะไร…”
เขาพูดเองเออเองอยู่ที่นี่คนเดียว ตอนก้มหน้าไปมองหวันหว่านก็หลับไปอีกแล้ว เพียงแต่ บนใบหน้าเล็กมีคราบน้ำตาที่ยังไม่แห้ง ปากเล็กยังขมุบขมิบอยู่ ท่าทางเหมือนหิวแล้ว
โอหยางจวิ้นจนปัญญา ทำได้แค่อุ้มเธอขึ้น แล้วเดินไปที่บ้านหญิงสาวที่เพิ่งคลอดลูกไป
พูดคนละภาษา เขายื่นหวันหว่านด้วยความซาบซึ้ง เห็นหญิงสาวป้อนนมอย่างเปิดเผยต่อหน้าตัวเอง อดคิดไม่ได้ทุกครั้งตอนหลานเสี่ยวถางป้อนหวันหว่าน ก็ให้เขาหลบฉากไป
โอหยางจวิ้นไม่เคยมีสักครั้ง หวังให้หลานเสี่ยวถางปรากฏตัวขึ้นขนาดนี้
แต่หลายวันต่อมา ที่เกาะเล็กก็ฝนตกตลอด
บนเกาะไม่มีร่ม คนพื้นเมืองตากฝนออกบ้าน เขากลัวหวันหว่านเปียกแล้วจะเป็นหวัด ทุกครั้งตัวเองไปชายฝั่งรอเครื่องบินช่วยเหลือ รออยู่ไม่นาน ก็กลัวคนพื้นเมืองวิถีชีวิตบ้านป่าทำอะไรหวันหว่าน ทำได้แค่รีบกลับไป
ใช้ชีวิตแบบนี้มา 1 เดือน หวันหว่านดื่มนมของหญิงสาวคนนั้น โตขึ้นไม่น้อย แต่โอหยางจวิ้นนับวันยิ่งสิ้นหวัง
ที่นี่ไม่มีอุปกรณ์สื่อสาร แม้แต่เรือหาปลาก็พังจนพังกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
หากเขาแค่คนเดียว คงนั่งเรือออกไปนานแล้ว แต่มีหวันหว่านอยู่ เขากลัวเจอพายุไม่กล้าเสี่ยง
แต่ผิวของเด็กสาวตัวน้อยนับวันยิ่งดีขึ้น
สีแดงนิดๆก่อนหน้านี้เลือนหายไป ผิวตอนนี้ดูแล้วนับวันยิ่งขาวและละเอียด
ดวงตาก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นตาสองชั้น แม้ว่ายังไม่ชัดมาก แต่เริ่มเห็นเค้าโครงแล้ว
เวลานอนของเธอสั้นลงนิดหน่อย เวลาตื่นเพิ่งขึ้น มีบางครั้งยังให้เขาอุ้มและเล่นกับเธอ
แขนของโอหยางจวิ้นหายสนิทแล้ว ตอนกลางวัน เขาพาหวันหว่านเดินเล่นบนเกาะ เขาหิวแล้วก็กินปลาแห้งนิดหน่อย เธอหิวแล้วเขาก็พาเธอไปหาแม่นม
ขนาดที่ตอนนี้เขาเหมือนรู้เวลา รู้ว่าเด็กสาวตัวน้อยจะฉี่นานแค่ไหน ใช้เวลาอึเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นจำนวนครั้งที่เลอะตัวก็ค่อยๆน้อยลงไป
แต่ เวลาเด็กอึไม่เป็นเวลา มีหลายครั้งโอหยางจวิ้นได้กลิ่นเหม็นก่อน แล้วคิดได้อุ้มหวันหว่านขึ้น พอดีกับที่เธอเริ่มอึ
ผ่านไปอีก 1 เดือน โอหยางจวิ้นนอกจากเลี้ยงเด็ก อะไรก็ไม่ทำ เขารู้สึกตัวเองกลายเป็นคุณพ่อจริงๆแล้ว
เพียงแต่ วันนี้ ในที่สุดเขาก็เจอลำหนึ่ง
เมื่อก่อนโอหยางจวิ้นเคยเห็นสัญลักษณ์ของเรือ ตอนนี้มองจากไกลๆ ก็จำได้นี่เป็นเรือสินค้า
เขาใช้ดอกไม้สีสดบนเกาะทำเป็นรูปขอความช่วยเหลือ แล้วจุดพลุ ในที่สุดเรือลำนั้นก็เห็นเขา ส่งเรือบดมาถึงชายฝั่ง
ที่โชคดีคือ บนเรือมีคนได้ภาษาอังกฤษ โอหยางจวิ้นอธิบายว่าตัวเองกับหวันหว่านเป็นพ่อลูกกัน ออกทะเลเจอภัย ถูกพัดมาที่นี่
เพราะไม่รู้ตัวตนของคนบนเรือ เขาก็ไม่กล้าเสี่ยงบอกสถานะของตัวเอง เลี่ยงการเกิดภัย
ดังนั้น เรือบดพาเขากับหวันหว่าน ออกจากเกาะเล็กมาถึงบนเรือใหญ่
คนบนเรือใหญ่เห็นเขาพาเด็กมา เห็นชัดว่าไม่มีภัยคุกคาม ดังนั้นจัดห้องเล็กหนึ่งให้ทั้งสองคน
เพราะงั้น หลังจากนอนบนพื้นหญ้าสองเดือน เป็นครั้งแรกที่โอหยางจวิ้นและหวันหว่านนอนบนเตียง
หวันหว่านก็มีผ้าแห้งสะอาดผืนหนึ่งห่อตัวเองไว้ นอนข้างตัวโอหยางจวิ้นอย่างเด็กดี
ตอนบ่าย หวันหว่านหิวแล้ว โอหยางจวิ้นขอนมวัว เป็นไปไม่ได้ที่บนเรือจะมีขวดนม เขาทำได้แค่ขอช้อนเล็กมาหนึ่งใบ แล้วตักนมในถ้วยป้อนเข้าปากหวันหว่านทีละช้อน
เด็กนี่บางทีรู้สึกว่าไม่ใช่จุกนม มีทีท่าไม่ยอมนิดๆ น้ำตาเม็ดใหญ่หล่นลงมา แต่ท้องหิวไม่ไหว สุดท้ายก็กินนมวัวครึ่งถ้วยเข้าไปในท้อง
เป็นไปไม่ได้ที่เรือจะเปลี่ยนแปลงการเดินเรือเพราะโอหยางจวิ้น เพราะฉะนั้นหลังขับมาสิบกว่าวัน ในที่สุดก็เข้าฝั่ง
บนตัวโอหยางจวิ้นไม่มีเงินสักบาท ทำได้แค่หากัปตันยืมเงินมาสิบกว่าเหรียญ แล้วอุ้มหวันหว่านแก้ไขปัญหาหิวนมของเธอ แล้วหาโรงแรมขนาดเล็กพัก โทรหาตระกูลเพอร์เซลล์
และในเวลานั้นเอง ภาพพวกเขาปรากฏอยู่ตรงท่าเรือเล็กชายฝั่งตะวันตกของอเมริกา ถูกฝ่ายทหารดักจับสัญญาณได้ ส่งไปถึงDR ในที่สุดสือมูเฉินก็ได้ข่าวของหวันหว่านที่หายตัวไป 2 เดือนกว่า
ดังนั้น ออเนอร์ ตระกูลเพอร์เซลล์ AT ทั้งสามฝั่งเคลื่อนไหวพร้อมกัน ทยอยตามาถึงท่าเรือเล็กทางตะวันตก
สือมูเฉินมาถึงก่อน
เพราะทางDRตอนทั้งสองคนปรากฎตัวบนท่าเรือ ก็ได้รับภาพแล้ว
แม้ว่าข้อมูลจำนวนมาก คอมพิวเตอร์ต้องใช้เวลาในการคำนวณ แต่หลังจากทั้งสองคนมาถึงท่าเรือได้10กว่านาที สือมูเฉินก็ใช้ซอฟต์แวร์ของมั่วหลิงชวน ได้ข้อมูลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่แม่นยำ
เพราะก่อนหน้านี้เกิดเหตุ ดังนั้นเฮลิคอปเตอร์ของATเตรียมพร้อมตลอดเวลา ตอนนี้สือมูเฉินตรงไปรับหลานเสี่ยวถาง นั่งเครื่องแล้วบินไปที่ท่าเรือเล็ก
เวลาเดียวกัน หลานจื่อเฉินก็บินขึ้นจากทางออเนอร์ ขับเครื่องบินด้วยตัวเอง และพาเย่เหลียนอีและคนอื่นๆ รีบตามไป
ตอนสือมูเฉินและหลานเสี่ยวถางถึงโรงแรม ก็เป็นเวลา 4 ทุ่มของที่นั่นแล้ว
ตอนนี้ โอหยางจวิ้นป้อนนมวัวที่เพิ่งซื้อมาให้หวันหว่าน ยังใช้เงินที่เหลือซื้อแพมเพิสสวมให้เธอ กำลังรอข่าวจากที่บ้าน ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
โอหยางจวิ้นลุกขึ้น เดินถึงหน้าประตู ถามว่า“ใคร?”
หลานเสี่ยวถางได้ยินก็มั่นใจว่าเป็นเสียงโอหยางจวิ้น หัวใจที่กระวนกระวายมาตลอดในที่สุดก็เบาลง
ด้านข้าง สือมูเฉินเปิดปากพูด “ผมเองสือมูเฉิน”